ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 202 วิเคราะห์
ตอนที่ 202 วิเคราะห์
“ได้ค่ะ” เสียงอ่อนโยนของซูซี่ดังเข้ามาในหูลูเมี่ยน
แทบจะพร้อมกัน เด็กหนุ่มพบว่าจิตสำนึกของตน คล้ายถูกมัดติดกับของหนัก ถูกดึงให้จมดิ่งในพริบตา ลึกลงไปเรื่อยๆ
เพียงไม่กี่วินาที เปลือกตาของเขาเริ่มหนักอึ้ง ปิดลงอย่างยากจะหักห้าม ความคิดพร่ามัวในบันดล
ท่ามกลางความสับสน ลูเมี่ยนคล้ายกลายเป็นวิญญาณล่องลอย เตร็ดเตร่เร่ร่อนท่ามกลางยามราตรีอันมืดมิด ในหมู่บ้านกอร์ตูที่คุ้นเคย
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เด็กหนุ่มที่ยังมีสติอย่างรางเลือน มองเห็นโบสถ์ที่มียอดโดมคล้ายหัวหอม ใกล้กับประตูหน้ามีแสงวงกลมมารวมตัวกัน นอกนั้นมีเพียงความมืด ราวกับเงาดำอันล้ำลึก
ลูเมี่ยนเดินอ้อมไปยังสุสานด้านข้างอย่างไร้จุดหมาย
ท่ามกลางความมืด ทิวแถวของหลุมศพเงียบสงัดตั้งเรียงราย ต้นไม้น้อยใหญ่ปักหลักเด่นตระหง่านอย่างน่าขนลุก
ผู้ชายจำนวนหนึ่ง กำลังลากศพไปยังหลุมลึกที่ขุดไว้ เตรียมจะโยนศพลงไป
ใต้แสงจันทร์สีแดงเรื่อจาง หนึ่งในผู้ชายเงยหน้าขึ้น มองไปรอบตัว
โหนกแก้มใหญ่ ผมดำตาน้ำเงิน บางส่วนของใบหน้าถูกคลุมด้วยเงาดำ
ปงส์·เบเนต์!
ลูเมี่ยนถึงกับสะดุ้งเฮือก
ระยะห่างจากอีกฝ่ายย่นลงในพริบตา ลูเมี่ยนก้มหน้าลง มองไปยังศพนั้น
ใบหน้าของศพบวมเป่งจากน้ำ ซีดเซียวเขียวคล้ำ ผมสีน้ำตาลเปียกโชก นัยน์สีน้ำตาลเบิกกว้าง แข็งทื่ออยู่กับความเจ็บปวด ไม่ยอมแพ้ และโกรธแค้น
แรมงด์!
ความเกลียดชังอย่างแรงกล้าปะทุอยู่ภายในใจลูเมี่ยน เด็กหนุ่มตะโกนด่าทอใส่ปงส์·เบเนต์และลิ่วล้อด้วยความโกรธแค้น ระบายอารมณ์ในใจออกมาทั้งหมด
เขารู้สึกว่าตนด่าทอไปมากมาย รู้สึกว่าตนโจมตีไอ้สารเลวปงส์·เบเนต์ รู้สึกว่าตนใช้สองมือขุดหลุมลึกนั่นอยู่
ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของเด็กสาวโปนออกมาอย่างน่าขนลุก ใบหน้าม่วงคล้ำ ปากอ้ากว้าง ลำคอบวมเป่ง มีรอยนิ้วมือชัดเจน สีหน้าทุกข์ทรมานสุดขีด
เอวา!
ลูเมี่ยนลุกพรวดทันที อารมณ์อันท่วมท้นที่มีต่อปงส์·เบเนต์ทำให้เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง
แฮ่ก… แฮ่ก… ลูเมี่ยนมองไปยังโซฟาว่างเปล่าฝั่งตรงข้าม หายใจเข้าออกสุดปอด
ความแค้นและเกลียดชังอย่างแรงกล้าในฝัน ยังคงหลงเหลืออยู่ในกาย จนร่างสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
“คุณเห็นอะไรบ้างคะ” ผ่านไปหลายวินาที ซูซี่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ลูเมี่ยนตอบ กล้ามเนื้อบนใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยว
“ผมเห็น… เห็นศพของแรมงด์และเอวา คนหนึ่งถูกจับกดน้ำตาย อีกคนเหมือนถูกบีบคอตาย…”
“ปงส์·เบเนต์กับพรรคพวกกำลังฝังศพของเอวาและแรมงด์ในสุสานข้างโบสถ์…”
“ผมตะโกนใส่พวกเขา ผมอยากทำอะไรสักอย่าง… ผม… ผมตื่นขึ้นมา…”
ซูซี่เงียบฟังจนจบ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบผ่อนคลาย
“ครั้งนี้ ฉันมิได้ให้คุณฝันรู้ตัว มิได้ให้ไปตามหาเบาะแสเชิงสัญลักษณ์ในความฝัน แต่ให้คุณสัมผัสฉากบางอย่างในจิตใต้สำนึกผ่านการฝัน…”
“สิ่งที่คุณเห็น แม้จะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่ก็เป็นฉากที่รวบรวมมาจากสถานการณ์จริง ซึ่งอาจมีการทับซ้อนในเชิงเวลาหรือสถานที่ แต่รายละเอียดส่วนใหญ่แล้วถูกต้อง สามารถตีความได้”
ลูเมี่ยนถามกลับด้วยความเจ็บปวด
“หมายความว่า… ผมเห็นปงส์·เบเนต์กับลิ่วล้อ ฝังศพแรมงด์และเอวาในสุสานกับตาตัวเองจริงๆ?”
“ยังสรุปไม่ได้ค่ะ” ซูซี่เริ่มวิเคราะห์ “สิ่งที่บอกได้ในตอนนี้คือ แรมงด์ถูกปงส์·เบเนต์และพวกทำให้จมน้ำตาย ส่วนเอวาก็ถูกพวกเขาบีบคอตาย ท้ายที่สุด ศพของทั้งสองได้ถูกฝังไว้ที่ใดสักแห่งในสุสาน แต่คุณอาจไม่ได้เห็นมันกับตาตัวเอง… อาจเพิ่งทราบข่าวในภายหลัง จึงพยายามขุดศพพวกเขาขึ้นมา และตามไปแก้แค้นปงส์·เบเนต์กับพรรคพวก แต่ผลออกมาไม่ดีนัก ไม่อย่างนั้นความฝันเมื่อสักครู่ ต้องสะท้อนเนื้อหาในแง่มุมดังกล่าวออกมาด้วย”
“อย่างนี้นี่เอง…”
“เมื่อครู่ผมยังสงสัยอยู่เลย ถ้าผมอยู่ในเหตุการณ์จริง ทำไมถึงไม่ถูกปงส์·เบเนต์และลิ่วล้อฆ่าตาย โยนลงหลุมลึกไปด้วยกัน…”
ความเจ็บปวดเมื่อครู่ของเขา ส่วนหนึ่งเกิดจากการ ‘ไม่อยากเชื่อ’ ในข้อสงสัยของตัวเอง นั่นก็คือ ตนอาจจะเป็นพวกเดียวกับปงส์!
“เรายังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่คุณอาจอยู่ในเหตุการณ์ด้วย และเป็นพยานของเรื่องราวข้างต้น เพียงแต่ว่า ความเป็นจริงอาจไม่ตรงกับสิ่งที่เห็น การที่คุณไม่ถูกฆ่า อาจเพียงเพราะว่าพวกเขาต้องการภาชนะที่มีร่างกายแข็งแรง” ซูซี่ปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน บ่งบอกชัดเจนว่า เธอเห็นปัญหาที่ลูเมี่ยนพยายามปฏิเสธและต่อต้าน “แต่ที่แน่ใจได้คือ ความโกรธ ความเกลียดชัง และความแค้นอย่างแรงกล้าที่ปรากฏในความฝัน ล้วนไม่ใช่ของปลอม มันคือความรู้สึกจากก้นบึ้งหัวใจคุณในเวลานั้น หรือก็คือ ไม่ว่าอย่างไร การตายของเอวากับแรมงด์ ก็คงไม่เกี่ยวข้องกับคุณ”
เมื่อฟังคำพูดซูซี่จบ ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนเพิ่งถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำ หมดเรี่ยวหมดแรงแทบสิ้น ทั้งร่างเอนพิงพนักโซฟา
สภาพจิตใจของเด็กหนุ่มผ่อนคลายลงหลายส่วน ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองอีก
วินาทีถัดมา ลมอุ่นที่มองไม่เห็น พัดผ่านร่างกายและจิตใจของเขา มอบความรู้สึกถูกปลอบโยนอย่างถึงที่สุด
เสียงของซูซี่ดังขึ้น มาพร้อมกับรอยยิ้มและน้ำเสียงให้กำลังใจ
“เมื่อเทียบกับคราวก่อน อาการของคุณดีขึ้นมากแล้วค่ะ คุณมีความกล้าเร็วกว่าที่ฉันคาดไว้ กล้าที่จะเผชิญหน้ากับ ‘ข้อสงสัย’ บางอย่างที่ตัวเองไม่อยากเผชิญ…”
“ในด้านจิตวิทยา นี่เป็นสัญญาณสำคัญของการก้าวผ่านอุปสรรค มีเพียงการเผชิญหน้ากับปัญหาเท่านั้น จึงจะแก้ไขปัญหาได้อย่างราบรื่น…”
“การบำบัดของวันนี้จบลงแล้วค่ะ อาการของคุณในตอนนี้ สามารถไปพบลูอิส·ลุนด์หรือคุณนายปัวริสได้แล้วค่ะ”
ลูเมี่ยนที่อารมณ์สงบลง นึกถึงคำกำชับของมาดามเมจิกเชี่ยน:
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ…”
“หลังจากนี้ผมอาจต้องศรัทธาอีกหนึ่งองค์ซ่อนเร้น แต่ในยามปกติไม่ควรระลึกถึงพระนามเต็มของอีกฝ่าย… คุณ… พวกคุณ… มีวิธีทำให้ผมไม่เผลอนึกถึงบ้างไหม?”
เสียงหญิงสาวใสกังวาน ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม
“สบายมาก ฉันจะฝังตัวกระตุ้นไว้ในจิตของคุณ ทันทีที่ ‘สัญชาตญาณของพลังวิญญาณ’ ของคุณเชื่อว่า ตัวเองยังขาดความคุ้มครอง จิตใต้สำนึกของคุณจะเปลี่ยนพระนามขององค์ซ่อนเร้นนั่น ให้เป็นชื่อของ ‘พระองค์’ แทน จนไม่เผลอไปนึกถึง”
“เมื่ออยู่ระหว่างความคุ้มครอง ก็สามารถนึกและพูดออกมาได้ตามสะดวก…”
ความคิดของลูเมี่ยนเลือนรางไปชั่วขณะ จากนั้นก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า
“ฝังตัวกระตุ้นทางจิตเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ มาดาม และคุณด้วยครับ มาดามซูซี่” ลูเมี่ยนพยักหน้าให้กับเบาะว่างฝั่งตรงข้าม
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วพบกันในอีกสองสัปดาห์” เสียงใสกังวานของหญิงสาวตอบกลับ ตามด้วยเสียงของซูซี่ “อีกสองสัปดาห์เจอกันค่ะ”
ลูเมี่ยนไม่รู้ว่าพวกเธอจากไปตอนไหน รู้ตัวอีกที รอบบูธ D ก็กลายเป็นเงียบสงบ เหลือเพียงเสียงนกร้องในสวนพฤกษศาสตร์ เสียงกีบเท้าม้าบนถนน เสียงเฟืองของเครื่องจักรบางอย่าง ดังก้องอย่างรางเลือน
เด็กหนุ่มยกถ้วยขึ้น ดื่มกาแฟอินทิสที่เหลืออยู่รวดเดียว ปรับสภาพจิตใจ
ถือโอกาสนี้ เขานึกทบทวนกระบวนการบำบัดตั้งแต่ต้นจนจบ รู้สึกเอะใจกับประโยคท้ายๆ ของมาดามซูซี่
“เธอบอกว่าอาการของเราในตอนนี้ พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับลูอิส·ลุนด์และคุณนายปัวริสแล้ว… หมายความว่า ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้? บางคำตอบจากคุณนายปัวริส อาจจะทำให้เราแตกสลาย?”
“ก็พอเข้าใจได้อยู่ แต่หากอาการของเราไม่ได้ดีขึ้นตามที่คาด เธอจะขอให้เราอย่าเพิ่งไปเจอลูอิส·ลุนด์ไหม? แต่ถ้าลูอิส·ลุนด์โผล่มาตั้งแต่เมื่อวานล่ะ? ถ้าเป็นแบบนั้น เราก็ต้องเจอกับหมอนั่นโดยที่ยังไม่ได้รับการบำบัดซ้ำ… จะไม่เกิดปัญหาใหญ่เอาหรือ?”
“แล้วทำไมตอนสิ้นสุดการบำบัดคราวก่อน มาดามซูซี่ถึงไม่กำชับอะไรเราสักคำเลย? เตือนสักหน่อยว่า ก่อนจะกลับมาตรวจซ้ำ อย่าพยายามติดต่อคุณนายปัวริส ไม่เผชิญหน้ากับอธิการโบสถ์?”
“เธอแน่ใจได้ยังไงว่า เราจะไม่เจอลูอิส·ลุนด์ในช่วงสองสัปดาห์นี้ หรือถึงเจอเขาก็จะหนีไป?”
“ผู้ชม…”
ลูเมี่ยนได้สติกลับมา เดินออกจากบูธ D นั่งรถม้าสาธารณะกลับไปยังเขตตลาดคนซื่อ
เด็กหนุ่มมิได้รีบร้อนกลับโรงแรมระกาทอง หรือบ้านลับบนถนนเสื้อนอกขาวเพื่ออัญเชิญผู้ส่งสาร เขียนจดหมายถึงมาดามเมจิกเชี่ยน บอกเล่าเรื่องราวของเทอร์มีโพลอส แต่มุ่งหน้าไปแถวๆ 126 ถนนใหญ่ตลาด เพื่อดูว่าลูกน้องสองสามคนนั้น กับอ็องโตนี·รีดและฟรังก้า ได้อะไรบ้างหรือไม่
ลูเมี่ยนสวมหมวกปีกกว้างทรงกลมสีน้ำตาลเข้ม เดินมาถึงฝั่งตรงข้ามเยื้องไปประมาณยี่สิบเมตรจากตึกที่ ‘แมงป่องดำ’ พักอาศัยอยู่ นั่งลงตรงช่องว่างระหว่างตึก หันหลังพิงผนัง
แถวนี้มีคนจรจัดนั่งอยู่จำนวนหนึ่ง
หนึ่งในนั้นขยับก้นเข้าใกล้ลูเมี่ยน กดเสียงขณะพูด
“ยังไม่พบครับ”
ลูเมี่ยนพยักหน้ารับ มองไปยังตึกสามชั้นที่มีสวน สังเกตผู้คนที่ผ่านไปมา
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงสว่างเริ่มริบหรี่ คนจุดโคมก็เริ่มจุดโคมแก๊สริมถนนทีละดวง
ทันใดนั้นเอง ลูเมี่ยนเห็นชายคนหนึ่ง สวมชุดคนงานสีเทาอมน้ำเงิน
ใต้หมวกแฟลตแก๊ปคือไรผมสีเหลืองอ่อน ใบหน้าอวบอูม หน้าตาดูซื่อตรง
อ็องโตนี·รีด? เขาออกมาทำไม? ลูเมี่ยนจดจำนักค้าข่าวรายนี้ได้ จึงเกิดความสงสัยในพฤติกรรมอีกฝ่าย
อ็องโตนี·รีดทำตัวเหมือนคนงานเพิ่งเลิกงาน รีบร้อนเดินไปทางท้ายถนนใหญ่ตลาด
แววตาของลูเมี่ยนหรี่ลงกะทันหัน เนื่องจากพบว่าอ็องโตนี·รีดมิได้เพียงทำทีเป็นเดินผ่าน แต่กำลังเข้าใกล้ใครบางคน
เป้าหมายสวมชุดสูทสีน้ำเงิน ติดกระดุมสีเหลืองเรียงแถว สวมหมวกลงขี้ผึ้ง ผูกเนกไทสีขาว เสื้อกั๊กสีแดง นั่งอยู่บนรถม้ารับจ้างที่ติดหมายเลขสีเหลือง ชัดเจนว่าเป็นคนขับรถม้าในสังกัดบริษัทรถม้าจักรวรรดิ — คนขับรถของแต่ละบริษัทจะมีเครื่องแบบที่แตกต่างกัน
คนขับรถกดหมวกต่ำมาก ก้มหน้าลงตลอด คล้ายกำลังรอลูกค้า
ลูเมี่ยนใจเต้นแรง ลุกขึ้นยืน เดินไปทางนั้นสองสามก้าว
เมื่ออ็องโตนี·รีดเดินผ่านรถม้าคันนั้น ก็ทำตัวเหมือนสะดุดบางอย่าง เซไปข้างหนึ่ง ชนเข้ากับม้าที่ลากรถ
ม้าตกใจ เตรียมจะยกขาหน้าขึ้น คนขับรถก็ออกแรงดึงบังเหียนทันที ควบคุมมันไว้ได้อย่างมั่นคง
แต่นั่นทำให้คนขับรถต้องเงยศีรษะขึ้น เผยให้เห็นใบหน้า
อายุมากกว่าสี่สิบ ไว้ผมดำ ลูเมี่ยนเห็นหน้าไม่ค่อยชัดเพราะอยู่ค่อนข้างห่าง แต่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอยู่บ้าง
ตาของลูเมี่ยนหรี่ลงเล็กน้อย มองอ็องโตนี·รีดขอโทษขอโพยไม่หยุด เดินออกจากเขตรถม้า
ในเวลาเดียวกัน บุรุษรับใช้คนหนึ่งเดินออกจากบ้านเลขที่ 126 ถนนใหญ่ตลาด
เขาเดินมาถึงข้างรถม้า พูดกับคนขับรถว่า
“เจ้านายของผมอยากจ้างรถของคุณ รบกวนช่วยเข้าไปขนของข้างในด้วยครับ”
คนขับรถพยักหน้ารับ ตอบกลับเสียงทุ้ม
“ตกลง”
เขาตามบุรุษรับใช้เข้าไปในตึกที่เป็นบ้านของ ‘แมงป่องดำ’
ลูเมี่ยน ผู้ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่ไม่ได้ยินบทสนทนา บรรจงยกโค้งมุมปาก
ตอนนี้เขาแน่ใจเต็มประดาแล้วว่า คนขับรถม้ารายนั้นคือลูอิส·ลุนด์!
เจอตัวได้สักที!
…………………………………………………….