ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 191 คาใจ
ตอนที่ 191 คาใจ
มือขวา… ฟรังก้ารู้สึกสะท้านขึ้นมาทันที
ในฐานะ ‘แม่มด’ หนึ่งในสิ่งที่เธอคุ้นเคยที่สุดคือกระจก และไวต่อรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับกระจก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ:
คนที่ส่องกระจก กับภาพสะท้อนบนกระจก จะสลับซ้ายขวากัน!
สถานการณ์ตอนนี้คือ: เออร์เคนที่เคยถนัดขวา หลังจากเข้าไปในโลกกระจกพิเศษนั่นแล้วออกมา กลับกลายเป็นชอบใช้มือซ้าย ในขณะที่ฟรังก้าและลูเมี่ยนไม่มีการเปลี่ยนแปลงทำนองนั้น!
หมายความว่ายังไง…? ฟรังก้าอดขนลุกไม่ได้
ขณะนี้ เมื่อเห็นคริสโตเดินกลับไปด้านล่างโกดัง ตะโกนขึ้นไปที่ห้องทำงานชั้นบนสุด บอกให้เออร์เคนนำไวน์ขาวชาร์ดอแนของตนลงมาให้หมด ลูเมี่ยนก็เข้ามากระซิบที่หูของฟรังก้า หรี่เสียงพูดลง
“พอจะนึกอะไรออกแล้วใช่ไหม”
“คุณดูออกอยู่แล้ว?” ฟรังก้าดูค่อนข้างประหลาดใจ
หากปราศจากความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับที่มั่งคั่ง หากไม่มีประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่เพียงพอ ก็คงยากที่จะสังเกตเห็นความผิดปกติของเออร์เคน และระบุความเป็นไปได้ที่เกี่ยวข้อง!
ลูเมี่ยนตอบกลับเสียงต่ำ
“จากปริมาณเลือดที่ทิ้งไว้บนพื้น คงยากที่คนธรรมดาจะรอดชีวิตออกมาได้… ผมสงสัยแต่แรกแล้วว่าเออร์เคนกับพวกคาราวานมีปัญหา”
“แล้วคุณเป็นคนพูดเองว่า มิติที่น่าจะเป็นโลกในกระจกพิเศษนั่น มีตัวคุณอีกคนในอดีต…”
“คนในกระจกกับโลกความจริงจะสลับซ้ายขวากัน”
“เป็นไปได้ไหมว่า… เออร์เคนจากโลกในกระจก อาจจะมาแทนที่เออร์เคนตัวจริงแล้ว?”
ฟรังก้านิ่งไปสองสามวินาทีแล้วจึงพูด
“ฉันก็ไม่อยากจะนึกถึงความเป็นไปได้ที่น่ากลัวแบบนั้นหรอก… แต่สถานการณ์ตอนนี้ ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งตรงกับที่คุณพูด…”
“คงต้องยืนยันความจริงกันสักหน่อย”
ขณะทั้งสองกำลังคุยกัน เออร์เคนก็ถือถุงผ้าใส่เครื่องเทศหลายชนิด และไวน์ขาวชาร์ดอแนสองขวด เดินลงจากชั้นบนสุดของโกดัง เลี้ยวเข้าไปในตึกสีเทาขาวสองชั้นที่อยู่ไม่ไกล
นั่นคือร้านอาหารและครัวที่ ‘มุสิก’ คริสโตเปิดบังหน้าธุรกิจลักลอบขนสินค้า
เปลือกนอกเขาเป็นนักธุรกิจทั่วไป เป็นเจ้าของบริษัทค้าขายหลายแห่งที่มีโกดังเก็บสินค้าเป็นของตัวเอง
ฟรังก้าเดินไปหาคริสโต ถามด้วยสีหน้าขึงขัง
“คุณแน่ใจหรือว่านั่นคือเออร์เคนตัวจริง?”
คริสโตโพล่งด้วยความงุนงง
“ทำไมถึงถามอะไรแปลกๆ? ต้องเป็นเออร์เคนแน่นอนอยู่แล้ว… ไอน้ำจงพวยพุ่ง! ทำไมผมจะจำน้องชายตัวเองไม่ได้?”
“แม้แต่สัตว์เลี้ยงตัวน้อยของผมยังสนิทกับเขาเลย ไม่ได้มองว่าเป็นคนแปลกหน้าสักนิด”
ฟรังก้าครุ่นคิดสักพักก่อนจะยิ้ม
“ฉันแค่รู้สึกว่า… หลังจากเข้าไปในสถานที่แปลกประหลาดแบบนั้นแล้ว ไม่มากก็น้อยควรจะมีปัญหาอะไรบ้าง”
“ผมตรวจสอบแล้วล่ะ ไม่มีอะไรทั้งนั้น แค่อ่อนแรงนิดหน่อย ก็เลือดไหลไม่ใช่หรือ? บัดซบ! ต้องจ่ายเงินปลอบขวัญให้พวกเขาอีกแล้ว… ทำไมจักรพรรดิโรซายล์ถึงคิดค้นอะไรแปลกๆ แบบนี้ออกมา? แล้วทำไมถึงยังมีคนจำได้นานขนาดนี้? ผ่านมาเกือบจะสองร้อยปีแล้วนะ!” ‘มุสิก’ คริสโตรู้สึกเจ็บใจกับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ฟรังก้า ‘ฮ่าๆ’ ในคอ
“ตอนที่นายยังไม่ได้เป็นผู้วิเศษ ยังไม่ได้รับช่วงต่อธุรกิจลักลอบขนของ ก็เคยหวังให้หัวหน้าหน่วยปฏิบัติตามธรรมเนียม จ่ายเงินเพิ่มในเรื่องบางเรื่องไม่ใช่หรือไง?”
คริสโตเงียบไปสักพัก ไม่รู้ว่าควรเถียงอย่างไร
ฟรังก้าพูดต่อ
“ฉันจะช่วยยืนยันอีกแรง ว่าพวกนั้นมีปัญหาหรือเปล่า”
หญิงสาวหยิบกล่องแต่งหน้ากับผ้าเช็ดหน้าของเออร์เคนออกมา แล้วเริ่มทำนายต่อหน้า ‘มุสิก’ คริสโต
“ตำแหน่งของเออร์เคน”
ขณะท่องคาถาภาษาเฮอร์มิสซ้ำไปซ้ำมา ฟรังก้าที่ดวงตาลึกล้ำกะทันหัน ลูบไล้ผิวกระจกแต่งหน้า
ลูเมี่ยนเห็นกระจกมืดลง มีแสงน้ำระยับอยู่ภายใน
ไม่นานนัก ฉากหนึ่งก็ปรากฏบนกระจก
เออร์เคนในชุดเสื้อสั้นสีน้ำเงิน กำลังยืนอยู่ตรงริมครัว พูดคุยบางเรื่องกับพ่อครัวด้านใน
“ผมบอกแล้วว่าไม่มีปัญหา” ‘มุสิก’ คริสโตหัวเราะ ‘ฮ่าๆ’
จากนั้นก็ชี้ไปที่โกดัง
“ผมยังมีเรื่องต้องจัดการอีกนิด พวกคุณเดินเล่นไปก่อนนะ หรือไม่ก็ไปรอผมในร้านอาหาร”
หลังจากมองตาม ‘หัวหน้าหน่วยลักลอบขนสินค้า’ ร่างเล็กเข้าไปในโกดัง ลูเมี่ยนหันไปมองฟรังก้า
“ดูเหมือนเออร์เคนตัวจริงจะตายไปแล้ว”
ดังนั้น ผลการทำนายจึงชี้ไปยังเออร์เคนที่มาจากโลกในกระจก
“คุณยังปักใจเชื่อว่าพวกเออร์เคนมีปัญหา?” ฟรังก้าขมวดคิ้ว
“แล้วจะเป็นอะไรได้?” ลูเมี่ยนหัวเราะ “จะปิดตาตัวเอง อุดหูตัวเอง แกล้งทำเป็นลืมสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่ค้นพบ?”
ฟรังก้าครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงพูด
“อาจเป็นเพราะฉันทำนายด้วยกระจก เลยยิ่งง่ายต่อการชี้ไปหาคนในกระจก… ต้องลองเปลี่ยนวิธีทำนายดู”
หญิงสาวมองสำรวจรอบพื้นที่โกดัง เก็บไม้ท่อนสั้นๆ มาอันหนึ่ง วางตั้งไว้ตรงหน้า แล้วกดลงบนปลายไม้
หลังจากท่องประโยคทำนายคล้ายๆ เดิม ไม้ท่อนนั้นก็ล้มลง ชี้ไปยังตึกสีเทาขาวสองชั้นที่เป็นทั้งครัวและร้านอาหาร
เออร์เคนอยู่ที่นั่น
ฟรังก้าเงียบไปครู่หนึ่ง
“ฉันจะลองดูว่ากระจกบานนั้นทำอะไรได้บ้าง”
เธอหมายถึงกระจกเงินโบราณที่เชื่อมต่อกับมิติพิเศษนั่น หวังจะอาศัยมันส่งสัตว์ประหลาดที่ออกมาเพ่นพ่านกลับเข้าไปให้หมด
ลูเมี่ยนตามฟรังก้าเข้าไปในร้านอาหารด้วยความคาดหวังสูง
สิ่งแรกที่พวกเขาพบคือ ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดกระโปรงยาวสีเขียวอมเทา ดูอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด จูงเด็กชายหญิงสองคน โผเข้ากอดเออร์เคนที่เดินออกมาจากครัว น้ำตาไหลพรากด้วยความปีติ
“ในที่สุดคุณก็กลับมาแล้ว!”
“พ่อ!”
“พ่อ! มาเล่นกัน!”
ท่ามกลางเสียงเหล่านั้น เออร์เคนเองก็ยิ้มแย้มเต็มหน้า ความสุขเปี่ยมล้นในดวงตาและคิ้ว
“…” ฟรังก้าหยุดเท้า มองภาพครอบครัวที่กลับมารวมตัวกันอยู่นาน โดยไม่พูดไม่จา
ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจ
“รออีกสักนิดก็แล้วกัน”
ลูเมี่ยนหัวเราะ
“ลำบากใจสินะ?”
ฟรังก้า ‘เฮ้อ’ ออกมาเสียงหนึ่ง
“เออร์เคนตัวจริงน่าจะตายไปแล้ว แต่อย่างน้อยหมอนี่ก็เป็นภาพสะท้อนของเขา…”
“ถ้าฉันพยายามเปิดโปงข้อเท็จจริงตอนนี้ ฆ่าเขาหรือไล่เขากลับเข้ากระจก ภรรยากับลูกๆ ไม่เพียงจะไม่ขอบคุณฉัน แต่ยังจะเคียดแค้นเข้ากระดูก”
“ถูกเผง” ลูเมี่ยนหัวเราะหนึ่งที “ยังไงเสีย จากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น จะมีคนตายหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา พวกเราคอยระวังตัวเองไว้ก็พอ ไม่มีความจำเป็นต้องออกหน้าเป็น ‘คนร้าย’ … แล้วอีกอย่าง คงไม่มีใครขอบคุณวีรกรรมของเธอหรอก… อา… ช่วงนี้ก็เลี่ยงๆ พวก ‘มุสิก’ ไปก่อน ไม่เห็นก็เท่ากับไม่เกิดขึ้น”
ฟรังก้ายิ่งลำบากใจหนักข้อ
เธอไม่รู้ว่าภาพสะท้อนในกระจกที่มาแทนคนจริง จะทำอะไรลงไปบ้าง
ถ้าความใจดีเดิมๆ กลายเป็นความโหดร้าย ความรักเดิมๆ กลายเป็นความเกลียดชังขึ้นมาล่ะ?
“คำพูดของคุณนี่มัน… เย็นชาชะมัด…” ฟรังก้าที่ตัดสินใจไม่ได้ ทำได้เพียงรำพันพลางหันไปมองลูเมี่ยน
เธอเริ่มรู้สึกว่า สิ่งที่จินนาพูดถึงชาร์ล ก็มีความถูกต้องปะปนอยู่บ้าง
“มาดาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณกำลังคิดหรือ? ผมก็แค่ช่วยโน้มน้าวให้ตัดสินใจง่ายขึ้นเท่านั้นเอง” ลูเมี่ยนทั้งขำทั้งขุ่นเคือง
ฟรังก้ายิ้มเจื่อน
“แล้วถ้าเป็นคุณจะจัดการยังไง?”
ลูเมี่ยนมองไปทางเออร์เคนที่กำลังเล่าประสบการณ์สุดพิศวงของตนให้ภรรยากับลูกๆ ฟัง แล้วพูดราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง:
“หาคนเขียนจดหมาย ส่งเรื่องนี้ไปถึงกองบัญชาการตำรวจหรือวิหารสักแห่ง”
“ในจดหมายเขียนเพียงว่า เออร์เคน น้องชายของ ‘มุสิก’ คริสโต พาลูกน้องหลงเข้าไปในมิติแปลกประหลาดใต้ดิน หายตัวไปเกือบทั้งวัน พอพวกเขาออกมา กลับขึ้นมาบนผิวดิน มือข้างที่ถนัดก็เปลี่ยนไป”
“ผู้วิเศษทางการเคยผ่านเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมาไม่น้อย คงไม่แปลกใจกับใต้ดินสักเท่าไร และเดาได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้นกับเออร์เคนและลูกน้อง”
“ส่วนพวกเขาจะจัดการอย่างไร ก็เป็นเรื่องของพวกเขา เราไม่จำเป็นต้องกังวลแทน ถ้าทางการไม่ทำอะไรเออร์เคน ก็แสดงว่าคนในกระจกไม่มีพิษมีภัย สามารถแทนที่เจ้าของเดิมได้ ถ้าทางการกำจัดสัตว์ประหลาดเหล่านั้น เราก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์และความเกลียดชัง ยิ่งไม่ต้องจ่ายเงินปลอบขวัญ”
“หรือสรุปก็คือ ไว้ใจทางการ ไว้ใจศาสนจักรเถอะ”
“ถ้าจำไม่ผิด จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า หากได้เห็นสัตว์ที่ตัวเองคุ้นเคยถูกฆ่า สุภาพบุรุษย่อมใจไม่แข็งพอที่จะกินเนื้อมัน แต่ถ้าไม่เห็น ไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร กินได้อย่างสบายใจ เรื่องนี้ก็เช่นกัน”
ลูเมี่ยนจำคำพูดเป๊ะๆ ไม่ได้ จึงเรียบเรียงประโยคตามความเข้าใจตัวเอง
ฟรังก้าใคร่ครวญหน้าเครียดสองสามวินาที แล้วก็ถูกโน้มน้าวทั้งใจ
“ก็จริง…”
เธอชำเลืองลูเมี่ยน
“คำพูดของคุณเนี่ย ไม่เหมือนหัวหน้าหน่วยของแก๊งเลยสักนิด”
“หัวหน้าหน่วยตัวจริงต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากทางการ” ลูเมี่ยนยิ้มๆ
ฟรังก้าหัวเราะ
“อย่างนี้ต่อไปฉันคงต้องเรียกคุณว่า ‘เจ้าพ่อ’ แล้วสินะ?”
โดยไม่รอให้ลูเมี่ยนถาม เธอรีบเสริม
“เจ้าพ่อมาเฟียน่ะ”
“จริงสิ… ตอนนี้นายยังไม่ค่อยมีช่องทาง เรื่องแจ้งข่าวให้ทางการ ฉันรับผิดชอบเอง”
เจ้าพ่อมาเฟีย… ลูเมี่ยนเคยได้ยินพี่สาวพูดถึง ซ้ำยังจะใช้เป็นธีมในหนังสือเล่มถัดไปอยู่พอดี เด็กหนุ่มจึงพอเข้าใจความหมาย และรู้สึกหม่นหมองใจขึ้นมากะทันหัน
ถัดมา เขากับฟรังก้าร่วมงานเลี้ยงมื้อค่ำของ ‘มุสิก’ คริสโตอย่างเพลิดเพลิน พูดคุยกับเออร์เคนและพวกลักลอบขนของเถื่อนได้อย่างถูกคอ
สำหรับไก่ย่างซาฟาห์สูตรต้นตำรับ ลูเมี่ยนชมเปาะไม่ขาดปาก ไก่ย่างยัดเครื่องเทศไว้ในท้อง พอกเครื่องปรุงแบบเดียวกันไว้ด้านนอก ย่างจนผิวนอกเป็นสีทองอร่าม น้ำเนื้อไหลเยิ้ม หอมกรุ่นจรุงใจ
หั่นเนื้อพร้อมหนังมาชิ้นหนึ่ง จุ่มน้ำเนื้อสักสองสามวินาทีแล้วยัดใส่ปาก รสชาติอร่อยเหาะ ทำเอาหยุดเคี้ยวไม่ได้เลย
จนกระทั่งใกล้จบงานเลี้ยง ฟรังก้าเห็นรอบๆ โต๊ะเหลือคนไม่มาก จึงหันไปมองคริสโตข้างๆ แล้วพูดพลางส่งยิ้มหวาน
“ขยับมาใกล้ๆ หน่อยสิ ฉันมีเรื่องอยากถาม”
คริสโตที่รู้สึกเคลิบเคลิ้มชั่วขณะ ขยับเก้าอี้เข้าใกล้ฟรังก้า ยิ้มตอบพลางย้อนถาม
“เรื่องอะไรหรือ?”
ฟรังก้าคงรอยยิ้มบางๆ พลางกระซิบเสียงเบา
“ความจริงก็คือ… ฉันกับชาร์ลก็เข้าไปในมิติประหลาดนั่นมาเหมือนกัน โชคยังดีหน่อย หาทางหนีออกมาได้…”
พูดถึงตรงนี้ เธอหยิบมีดสั้นสำหรับหั่นไก่ย่าง แทงลงบนโต๊ะตรงหน้าคริสโตในพริบตา ถามเสียงเย็นชา
“สินค้าล็อตนี้ของนายซ่อนอะไรไว้กันแน่? เกือบทำพวกเราตายห่าแล้ว!”
“ผ…ผมไม่รู้จริงๆ!” คริสโตมองซ้ายมองขวา เหงื่อแตกพลั่ก
เมื่อเห็นรอบๆ โต๊ะอาหารเหลือแต่ตัวเอง ฟรังก้า และชาร์ล จึงรีบอธิบาย
“ผมไม่รู้จริงๆ … บอสเป็นคนสั่งให้เอามันเข้ามาในทรีอาร์!”
…………………………………………………….