ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 184 ‘ภาพวาด’
ตอนที่ 184 ‘ภาพวาด’
เมื่อลูเมี่ยนกลับถึงโรงแรมระกาทอง ในใจยังคงครุ่นคิดถึงราคาแสนแพงของอุปกรณ์วาดภาพเหล่านั้น
เงินเดือนที่ชาร์ลีได้รับหลังจากทำงานหนักเป็นเด็กเสิร์ฟที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อย ถือว่าค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับคนในระดับเดียวกัน แต่ก็ยังต้องอดข้าวอดน้ำถึงสองเดือนกว่าจะซื้อผ้าใบวาดภาพได้สักม้วน!
ในความทรงจำของลูเมี่ยน จิตรกรหลายคนเป็นพวกไส้แห้ง ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะยังสามารถแบกรับค่าใช้จ่ายด้านผ้าใบ พู่กัน สี ขาตั้ง นางแบบ และอื่นๆ ได้
บางที สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้พวกเขายากจน… ต้องมีสักคนที่ขอเงินจากทางบ้านเพื่อความอยู่รอด… ลูเมี่ยนปิดประตูห้อง วางกองข้าวของพะรุงพะรังในมือลงบนโต๊ะไม้
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจไม่ใช้ผ้าใบ แล้วซื้อเฉพาะของจำเป็นมาในราคาต่ำสุด เช่นพู่กัน สี และกระดาษ อย่างไรเสีย เขาไม่คิดจะเป็นจิตรกรตัวจริง ไม่ได้อยากนำเสนอชิ้นงาน ขอแค่มีตัวกลางที่สามารถใช้ผนึกพลังจาก ‘แว่นส่องความลับ’ ได้ก็พอแล้ว ส่วนจะขาดง่ายหรือไม่ สีจะดีไหม วาดได้ดีแค่ไหน ล้วนเป็นคำถามที่ไม่สำคัญ
ถึงกระนั้นลูเมี่ยนก็ต้องใช้เงินไปถึง 30 เฟลคินเต็มๆ
หลังจากเทสีต่างๆ ลงบนจานสี กางกระดาษขาวที่ค่อนข้างนุ่มและเหนียว ลูเมี่ยนก็ชำระล้างกริชเงินพิธีกรรม แล้วสร้างกำแพงวิญญาณล้อมรอบภายในห้อง 207
เขาวางแผนจะลองวาดบางสิ่งขึ้นมาก่อน เพื่อดูว่ามีผลอย่างไร
และอ้างอิงจากปฏิกิริยาของผู้ส่งสารมาดามเมจิกเชี่ยนที่มีต่อโรงแรมระกาทอง ลูเมี่ยนเชื่อว่าที่นี่ไม่มีสิ่งเลวร้าย ถ้าจะมีก็คงเป็นตัวเรือดที่มากไปสักหน่อย ส่วนต้นตอปัญหาของซูซานน่า·มาติสน่าจะอยู่ที่ใดสักแห่งในโรงละครกรงพิราบเก่า หรือไม่ก็ในโพรงใต้ดินบางจุด
เด็กหนุ่มถอนหายใจเชื่องช้า หยิบแว่นตากรอบทองสีน้ำตาลออกมา สวมลงบนสันจมูก
เพียงพริบตา เขารู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้าง ร่างทั้งร่างเหมือนกลับหัวกลับหาง ร่วงจากท้องฟ้าลงสู่ใต้พิภพ
ระหว่างนั้น ลูเมี่ยนเห็นโรงแรมกลับหัว เห็นผู้เช่าในห้องพักและบาร์ใต้ดินกำลังทำกิจกรรมในท่าทางคล้ายคลึงกัน เห็นหิน ดิน และรากไม้กำลังทอดยาวลงสู่ใต้ดิน เห็นหนูซุกตัวตามมุมห้อง เห็นแมลงต่างๆ เดินเกลื่อนกลาด
เขาร่วงลึกลงไปเรื่อยๆ พลางฝืนทนความรู้สึกคลื่นไส้จากภาวะไร้น้ำหนัก
วินาทีถัดมา เขาเห็นระบบรากขนาดมหึมาสีน้ำตาลอมเขียว แผ่ขยายไปทุกทิศทาง เชื่อมต่อกับพื้นดินอันไกลโพ้น ฝังลึกลงในความว่างเปล่า
“อู้ก…” ลูเมี่ยนเกิดอาการคลื่นไส้รุนแรง รู้สึกเหมือนอาหารมื้อเย็นที่ยังไม่ย่อยดี พุ่งขึ้นมาถึงลำคอ
เด็กหนุ่มรีบถอดแว่นส่องความลับออก กลั้นความอยากอาเจียน อาศัยแรงกระหายที่อยากวาดรูป หยิบพู่กันจุ่มสี แล้วรีบขีดเขียนลงบนกระดาษขาว
สมาธิเริ่มดีขึ้นตามลำดับ พลังวิญญาณแผ่ซ่านไปตามปลายพู่กันโดยไม่รู้ตัว
สองสามนาทีผ่านไป ลูเมี่ยนหยุดมือ เพ่งมองดู ‘ผลงานชิ้นเอก’ ของตน
“นี่มันรูปอะไร?” ในวินาทีแรก เขาอดคิดแบบนั้นไม่ได้
เมื่อลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เด็กหนุ่มเริ่มดูออกว่าตนวาดอะไรลงไป
บ้านสามเหลี่ยมสีเทาอมฟ้า ต้นไม้ใหญ่สีเขียวขึ้นบนหลังคา และสายฝนจุดเล็กๆ เหมือนก้อนเลน
จ้องมองอยู่สองสามวินาที ลูเมี่ยนรู้สึกคันหลังมือยุบยิบกะทันหัน อดไม่ได้ที่จะใช้มือเกา
พอเกาลงไป เขาเห็นผิวหนังเป็นรอยแดงบวม ทั่วตัวรู้สึกคันคะเยอ
“นี่คืออิทธิพลเหนือธรรมชาติจากภาพวาด?” ลูเมี่ยนผุดความคิดพร้อมกับเบนสายตาออก
พร้อมกันนั้น เด็กหนุ่มรีบขยับร่างกาย หวังการเสียดสีของเสื้อผ้ากับผิวหนังจะช่วยบรรเทาความคัน
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไร บังคับให้ลูเมี่ยนต้องเกาอีกสองสามที
ทว่า พอเขาเลิกมอง ‘ภาพสีน้ำมัน’ ที่เหมือนภาพวาดเด็กนั่น ระดับความคันก็ค่อยๆ ลดลงจนในที่สุดก็หายไปสนิท
“ปัญหาอยู่ที่รูปจริงๆ” ลูเมี่ยนทอดถอนใจอย่างโล่งอกพลางรำพัน
ตอนนี้ความรู้สึกอยากวาดรูปก็หายไปแล้วด้วย
จึงหันหลังกลับเพื่อครุ่นคิดถึงรายละเอียด
“ต้องมองภาพอย่างต่ำสามวินาทีถึงจะรู้สึกคันไปทั้งตัว…”
“ในการต่อสู้คงยากที่จะนำมาใช้ประโยชน์จริง… จะให้เอามาติดบนหน้าก็คงไม่ได้กระมัง?”
“ถ้าวางกับดักไว้ล่วงหน้าก็อาจได้ผลบ้าง…”
“จะมีภาพที่ไม่ต้องมองก็ส่งผลไหมนะ…”
หลังจากไตร่ตรองสักครู่ ลูเมี่ยนตัดสินใจที่จะลองอีกครั้ง
เขาสวมแว่นส่องความลับกลับไป และได้รับประสบการณ์แทบจะเหมือนกับครั้งก่อน
ต่างกันตรงที่คราวนี้เขาเห็นความมืดลึกลับด้วย เห็นร่างหนึ่งกำลังเดินท่ามกลางความมืดนั่น
ด้วยเสียงคลื่นไส้ ลูเมี่ยนถอดแว่นตากรอบทองสีน้ำตาลออก ดึงกระดาษแผ่นใหม่ออกมา หยิบพู่กันขึ้นมา
คราวนี้เขาไม่ได้ปล่อยให้แรงกระตุ้นภายในยึดครองร่าง ไม่ได้วาดรูปตามสัญชาตญาณล้วนๆ แต่พยายามคิดว่าตัวเองต้องการอะไร และทำให้สิ่งที่วาดออกมา ใกล้เคียงกับสิ่งที่อยู่ในใจมากที่สุด
อาศัยการผสมผสานดังกล่าว ลูเมี่ยนวาดดวงอาทิตย์สีแดงทองขึ้นมา โดยแสงรัศมีที่ล้อมรอบประกอบด้วยหลากสีสัน ทั้งแดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า น้ำเงิน ม่วง
เมื่อเด็กหนุ่มจรดพู่กันวาดเส้นสุดท้ายเสร็จ ห้อง 207 ก็อุ่นขึ้นทันใด ความหนาวเย็นที่เคยเกาะกุมจางๆ พลันถูกขับไล่
“ดูเหมือนจะมีผลขับไล่วิญญาณได้เบื้องต้นด้วย…” ลูเมี่ยนลองสรุปอย่างไม่มั่นใจนัก
เขานั่งลงบนขอบเตียง สังเกตการเปลี่ยนแปลงอย่างตั้งอกตั้งใจ
เมื่อเวลาผ่านไป ความอบอุ่นที่มาพร้อมความกระวนกระวายและอึดอัดใจเล็กๆ เริ่มซาลง
เมื่อลูเมี่ยนลองพับภาพ หันเอาด้านหลังออก ความอบอุ่นพลันอันตรธานหาย พลังวิญญาณที่แฝงอยู่ในภาพก็แทบไม่ลดลงเลย
“ดูแล้วน่าจะเก็บไว้ได้ราวๆ สองเดือน… เปิดใช้ได้นานสุดสามวัน… หืม… นี่ยังกับการสร้างอาวุธวิเศษเลย…” ลูเมี่ยนทบทวนความจำไปพร้อมกับการคำนวณคร่าวๆ
แต่การวาดสองภาพติดกัน ก็สร้างภาระทางใจให้เขาได้ไม่น้อย
หลังพักสักครู่ ลูเมี่ยนก็ทำการทดลองที่สาม
คราวนี้เขาเปลี่ยนอุปกรณ์วาดภาพเป็นเครื่องสำอางแทน
หลังจากสวมแว่นส่องความลับ อดทนกับความรู้สึกดำดิ่งวนลงใต้ดิน และเห็นร่างพร่าเลือนสองสามร่างซ่อนอยู่ในเงามืดรอบๆ แล้ว ลูเมี่ยนก็ถอดสมบัติวิเศษออก ใช้กระจกหน้าต่างที่สะท้อนแสงจากโคมไฟคาร์ไบด์แทนกระจกเงา แล้วก็เริ่มป้ายนั่นป้ายนี่ลงบนใบหน้า วาดเส้นสารพัด
ลูเมี่ยนใน ‘กระจก’ เริ่มดูอิดโรย คิ้วยุ่งเหยิง โหนกแก้มเด่นขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากหนาขึ้นพอประมาณ
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนได้เห็นคนแปลกหน้า จนกระทั่ง ‘วาด’ เสร็จก็รีบเบือนหน้าหนี พร้อมกับรูดม่านปิด
หลังจากเก็บภาพ ‘คัน’ กับ ‘พระอาทิตย์’ ให้เรียบร้อย รวมถึงข้าวของอุปกรณ์ต่างๆ บนโต๊ะ ลูเมี่ยนตัดสินใจออกมาข้างนอกเพื่อพิสูจน์ผลลัพธ์
เด็กหนุ่มมาถึงคาบาเร่ต์ลมเอื่อย เห็นจินนากำลังเต้นดุจดังนางพญาพลางอวดพลังเสียง ส่วนชาร์ลีกำลังถือแก้วเครื่องดื่มจำนวนหนึ่ง เดินมาวางไว้ตรงขอบลานเต้นรำ
พวกนักเลงไม่มีใครสนใจลูเมี่ยนเลย ไม่มีใครเรียกเขาว่าลูกพี่
เขาเริ่มมั่นใจมากขึ้น เดินไปข้างๆ ชาร์ลี ตบไหล่แล้วทักทายด้วยรอยยิ้ม
“สายัณห์สวัสดิ์!”
ชาร์ลีในเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำ หันมายิ้มแล้วถาม
“สายัณห์สวัสดิ์ครับคุณลูกค้า จะรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ?”
ลูเมี่ยนจงใจถาม
“นายจำฉันไม่ได้หรือ?”
ชาร์ลีอึ้งไปครู่หนึ่ง ทำตาโตกว่าปกติ จ้องอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่สองสามวินาทีใต้แสงจากโคมไฟแก๊สไกลๆ
เขารีบยิ้มแล้วโพล่งด้วยความร่าเริง
“นายนี่เอง!”
“สุริยันจงเจริญ! พวกเราไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนแล้วนะ? เดี๋ยวฉันว่างแล้วจะกลับมาหานะ!”
จากนั้นชาร์ลีก็ชี้ไปทางบาร์ โบกมือแล้วลาจากไป
“ไอ้เด็กนี่เล่นละครเก่งชะมัด” ลูเมี่ยนหัวเราะด้วยความพอใจอย่างยิ่ง “…ถึงกับจำหน้าเราที่เป็นเจ้านายไม่ได้!”
เด็กหนุ่มถอนสายตากลับ เดินเข้าใกล้เวทีที่จินนากำลังแสดง รอให้อีกฝ่ายร้องเพลงที่เต็มไปด้วยคำหยาบคายจบ
ทันทีที่จินนาจบเพลง ก็ก้มเก็บเหรียญทองแดงกับเหรียญเงินบนเวทีแล้วเดินลงมา
“คุณร้องเพราะมากเลย! ผมขอเลี้ยงเครื่องดื่มได้ไหม?”
จินนาทำหน้าระแวงขึ้นมาทันที
หลังจากถูกไอ้วิตถารเฮิดซ์ลอบทำร้าย เธอก็ไม่กล้าวางใจผู้ชมที่พยายามเข้าใกล้อีก กลัวว่าจะเจอเหตุการณ์ซ้ำรอย
หญิงสาวพิจารณาใบหน้าลูเมี่ยนอย่างถี่ถ้วนอยู่สองสามวินาที แล้วฉีกยิ้มหวานเกินจริงที่ซ่อนท่าทีปฏิเสธไว้
“พอดีฉันต้องรักษาเสียงไว้สำหรับเพลงต่อไปน่ะ!”
“ช่วยดื่มแทนฉันอีกแก้วนะ!”
จินนาอธิบายพร้อมกับส่งสายตายั่วยวน จากนั้นก็เดินไปทางนักเลงสองคนที่ยืนเฝ้าข้างเวที แสวงหาความช่วยเหลือจากพวกเขา
สำหรับ ‘นางพญา’ ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นคนรักของทั้ง ‘บูตแดง’ และลูกพี่ของพวกตน สองนักเลงไม่กล้าขัดใจให้ขุ่นเคือง จึงเดินเข้ามาขวางระหว่างลูเมี่ยนกับจินนาพร้อมกัน
จินนาถือโอกาสนั้นหลบออกมา เดินไปที่ห้องพักใกล้บาร์
ก่อนจะจากไป เธอเหลือบมองสีผมของลูเมี่ยน พิจารณาใบหน้าอีกสักพัก ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“เชี่ย… ของแบบนี้ก็เป็นแฟชั่นได้ด้วยหรือ?”
ลูเมี่ยนหันสายตากลับอย่างร่าเริง เดินตรงไปยังบันไดที่พาไปสู่ร้านกาแฟ
“คิดจะขึ้นไปทำอะไร?” นักเลงสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ขวางทางไว้
ทำหน้าที่ได้ดี… ลูเมี่ยนยิ้ม
“ก็ไปดื่มกาแฟไง!”
หลังจากพิจารณาลูเมี่ยนหัวจรดเท้าสักพัก สองนักเลงก็หลีกทางให้
เมื่อเข้าไปในร้านกาแฟ ลูเมี่ยนมองไปทางลูอิสกับซาโกตาที่กำลังนั่งแกร่ว แล้วแอบเลี้ยวเข้าห้องน้ำ
เขาไม่กล้ามองกระจก รีบใช้น้ำประปาล้างหน้าเลย ขัดถูสองสามทีเครื่องสำอางก็เริ่มหลุดออก
เมื่อล้างจนเสร็จ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองกระจก เห็นภาพสะท้อนของตัวเองที่ดูซีดเซียวและเหนื่อยล้า
กินพลังวิญญาณเยอะเหมือนกันแฮะ… ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งวาดไปสองรูป… ลูเมี่ยนทำใจให้สงบ แล้วเดินออกจากห้องน้ำ
ลูอิสกวาดตาเห็นพอดี จึงรีบลุกขึ้นด้วยความยินดี
“ลูกพี่! กลับมาตอนไหนครับ?”
“เมื่อกี้นี้เอง” ลูเมี่ยนชี้ไปยังทางเดิน “ฉันเข้านอนแล้วนะ”
“ครับ ลูกพี่” ทั้งลูอิสและซาโกตาไม่มีใครกล้าถามถึงเหตุผล
ลูเมี่ยนเข้าไปในห้อง ฝืนอาบน้ำแต่งตัว แล้วทิ้งร่างลงบนเตียง ผล็อยหลับอย่างรวดเร็ว
ในความฝัน เหมือนกับว่าเขาสัมผัสถึงความรู้สึกแย่ๆ ของการตกจากท้องฟ้าลงสู่ใต้พิภพอีกครั้ง
ขณะร่วงลงไปอย่างต่อเนื่อง ดินด้านล่างพลันแยกออกเป็นริ้ว เผยให้เห็นทะเลที่กำลังลุกไหม้ ประกอบขึ้นจากเปลวไฟสีแดงฉาน!
ความร้อนระอุและความเจ็บแสบแล่นเข้าสู่สมองลูเมี่ยนพร้อมกัน จนต้องลืมตาขึ้นด้วยอารามตกใจ ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ลมหายใจหอบหนัก
ยามนี้ ภายในห้องยังคงมืดสนิท เงียบสงัด มีเพียงแสงจันทร์สีแดงเรื่อส่องผ่านผ้าม่านเข้ามา ตกกระทบกับโต๊ะอ่านหนังสือริมหน้าต่าง
…………………………………………………….