ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 183 สามสิ่ง
ตอนที่ 183 สามสิ่ง
เมื่อลูเมี่ยนเดินลงมาถึงห้องใต้ดิน ก็สังเกตเห็นสิ่งของบนถาดสามใบ
ประกอบด้วย ถุงมือสีขาวธรรมดา แว่นตากรอบทองสีน้ำตาล และกระดุมทองคำ
เมื่อลูเมี่ยนเริ่มสำรวจสมบัติวิเศษ มิสเตอร์ K ที่นั่งบนเก้าอี้สีแดง เริ่มอธิบายด้วยเสียงแหบต่ำ
“ถุงมือมีชื่อว่า ‘ละครสัตว์’ สามารถมอบยุทธวิธีทางศาสตร์เร้นลับที่ไม่รุนแรงแต่เป็นเอกลักษณ์ ประกอบด้วย การสร้างลม สร้างหมอก ใช้แสงจ้าเพื่อรบกวนสายตาเป้าหมาย การแตะศัตรูเพื่อแช่แข็ง และยังสามารถเปิดประตูได้แทบทุกบานโดยไม่ต้องใช้กุญแจ หรือจะเดินทะลุกำแพงหนาๆ ก็ยังได้”
“สิ่งนี้สอดคล้องกับความต้องการทางยุทธวิธีศาสตร์เร้นลับของคุณ แต่จำไว้ว่า แค่พกติดตัวไว้ก็จะทำให้หลงทางบ่อยครั้ง และในบางคราว การหลงทางอาจนำไปสู่เคราะห์ร้าย”
“ราคา 18,000 เฟลคิน”
เหมือนกับ ‘นักตุกติก’ ลำดับ 8 ของเส้นทาง ‘ผู้ฝึกหัด’ ที่เขียนไว้ในบันทึกของโอลัวร์… แม้พลังเหล่านี้จะไม่รุนแรง แต่ถ้าใช้เป็นตัวช่วย ผสมผสานกับกับดัก วิชาหมัดมวย หรือการยิงปืน บางครั้งก็อาจให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง… ลูเมี่ยนพึงพอใจกับผลด้านบวกของถุงมือ ‘ละครสัตว์’ อย่างมาก มันสามารถชดเชยจุดอ่อนด้านยุทธวิธีศาสตร์เร้นลับให้เขา ที่มักเผชิญทางตันในบางสถานการณ์
แต่ผลข้างเคียงก็รุนแรงมากเช่นกัน สำหรับ ‘นักล่า’ ที่ชำนาญการสะกดรอยและจดจำเส้นทาง การหลงทางบ่อยครั้งหมายถึงต้องเสียจุดแข็งไป เสี่ยงต่อการเผชิญเคราะห์ร้าย แม้มิได้สวมใส่ เพียงสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก็มากพอที่จะส่งอิทธิพลแล้ว
มิสเตอร์ K หมุนตัวเล็กน้อย มองแว่นตาสีน้ำตาลกรอบทองแล้วพูดกับลูเมี่ยน
“ยังจำภาพวาดในการชุมนุมคราวก่อนได้ไหม”
ภาพวาด? ลูเมี่ยนนึกถึงภาพวาดสีน้ำมันที่ทำให้เขาวิงเวียนศีรษะเพียงแค่มอง
ภาพวาดดังกล่าว ว่ากันว่าเป็นผลงานสุดท้ายในชีวิตของศิลปินผู้วิเศษ ใช้สีสด ลวดลายพิลึกพิลั่น ฉากสุดหลอน ราวกับผู้วาดเสียสติไปก่อนจะวาดจบ
“จำได้” ลูเมี่ยนพยักหน้า
มิสเตอร์ K พูดต่อ
“หลังจากเจ้าของภาพวาดเสียชีวิต ตะกอนพลังและพลังประหลาดของเขาได้รวมเข้ากับแว่นตา กลายเป็นสมบัติวิเศษที่ไม่เหมือนใคร”
“มันช่วยให้ผู้สวมเห็นสิ่งที่มองไม่เห็นในยามปกติ บางครั้งก็สามารถมองทะลุความจริงของโลกได้ในระดับหนึ่ง…”
ได้ยินแบบนั้น ลูเมี่ยนนึกถึงคำพูดโอลัวร์ขึ้นมาทันที ‘อย่ามองในสิ่งที่ไม่ควรมอง อย่าฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟัง’
เขาอดคิดในใจไม่ได้
“แว่นตานี่มันขั้วตรงข้ามเลยไม่ใช่หรือไง อาวุธฆ่าตัวตายชัดๆ!”
“ไม่เห็นจะสอดคล้องกับความต้องการสองอย่างของเราสักนิด…”
มิสเตอร์ K มองลูเมี่ยนปราดหนึ่ง เสียงแหบต่ำดังก้องในห้องใต้ดินเล็กๆ
“หลังจากมองเห็นโลกในมุมมองอื่น ได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผู้สวมใส่จะเต็มไปด้วยแรงผลักดันและความกระหายที่จะวาดภาพ โดยทุกภาพที่วาดจะส่งอิทธิพลเหนือธรรมชาติเล็กน้อย เช่นถ้าคุณวาดทะเล คนที่เห็นภาพทะเลจะรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำนิดๆ”
“ในทำนองเดียวกัน คุณคงจินตนาการได้ว่าเมื่อคุณไม่ได้วาดลงบนผ้าใบ แต่ใช้เครื่องสำอางวาดลงบนใบหน้าตัวเอง คุณก็จะได้รับการปลอมตัวที่ยอดเยี่ยม ทุกคนที่พยายามสังเกตใบหน้าคุณอย่างละเอียดจะถูกชักจูง เชื่อว่านั่นคือใบหน้าจริงของคุณเป็นระยะเวลาหนึ่ง”
“จงจำเอาไว้ว่า หลังจากวาดใบหน้า ‘ใหม่’ ลงไป ห้ามส่องกระจกเด็ดขาด มิฉะนั้นคุณเองก็จะเชื่อว่านั่นคือตัวตนที่แท้จริง ทั้งกายใจจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นอีกคนหนึ่ง”
“ในทำนองเดียวกัน คุณไม่สามารถคงใบหน้าใหม่ไว้ได้เกินสามชั่วโมง ไม่อย่างนั้น การรับรู้ในตัวเองจะค่อยๆ ถูกบิดเบือน จนกระทั่งเชื่ออย่างแท้จริงว่าคุณคือมัน และมันคือคุณ”
ฟังดูเหมือนการสะกดจิตและชักจูงของ ‘นักจิตบำบัด’ แต่ในด้านอื่นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง… หากคำนึงจากการตายของศิลปิน… หรือนี่จะเป็นรอยประทับเทพมารสักองค์? ลูเมี่ยนรีบวิเคราะห์ขอบเขตเหนือธรรมชาติที่เป็นไปได้ของสมบัติวิเศษชิ้นนี้
มิสเตอร์ K หันไปจ้องแว่นตาสีน้ำตาลกรอบทอง
“เจ้าของเดิมของมันคือ ‘นักกฎหมาย’ ดังนั้น มันยังสามารถช่วยคุณบิดเบือนความคิด การรับรู้ และข้อสรุปของเป้าหมายในระดับหนึ่ง ผ่านคำพูด การกระทำ หรือชุดกระบวนการ”
“คุณคงเดาได้ว่าผลกระทบเชิงลบของมันคืออะไร การเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น และการมองทะลุความจริงของโลกโดยไม่ได้ปกป้องตัวเองให้ดีพอ ล้วนทำให้คุณเผชิญกับอันตรายที่ไม่อาจคาดเดา บางที สักวันคุณอาจเสียชีวิตอย่างแปลกประหลาดเหมือนกับศิลปินผู้วาด ทิ้งไว้เพียงผลงานที่ยากจะถอดรหัส”
“ราคา 15,000 เฟลคิน”
เป็นของ ‘นักกฎหมาย’ ลำดับ 9? แพงเพราะพลังประหลาดที่พ่วงมาด้วย? อา… มันดูไม่เหมือน ‘นักกฎหมาย’ สักเท่าไร ในบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ระบุว่า ‘นักกฎหมาย’ ล้วนมีทักษะการพูดและตรรกะการโต้แย้งที่ยอดเยี่ยม เชี่ยวชาญการค้นหาช่องโหว่ของกฎเกณฑ์และจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์กับตัวเองและคว้าชัยในที่สุด พวกเขายังใช้คำพูด ท่าทาง และขั้นตอนที่วางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อโน้มน้าวการตัดสินใจ ความคิด และข้อสรุปของเป้าหมาย นอกจากนี้ พวกเขายังถนัดการใช้พลังแห่งระเบียบ… ลูเมี่ยนทบทวนความรู้ศาสตร์เร้นลับที่เกี่ยวข้องในใจ
ส่วนลักษณะเด่นของ ‘นักกฎหมาย’ เช่นพลังระเบียบใช้อย่างไร เด็กหนุ่มไม่ทราบเลย เพราะแม้แต่โอลัวร์ก็ไม่ได้เขียนเอาไว้
โดยรวมแล้ว แว่นตาสีน้ำตาลกรอบทองถือว่าตอบโจทย์ความต้องการของลูเมี่ยนในแง่การปลอมตัว อีกทั้งยังมอบยุทธวิธีศาสตร์เร้นลับที่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า แต่ไม่ยุ่งยากและซับซ้อนเท่า ‘ห้าอาคมพิธีกรรม’ ของ ‘ภิกษุบิณฑบาต’
ปัญหาเดียวคือ มันอันตรายเกินไป!
ลูเมี่ยนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ แต่ยังไม่ตัดสินใจขั้นสุดท้าย รอให้มิสเตอร์ K อธิบายกระดุมทองคำเม็ดนั้น
ในไม่ช้า เสียงแหบต่ำของมิสเตอร์ K ดังขึ้นอีกครั้ง
“ชื่อของมันคือ ‘แสงจ้า’ มาจาก ‘ผู้ภาวนาแห่งแสง’ ที่เสียชีวิต”
“มันจะเพิ่มความกล้าหาญและพลังให้คุณผ่านการร้องเพลง ช่วยให้คุณสัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตประเภทอันเดดและสิ่งสกปรกชั่วร้าย อีกทั้งยังสามารถใช้เวทมนตร์และพิธีกรรมบางอย่างในขอบเขตสุริยัน เหมาะสำหรับจัดการเป้าหมายประเภทซากศพและวิญญาณ”
“หลังจากสวมใส่ คุณจะอยากร้องเพลง และไม่อาจทนต่อความมืดและหนาวเหน็บ จะโหยหาแสงแดดและความอบอุ่น หากใส่ไว้นานกว่าสองชั่วโมงแล้วยังไม่ถอด คุณจะกลายเป็นผู้ศรัทธาอย่างแรงกล้าของ ‘สุริยันเจิดจรัส’ สรรเสริญพระอาทิตย์ด้วยความนอบน้อม”
“ราคา 20,000 เฟลคิน”
มันช่วยแก้ปัญหาที่เรายังขาดวิธีในการฆ่าอันเดดกับวิญญาณ ผลข้างเคียงก็พอรับได้… แต่ปัญหาคือ เป้าหมายที่ใช้ได้มีจำกัดเกินไป… ลูเมี่ยนตกอยู่ในห้วงความคิด สองจิตสองใจว่าจะเลือกชิ้นไหน
สามัญสำนึกบอกว่าเขาควรเลือก ‘ละครสัตว์’ หรือ ‘แสงจ้า’ อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เขาตัดสินใจไม่ลง
เด็กหนุ่มชอบแว่นตาสีน้ำตาลกรอบทองมากกว่า มันตอบโจทย์ความต้องการทั้งสองด้าน
หากเขาสวมใส่เฉพาะตอนที่อยากปลอมตัว หรือเฉพาะตอนสร้างภาพวาดที่ส่งอิทธิพลเหนือธรรมชาติ และเลือกสถานที่ให้ปลอดภัยเพียงพอ ก็ยังสามารถหลีกเลี่ยงผลเสียส่วนใหญ่ได้ ไม่ถึงขั้นเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น หรือเห็นสิ่งที่เรียกว่าความจริงของโลก
กล่าวคือ มันมิใช่สิ่งที่ต้องสวมใส่ตลอดเวลา ลูเมี่ยนสามารถเลือกใช้งานได้ตามโอกาสที่เหมาะสม
และในแง่ดังกล่าว เขาสามารถสร้างกำแพงวิญญาณล่วงหน้าได้ เฉกเช่นการเต้น ‘ระบำเรียกสถิต’ เพื่อกีดกันสิ่งผิดปกติจากด้านนอก
นึกถึงรอยประทับบนร่างกาย นึกถึงความ ‘บังเอิญ’ ของโชคชะตา และการต้องเต้น ‘ระบำเรียกสถิต’ เป็นครั้งคราว ในที่สุดลูเมี่ยนก็ให้คำตอบด้วยท่าทีราวกับคนมีหนี้สินท่วมหัว จนไม่หวาดกลัวกับอะไรอีกแล้วบนโลกนี้
“ผมเลือกแว่นตา”
มิสเตอร์ K ดูประหลาดใจกับตัวเลือก เงียบไปสักพักก่อนจะถาม
“คุณแน่ใจนะ?”
“แน่ใจ” ลูเมี่ยนหยิบถุงผ้าใบเล็กที่เต็มไปด้วยธนบัตรออกมา นับยอด 15,000 เฟลคินแล้วส่งให้
มิสเตอร์ K มิได้โน้มน้าวอะไร เพียงหัวเราะเสียงแหบพร่า
“คุณบ้ากว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย”
เขาดูจะชื่นชมอยู่ไม่น้อย
หลังจากสั่งให้ลูกน้องไปรับเงิน 15,000 เฟลคิน แล้วยื่นแว่นตาสีน้ำตาลอ่อนให้ลูเมี่ยน มิสเตอร์ K พยักหน้าแล้วกล่าวต่อ
“ตอนนี้คุณลองสวมดูก็ได้ ที่นี่ปลอดภัยพอ”
ลูเมี่ยนลองลูบกรอบแว่น พบว่าสิ่งที่ทำจากโลหะ กลับมอบความรู้สึกเหมือนยางอย่างน่าประหลาด
เรียกแกว่า ‘แว่นส่องความลับ’ ก็แล้วกัน… ลูเมี่ยนนึกถึงเส้นทางเหนือธรรมชาติที่พี่สาวเลือกเดิน
วินาทีถัดมา เด็กหนุ่มสวมแว่นตากรอบทองสีน้ำตาลอ่อนไว้บนสันจมูก
แทบจะในเวลาเดียวกัน เขาเห็นภาพหลายภาพ จากมุมมองที่แตกต่างกัน
เพดานที่เก่าจนเป็นจุด คราบเลือดเล็กน้อยตามมุมห้อง แผ่นหลังของมิสเตอร์ K ที่ตนไม่ควรมองเห็น คนรับใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงทางเดินนอกประตู…
ลูเมี่ยนยังเห็นกลุ่มก้อนความมืด เห็นเงามืด เห็นสายตาจับจ้องจากที่ใดสักแห่ง เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงา
ผมดำปุยฟู หน้าหวาน ตาลึก ดวงตาหม่นหมอง และผิวพรรณที่บอกอายุไม่ได้ ทั้งหมดถูกฮู้ดใหญ่คลุมไว้ มองเห็นได้จากมุมเสยเท่านั้น
ภาพจากมุมมองและตำแหน่งต่างๆ ทยอยผุดขึ้นในหัวสมอง ทำเอาศีรษะวิงเวียนอย่างมิอาจหักห้าม อาการแย่ลงเรื่อยๆ และเต็มไปด้วยแรงกระหายที่จะวาดทุกสิ่งลงไป
ลูเมี่ยนรีบถอด ‘แว่นส่องความลับ’ ออก ทันใดนั้นการมองเห็นก็กลับเป็นปกติ แต่แรงกระหายที่อยากวาดภาพยังคงสุมอยู่ในอก
เขาถอนใจพลางพึมพำ
“ยังพอทนไหว”
มิสเตอร์ K เตือนรวบรัด
“พยายามใช้ในสถานที่คุ้นเคยและปลอดภัย”
บอกลามิสเตอร์ K ลูเมี่ยนออกจากสำนักงานของนิตยสาร ‘สื่อวิญญาณ’ นั่งรถม้ากลับตลาดคนซื่อ
ระหว่างผ่านเขตหอรำลึก เขาฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง
“เราต้องเตรียมผ้าใบ แปรง สีวาดภาพเอาไว้บ้าง…”
“ถึงเราจะวาดได้แค่เส้นง่ายๆ แถมยังวาดไม่เก่ง แต่คุณภาพของรูปคงไม่มีผลกับอิทธิพลเหนือธรรมชาติ ใครจะรู้ บางทียิ่งบิดเบี้ยวน่าเกลียด อาจจะยิ่งได้ผลดีเสียอีก…”
สิบห้านาทีถัดมา ลูเมี่ยนลงจากรถม้าก่อนถึงป้ายประจำ ตรงไปที่ร้านขายอุปกรณ์วาดภาพสีน้ำมัน
พอได้ยินราคา เขาอดไม่ได้ที่จะโพล่ง
“อะไรนะ? 160 เฟลคิน?”
“ผ้าใบแค่ม้วนเดียวราคา 160 เฟลคินเชียวหรือ?”
…………………………………………………….