ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 182 ‘ยาสารภาพ’
ตอนที่ 182 ‘ยาสารภาพ’
“คุณคิดยังไงล่ะ มาดามจินนา?” ลูเมี่ยนยิ้มพลางย้อนคำพูดของเธอเอง
“แม่ง!” จินนายกมือขึ้น หันกลับไปอย่างขุ่นเคือง เดินกลับลงไปยังชั้นล่าง
ลูเมี่ยนคิดอยู่สักพัก เคาะโต๊ะตรงหน้า แล้วพูดกับลูอิสและซาโกตา
“เอาอัปแซ็งต์แอนีซมาให้ฉันแก้วนึง”
ในฐานะ ‘คนคุม’ คาบาเร่ต์ลมเอื่อย สิ่งที่เขากินดื่มที่นี่จะไม่เสียเงิน
เมื่อรู้ว่ากำไรส่วนใหญ่ของคาบาเร่ต์ต้องแบ่งให้บอสกับจ่ายส่วยตำรวจ เขายิ่งไม่อยากประหยัดแล้ว
การทำเช่นนี้จะไม่กระทบตัวเองมากนัก แต่ไปหนักภาระของบอสแทน!
ลูเมี่ยนดื่มเหล้าสีเขียวอ่อนสองแก้วซึ่งมีรสขมและชวนให้เคลิบเคลิ้ม พลางนั่งแช่อยู่ที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อยจนเกือบเที่ยงคืน
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน หันไปบอกลูอิสกับซาโกตา
“ฉันจะเข้านอนแล้ว พวกนายอยู่จนกว่าคาบาเร่ต์จะปิดแล้วค่อยกลับ”
“ถ้ามีใครมาก่อกวนก็โยนมันออกไป ถ้าสู้ไม่ไหวก็เรียกทุกคนมารุม ไม่ต้องกลัวที่จะยิง ถ้ามีอะไรฉันรับผิดชอบเอง”
สิ่งที่เขาไม่ได้พูดก็คือ ‘ถ้าฉันรับผิดชอบไม่ไหว ก็ให้บอสรับไม้ต่อ’
คาบาเร่ต์ลมเอื่อยเปิดทุกวันจนถึงตีสอง เปิดอีกทีก็สัก 10.30 ถึง 11 โมงเช้าประมาณนั้น
“ครับ ลูกพี่” ซาโกตากับลูอิสตอบพร้อมกัน
กลับถึงห้องนอน ลูเมี่ยนนั่งแช่อีกสักสิบห้านาที แล้วจึงถือกระเป๋าสีน้ำตาลที่ใส่สมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ แทรกตัวออกจากหน้าต่าง กระโดดลงจากชั้นสอง
เด็กหนุ่มลงพื้นอย่างมั่นคง เดินเลียบเงามืดไปตลอดทาง ออกจากถนนใหญ่ตลาดเข้าสู่ถนนเสื้อนอกขาว ดอดเข้าบ้านลับที่เช่าเอาไว้ก่อนหน้า
ซ่อนสมุดบันทึกเวทมนตร์เอาไว้ โรยผงกำมะถันไล่แมลงเสร็จ ลูเมี่ยนก็ออกจากห้อง เลี้ยวเข้าตรอกหนึ่งหลังถนนเสื้อนอกขาว ตั้งใจจะกลับไปนอนที่โรงแรมระกาทองคืนนี้
เดินไปได้หลายสิบก้าว เขาเห็นกองขยะสูงอยู่ข้างๆ เครื่องกีดขวาง
พวกคนเก็บขยะกับคนทำความสะอาดจะมาจัดการพรุ่งนี้เช้า ปัจจุบันจึงเป็นแดนสวรรค์ของหนู แมลงสาบ แมลงวัน และสุนัขจรจัด
เมื่อเห็นหนูและสุนัขจรจัด ลูเมี่ยนนึกอะไรขึ้นมาได้
ในขวดโลหะสามใบที่ได้มาจากไอ้วิตถารเฮิดซ์ ยังมีขวดหนึ่งที่ไม่รู้ประโยชน์การใช้งาน
ลองดูสักหน่อยดีกว่า… ลูเมี่ยนพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
ด้วยฝีมือ ปฏิกิริยา การเคลื่อนไหวอันว่องไว และความสามารถในการสังเกต เด็กหนุ่มใช้เท้าเหยียบหนูสีเทาดำได้ไม่ยากเย็น ก่อนจะย่อตัวลง หยิบขวดโลหะที่ค่อนข้างหนักออกมา แล้วเทของเหลวไร้กลิ่นไร้สีลงในปาก ‘เหยื่อ’ บางส่วน
หนูตัวดังกล่าวส่งเสียงจี๊ดๆ ทันที นอกเหนือจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
“ด้วยนิสัยของไอ้วิตถารนั่น เรานึกว่าจะเป็นยากระตุ้นอารมณ์เสียอีก แต่ดูไม่เหมือนเท่าไรเลย… อา… ไอ้เวรนั่นมีพลังกระตุ้นกำหนัดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเตรียมขวดยาที่มีผลซ้ำซ้อนไว้…” ลูเมี่ยนปล่อยเท้าขวา มองหนูตัวนั้นหนีไปหาหนูตัวอื่น มุดไปทางนั้นทีทางนี้ที ส่งเสียงจี๊ดๆ ไม่หยุด แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใด
แปลกจริง… ลูเมี่ยนมองอยู่นานแต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป
ทันใดนั้น ด้านหลังเขามีเสียงใสกังวานดังขึ้น
“กำลังทำอะไรอยู่”
ลูเมี่ยนหันกลับไป แลเห็น ‘บูตแดง’ ฟรังก้าเดินออกจากเงาที่ปลายตรอก
เธอยังคงสวมบูตสีแดง กางเกงขี่ม้าสีขาวครีม เสื้อเชิ้ตสตรี ทับด้วยเสื้อนอกลายตารางสีขาวดำ ผมสีป่านเกล้าขึ้นง่ายๆ
คุณมาทำอะไรแถวนี้? ลูเมี่ยนตั้งใจจะถามออกไป แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าฟรังก้าอาศัยอยู่บนถนนเสื้อนอกขาวบ้านเลขที่ 3
เด็กหนุ่มจึงตอบอย่างเถรตรง
“ทำการทดลองน่ะ”
“ทดลองอะไร?” ‘บูตแดง’ ฟรังก้าเดินเข้ามาด้วยความสนใจ
ดวงตาสีทะเลสาบใสๆ ของเธอกวาดมองไปตามฝูงหนูก่อนจะหัวเราะ
“พี่สาวสอนให้ใช้หนูเป็นหนูทดลองหรือไง?”
“หมายถึงหนูสีขาว?” ลูเมี่ยนรู้สึกว่าการสื่อสารกับฟรังก้าเป็นเรื่องง่าย ศัพท์หลายคำไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่ม
เด็กหนุ่มพูดต่อ
“จินนาไม่ได้เล่าให้ฟังหรือว่าตอนที่ฆ่าไอ้วิตถารนั่น ผมเอาขวดโลหะสามใบมาจากศพมัน ใบหนึ่งมีแก๊สยาสลบใช้ไปหมดแล้วตอนฆ่า ‘ค้อนเหล็ก’ อีกใบเป็นแก๊สฉุนเอาไว้คู่กัน ยังเหลืออีกเพียบ”
“อีกขวดเป็นของเหลว ผมไม่รู้ว่ามันมีฤทธิ์แบบไหน เลยมาทดลองกับหนูพวกนี้”
ฟรังก้าทำหน้าเหมือนเพิ่งกระจ่าง
“…ของที่ไอ้โรคจิตนั่นทิ้งเอาไว้นี่เอง”
แล้วเธอก็ถามด้วยความคาดหวัง
“หรือจะเป็นยากระตุ้นอารมณ์?”
ทำไมถึงคิดเหมือนกันเลยล่ะ? ลูเมี่ยนรู้สึกขบขัน พลางชี้ไปยังหนูตัวที่ยังคงร้องจี๊ดๆ ไม่หยุด
“ดูแล้วไม่น่าจะใช่”
“คุณดูผิดหวังหน่อยๆ นะ”
ฟรังก้าไม่ปิดบังอารมณ์ เพียงถอนหายใจ
“ก็ใช่น่ะสิ… ถ้าเป็นยากระตุ้นอารมณ์จริงๆ จะน่าสนุกแค่ไหนกันนะ”
“ถ้าเป็นยากระตุ้นอารมณ์จริงๆ คุณอยากเอาไปใช้ทำอะไร?” ลูเมี่ยนนึกสงสัยว่าฟรังก้าจะใช้กับจินนาอย่างไร
ฟรังก้ามองเด็กหนุ่มปราดหนึ่ง
“อะไร? กำลังแอบใส่ร้ายฉันอยู่ในใจหรือไง? คิดว่าฉันไม่มีขีดจำกัดล่างทางศีลธรรมหรือไง?”
“ที่ฉันหวังว่ามันจะเป็นยากระตุ้นอารมณ์ หลักๆ เพราะอยากลองดูว่ามันรู้สึกอย่างไร ได้ผลดีแค่ไหน ฉันจะดื่มเองนิดหน่อย ให้การ์ดเนอร์ดื่มนิดหน่อย พวกคู่นอนของเขา ถ้าใครอยากลองก็ดื่มได้… เด็กอย่างคุณจะเข้าใจความสนุกของผู้ใหญ่ได้หรือ? เคยสัมผัสความสุดเหวี่ยงไหม?”
เธอเอียงคอมองขวดโลหะใบเล็กในมือลูเมี่ยน
“ให้ฉันช่วยตรวจสอบผลของมันไหม?”
“คุณไม่กลัวอันตรายหรือไง” ลูเมี่ยนประหลาดใจเล็กน้อย
ตอนนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ของเหลวในขวดคือยาพิษช้าๆ หรือสื่อกลางคำสาปหรือไม่!
ฟรังก้าหัวเราะคิกๆ
“คุณควรรีบเสริมความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับอีกเยอะๆ เลย”
“ฉันคิดจะใช้การทำนาย… แม่มดก็มีพลังทำนายที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง”
ในสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ไม่ได้เขียนไว้ มีแต่บันทึกว่าโอสถ ‘แม่มด’ จะทำให้เปลี่ยนเพศ และสันนิษฐานว่าแม่มดถนัดเวทมนตร์… อา… ถ้าถนัดเวทมนตร์ พลังทำนายก็ไม่น่าจะแย่… ลูเมี่ยนยื่นขวดที่บรรจุของเหลวเป็นส่วนใหญ่ให้ฟรังก้า
ฟรังก้าเดินไปที่ริมตรอกแล้วหยุดอยู่หลังอาคารห้าชั้น
หญิงสาวยื่นมือขวาออกมา ลูบไล้กระจกหน้าต่างมืดๆ อย่างทะนุถนอม
ขณะเดียวกันก็ท่องคาถาเป็นภาษาเฮอร์มิสด้วยเสียงแผ่วจาง แม้แต่หูของลูเมี่ยนก็ยังได้ยินเพียงลางๆ แค่ไม่กี่คำ
“พลังวิญญาณ… สอบถาม… คำตอบ”
ไม่กี่วินาทีถัดมา หน้าต่างกระจกกลายเป็นดูมืดแบบลึกลับ ประหนึ่งเชื่อมต่อกับโลกอีกใบที่ไม่มีใครรู้จัก
ฟรังก้าก้าวถอยหลัง ยกขวดโลหะใบเล็กขึ้น พูดเป็นภาษาอินทิสว่า
“ของเหลวในขวดนี้คืออะไร?”
เกิดการกระเพื่อมขึ้นบนผิวกระจกทันที เสียงที่ฟังดูแก่ชราอย่างยิ่งดังมาจากด้านในกระจก
“กระตุ้นให้อยากเปิดเผยความจริง”
ฟรังก้าพยักหน้าแล้วขอบคุณเบาๆ ก่อนจะยุติการทำนาย
รอจนกระทั่งหน้าต่างกลับสู่สภาพเดิม หญิงสาวหันมาพูดกับลูเมี่ยน
“น่าจะเป็นยาที่คล้ายกับ ‘ยาสารภาพ’ นะ”
โอลัวร์ไม่เคยเอ่ยคำนี้
ฟรังก้าอธิบายรวบรัด
“ก็คือยาที่ทำให้คนพูดความจริง”
“เมื่อใครสักคนถูกกระตุ้นให้อยากเปิดเผยความจริง ถ้าเสริมแรงด้วยคำถามของ ‘นักสอบสวน’ แม้คำตอบจะฟังดูเหลวไหลเพียงใด แต่ก็ยากที่จะเป็นคำลวง คนคนนั้นจะพูดสิ่งที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจออกมา”
กระตุ้นให้อยากเปิดเผย… คล้ายคลึงกับพลังอื่นๆ ของไอ้วิตถารนั่น ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับแรงกระหายต่างๆ ของมนุษย์… ไม่แปลกที่มันคือ ‘พร’ จาก ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ … สำหรับคนที่ไม่ถนัดการสื่อวิญญาณและการทำนายอย่างเรา ไอ้นี่มีประโยชน์มากทีเดียว… ลูเมี่ยนรับขวดโลหะใบเล็กคืนจากฟรังก้า
ฟรังก้าเหลียวซ้ายแลขวาแล้วถามยิ้มๆ
“ทำไมถึงต้องมาทดลองไกลถึงถนนเสื้อนอกขาว?”
“ถิ่นของคุณไม่ใช่ถนนใหญ่ตลาดกับถนนอลเวงหรือไง?”
ลูเมี่ยนไม่ปิดบัง
“ผมเช่าบ้านลับไว้แถวนี้เพื่อเก็บสมุดบันทึกเวทมนตร์ของพี่สาว… กลัวว่าจะถูกใครทำลายตอนถูกตามล่า”
“รอบคอบดีมาก” ฟรังก้าพยักหน้าชื่นชม “พี่สาวของคุณโชคดีมากที่มีน้องชายแบบนี้… ฉันเคยมีน้องชายคนนึง เขาทั้งหยิ่งและขี้โอ่ แต่ไม่ได้เก่งจริง ฉันล่ะอยากทุบตีสั่งสอนเขาทุกวัน…”
พูดไปพูดมา ฟรังก้าก็เงียบลงและก้มมองบูตสีแดงของเธอ
เคยมี แปลว่าตอนนี้ไม่มีแล้วสินะ? ลูเมี่ยนหัวไวสังเกตเห็นว่าฟรังก้าไม่อยากเล่าต่อ จึงเข้าใจเหตุผลที่อารมณ์ของเธอหดหู่ลง
ผ่านไปสักไม่กี่วินาที ฟรังก้าก็กลับมายิ้ม
“พี่สาวคงไว้ใจคุณมาก… ไม่อย่างนั้นคงไม่เล่าเรื่ององค์กรเราให้ฟัง แม้พวกเราจะไม่ได้เน้นย้ำเป็นพิเศษว่าห้ามเล่าให้คนในครอบครัวฟัง แต่ก็แทบไม่มีใครพูดหรอก เพราะว่า…”
ฟรังก้าเงียบไปอีกครั้ง เผยให้เห็นรอยยิ้มฝืดผืน
เพราะว่าอะไร!? แม้ลูเมี่ยนจะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถาม เพียงอธิบายรวบรัดถึงเหตุผลที่โอลัวร์เล่าให้ฟัง
“ตอนนั้นพวกเราอยู่ท่ามกลางวิกฤติ ไม่รู้ว่าใครจะตายใครจะรอด พี่ก็เลยยอมเล่าความลับบางอย่างกับผม หวังว่าวันข้างหน้าอาจจะมีประโยชน์”
“อย่างนี้นี่เอง” ฟรังก้าพยักหน้ารับ ปรับอารมณ์แล้วพูดยิ้มๆ “ทีแรกก็นึกว่าคุณมาที่ถนนเสื้อนอกขาวเพราะมาหาฉัน อดใจไม่ไหวแล้วที่จะศึกษาศาสตร์เร้นลับ”
“ดึกเกินไป” ลูเมี่ยนรู้สึกเหนื่อยแล้ว
ฟรังก้าหัวเราะชอบใจ
“ฉันก็ไม่ได้จะทำอะไรคุณหรอก ไปมีอะไรกับคนที่รู้เพศกำเนิดของตัวเอง… มัน…บ้ามาก น่าอายเกินไปแล้ว”
แน่หรือ? ฉันกลัวว่าถ้าเธอชินกับมันแล้ว จะรู้สึกว่าความอายนั่นยิ่งช่วยกระตุ้นความตื่นเต้น… ลูเมี่ยนเชื่อว่าฟรังก้าที่ถูกชักจูงด้วยประโยค ‘ชีวิตมันสั้น ลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง’ น่าจะทำอะไรที่เกินความคาดหมายไปแล้วหลายเรื่อง
ลูเมี่ยนบอกลานางมารแล้วกลับไปยังโรงแรมระกาทอง
จนถึงวันพฤหัสบดี ที่ย่านตลาดคนซื่อก็ไม่มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้น
สองทุ่มตรง ลูเมี่ยนกลับมายังถนนเฌอร์บ้านเลขที่ 19 เขตถนนหลวง พบกับมิสเตอร์ K ในห้องใต้ดิน
มิสเตอร์ K ชี้ไปยังคนรับใช้สามคนที่คอยถือถาดเงินอยู่ด้านหลัง
“มีสมบัติวิเศษอยู่สามชิ้น ราคาอยู่ระหว่าง 15,000 ถึง 20,000 เฟลคิน คุณเลือกเอาได้เลย”
…………………………………………………….