ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 147 ตอบสนอง
ตอนที่ 147 ตอบสนอง
ลูเมี่ยนเพิ่งเดินลงมาถึงชั้นสอง ก็เห็นชาร์ลีเดินวนอยู่หน้าประตูห้องของตน
“หือ… อย่าบอกนะว่าฝันร้ายอีกแล้ว? อยู่ๆ ก็มายืนหน้าห้องฉัน เห็นแล้วใจคอไม่ดีเลย” ลูเมี่ยนทักทายอย่างสนิทสนมปนจิกกัด
เขายังคงขุ่นเคืองเรื่องที่ชาร์ลีไม่ยอมไปวิหารสุริยันเจิดจรัส แต่กลับมาหาตนแทน
ชาร์ลีมองมาทางบันได กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
“น่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นที่ชั้นสี่นะ…”
“ขอแสดงความยินดีด้วย นายไม่ได้หูหนวก” ลูเมี่ยนชมเชย “ก็มีเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ นั่นแหละ ฉันเพิ่งโยนวิลสันลงมาจากข้างบน”
“อะไรนะ…” ชาร์ลีทำหน้าไม่เข้าใจอีกครั้ง
ผ่านไปสองวินาทีถึงค่อยเริ่มตอบสนอง
“วิลสันไหน? คนของแก๊งหนามพิษที่มาไถเงินคุณอีแซงซ์?”
“ใช่” ลูเมี่ยนพยักหน้าอย่างสงบ
ชาร์ลีทำหน้า ‘อย่างนี้นี่เอง’ ในทีแรก แต่แล้วก็โพล่งขึ้นอย่างตกตะลึง
“นายโยนเขาลงมาจากข้างบน?”
“ชั้นไหน?”
“สี่” ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ
ปากของชาร์ลีค่อยๆ อ้ากว้างและไม่ได้หุบกลับ
“นายไม่ได้กำลังอำฉันเล่นใช่ไหม?” ผ่านไปสักสองสามลมหายใจ ในที่สุดเขาก็รวบรวมสติได้ เร่งถามไถ่ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดสุดขีด
ลูเมี่ยนชี้ไปยังห้องฝั่งตรงข้าม
“ถ้านายไม่เชื่อ ลองชะโงกลงไปดูในซอยหลังตึกก็ได้… หมอนั่นอึดยังกับแมลงสาบ ตกจากชั้นสี่แล้วยังไม่ตายเลย”
“…” เป็นอีกครั้งที่ชาร์ลีมองลูเมี่ยนด้วยสายตาเหมือนคนเพิ่งรู้จักกัน เนื่องจากเพิ่งพบว่าเพื่อนรักที่ชอบแกล้งอำรายนี้ ผู้มีนิสัยหาญกล้าและเฉลียวฉลาด ยังมีด้านที่ตนไม่รู้จักอยู่
แววตาเหมือนคนไม่รู้จักกฎหมาย กระดูกเคลือบไว้ด้วยความเย็นชา สมองปราศจากความขยาดกลัว ถึงขั้นที่สามารถโยนคนเป็นๆ ลงมาจากชั้นสี่ มิหนำซ้ำยังเป็นหัวหน้าหน่วยของแก๊งหนามพิษ!
ไม่กลัวตายบ้างเลยหรือไง?
ไม่กลัวจะถูกแก๊งหนามพิษแก้แค้นบ้างหรือไง?
เรื่องนี้ทำให้ชาร์ลีนึกถึงพฤติกรรมของชาร์ลในตอนที่ถูกซูซานน่า·มาติสข่มขู่ — การนำมีดสั้นมาจ่อคอตน
ชาร์ลีคิดมาตลอดว่านั่นเป็นแค่การขู่ให้กลัว แต่ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยว่า หากซูซานน่า·มาติสไม่ยอมประนีประนอม ชาร์ลอาจลงมือตามที่พูดจริงๆ
แน่นอน มีดเล่มนั้นไม่ใช่มีดคำสาปอะไร
วินาทีถัดมา ชาร์ลีมองไปรอบๆ ก่อนจะกดเสียงให้ต่ำลง
“น…นายบ้าไปแล้วหรือไง? แก๊งหนามพิษไม่ใช่พวกที่จะรับมือได้ง่ายๆ นะ!”
“นายรีบย้ายที่อยู่เถอะ… แค่ออกนอกเขตตลาดก็น่าจะปลอดภัยแล้ว”
ในมุมมองของชาร์ลี ไม่ว่าชาร์ลจะเสียสติหรือเป็นพวกไม่สนใจกฎหมายเพียงใด แต่อีกฝ่ายก็เคยช่วยเหลือตน จำเป็นต้องตักเตือนให้ทราบว่าอันตรายกำลังจะมาเยือนเขา ควรรีบหนีไปโดยเร็ว
ลูเมี่ยนยิ้ม
“แก๊งซาฟาห์ของเราก็รับมือไม่ง่ายเหมือนกันนะ”
“หือ…” ชาร์ลีเพิ่งเอะใจว่า สถานการณ์อาจไม่แย่อย่างที่ตนเข้าใจ
ลูเมี่ยนเปิดประตูห้อง 207 แล้วเดินเข้าไปพลางพูด
“นับแต่นี้ไป โรงแรมระกาทองคือถิ่นของแก๊งซาฟาห์เรา ถ้าแก๊งหนามพิษคนไหนกล้ามาแหย็ม ฉันจะโยนมันลงไปกับมือ”
ที่แท้แก๊งซาฟาห์ก็ส่งชาร์ลมาปราบวิลสัน? ชาร์ลีเพิ่งจะเข้าใจ จึงโล่งอกไปหลายเปลาะ
ถ้าแก๊งซาฟาห์กล้าเปิดศึกก่อน ก็ย่อมต้องมีวิธีรับมือแก๊งหนามพิษล่วงหน้า ไม่จำเป็นต้องให้คนตกงานจนๆ อย่างตนคอยเป็นห่วง
ลูเมี่ยนปิดกระเป๋าเดินทางที่บรรจุเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนและสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ ผลักมันเข้าไปใต้เตียง แล้วใช้ผ้าปูที่นอนคลุมให้พอมิด ก่อนจะเหยียดตัวยืนตรงพลางพูดกับชาร์ลี
“ถ้ามีคนมาหาฉัน บอกไปว่าฉันอยู่ที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อย”
“ตกลง…” ชาร์ลีมองลูเมี่ยนเดินหายไปทางบันได ก่อนจะเพิ่งนึกอะไรออก
หลังจากนี้คุณอีแซงซ์จะเป็นยังไงต่อ?
เธอจะกลายเป็นของแก๊งซาฟาห์ หรือมีโอกาสไถ่ตัวเองกลับคืนมา?
…………
ถนนใหญ่ตลาด คาบาเร่ต์ลมเอื่อย
ลูเมี่ยนนั่งลงตรงเคาน์เตอร์บาร์ เคาะโต๊ะแผ่วเบาพร้อมกับพูด
“เอา ‘คู่รัก’ หนึ่งแก้ว มันบดหนึ่งที่ เนื้อลูกวัวน้ำมันหมูหนึ่งจาน ไส้กรอกหมูหนึ่งอัน ครัวซองต์หนึ่งอัน”
คู่รักหมายถึง ‘ไวน์น้ำตาล’ เครื่องดื่มที่กลั่นจากน้ำเชื่อมอ้อย ผสมน้ำกับน้ำแข็ง เป็นศัพท์สแลงทั่วไปในบาร์ของอินทิส
ผ่านไปไม่นาน ลูเมี่ยนได้รับเครื่องดื่มสีเหลืองอำพันหวานฉ่ำ กับเนื้อลูกวัวน้ำมันหมูที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวน
เด็กหนุ่มทั้งชิมอาหารอร่อย ทั้งฟังเพลงจากลานเต้นรำ บางครั้งก็ขยับร่างกายไปตามจังหวะ
ทันใดนั้น นักเลงของแก๊งที่เป็นคนสนิทของบารอนบรินิแยร์ นั่งลงข้างๆ เขา
ลูเมี่ยนหันไปมองหน้าผากอีกฝ่ายที่มีรอยช้ำ ก่อนจะพูดยิ้มๆ
“เจอกันครั้งที่สามแล้วสินะ… นายชื่ออะไรล่ะ”
นักเลงตอบด้วยท่าทีเกร็งๆ
“เรียกผมว่าลูอิสก็ได้”
อีกหนึ่งลูอิส… ลูเมี่ยนหัวเราะเบาๆ ในใจ
ในสาธารณรัฐอินทิส ชื่อลูอิสโหลพอๆ กับปิแยร์หรือกิโยม และลูอิสที่ลูเมี่ยนพบเจอก่อนหน้านี้ คือผู้ชายที่คลอดลูกได้
ลูอิสมองลูเมี่ยนหยิบครัวซองต์ขึ้นมากัดหนึ่งคำ จึงพยายามชวนคุยเพื่อตีสนิท
“มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง ถือว่าคุณเพิ่งเคยมาเที่ยวคาบาเร่ต์ล่มเอื่อยของเรา”
“เอาสิ” ลูเมี่ยนไม่แสร้งทำตัวมีมารยาท
ลูอิสสั่งเครื่องดื่มที่ในศัพท์สแลงเรียกว่า ‘ปีศาจ’ เป็นน้ำเชื่อมมะนาวโซดา หลังจากจิบเข้าไปก็พูดว่า
“คุณพักอยู่ที่โรงแรมระกาทองใช่ไหม”
“ใช่” ลูเมี่ยนใช้ส้อมเสียบชิ้นไส้กรอกที่ถูกหั่น แล้วยัดใส่ปาก
ลูอิสครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด
“นั่นเป็นถิ่นของแก๊งหนามพิษ คุณอยากย้ายไปอยู่ถนนเสื้อนอกขาวไหม?”
“ไม่จำเป็น” ลูเมี่ยนดื่ม ‘คู่รัก’ ที่มีรสหวานของคาราเมลเย็นชื่นใจ ก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้มันเป็นถิ่นของแก๊งซาฟาห์เราแล้ว”
“อะไรนะ?” ลูอิสเกือบสำลักเครื่องดื่มในปาก
ลูเมี่ยนหันไปพูดยิ้มๆ
“ฉันโยนวิลสันแห่งแก๊งหนามพิษลงมาจากชั้นสี่ของโรงแรมระกาทอง ตอนนี้มันกลายเป็นถิ่นของแก๊งซาฟาห์เราแล้ว”
ได้ยินคำบรรยายของอีกฝ่าย สีหน้าของลูอิสค่อยๆ แข็งค้างไป
ผ่านไปไม่กี่วินาที เขายิ้มเจื่อนๆ พร้อมกับรีบลุกขึ้น
“ผมต้องนำเรื่องนี้ไปรายงานให้บารอนทราบ”
ทำไมไอ้หมอนี่ถึงเหี้ยมโหดและบ้าระห่ำยิ่งกว่าบารอนเสียอีก?
“เอาสิ” ลูเมี่ยนไม่ได้มองว่าเป็นปัญหา
ลูอิสเดินออกไปเร็วๆ ได้สองสามก้าว ก่อนจะรีบหันหน้ากลับมาโน้มตัวเข้าหาลูเมี่ยนพลางถามเสียงแผ่ว
“วิลสันตายไหม?”
“ไม่ตาย” ลูเมี่ยนตอบด้วยท่าทางเสียดาย
เอ็งเสียดายอะไร? ลูอิสจ้องหน้าเด็กหนุ่ม ในใจพลันผุดความคิดหนึ่ง
นี่พวกเราหามีดมาใช้ หรือกำลังหาเหาตัวใหญ่ใส่หัว?
…
ถนนใหญ่ตลาด อาคารหมายเลข 126 ภายในตึกสามชั้นที่มีสวนดอกไม้เล็กๆ ของโรเจอร์
เมื่อเห็นวิลสันถูกหามมาตรงหน้าในสภาพยับเยิน โรเจอร์ใช้นัยน์ตาสีน้ำเงินอันเย็นชา มองไปยังนักเลงสามคนที่เอาแต่สั่นกลัว
“ฝีมือใคร”
“คนของแก๊งซาฟาห์ครับ!” นักเลงคนหนึ่งที่ยืนโก่งตัวเล็กน้อย รีบขานตอบ “หมอนั่นบอกว่าชื่อชาร์ล อ้างว่าโรงแรมระกาทองเป็นของแก๊งซาฟาห์แล้ว!”
ชาร์ล… ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย ท่าทีสับสนปนระมัดระวัง
เขาพึมพำกับตัวเอง
“ในบรรดาหัวหน้าหน่วยดังๆ ของแก๊งซาฟาห์ไม่มีใครชื่อชาร์ล…”
“หมอนั่นทำให้วิลสันอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง?”
ต้องไม่ลืมว่าวิลสันคือ ‘อันธพาล’ ที่มีทักษะการต่อสู้ดีเยี่ยม แข็งแกร่งเทียบเท่าผู้วิเศษลำดับ 9!
ขณะเดียวกัน นักเลงอีกคนพูดกึ่งๆ คาดเดา
“บอสครับผมนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง… เย็นวันที่มาร์โกต์ตาย พวกเราไปโรงแรมระกาทองกันมา”
ท่าทีของโรเจอร์ค่อยๆ กลายเป็นขึงขัง เจือความดุร้ายปนโกรธเคือง
“นั่นก็เป็นฝีมือชาร์ล? มันใช้วิธีแบบไหน…”
“แก๊งซาฟาห์แอบรับคนมีฝีมือระดับนี้เข้ามา เพื่อจะขับเราออกจากเขตตลาด?”
บุรุษที่ยืนข้าง ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงปนเกลียดชัง
“หนแรกก็ลอบสังหาร หนที่สองก็ท้าทายกันซึ่งๆ หน้า… ถ้าเราไม่ตอบโต้เสียบ้าง ไม่รู้ว่าหนที่สามพวกมันจะทำอะไร!”
ชายผู้นี้โกนผมเกลี้ยงเกลา แต่ภาพรวมกลับดูดี นัยน์ตาสีทะเลสาบ ดั้งโด่ง คิ้วหน้า ริมฝีปากเข้ารูป ทำให้แม้จะโกนหัวก็ยังดูหล่อเหลา
เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงขี่ม้าสีเข้ม บูตหนังไม่มีสายรัด ไม่ได้ใส่เสื้อนอก สูงเกือบหนึ่งเมตรแปด
โรเจอร์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูดกับชายข้างกาย
“ฮาร์มัน… ไปหาบารอนบรินิแยร์ ถามเจ้านั่นว่าเกิดอะไรขึ้น ถามว่าแก๊งซาฟาห์อยากเปิดศึกเต็มรูปแบบกับแก๊งหนามพิษหรืออย่างไร”
“ถ้าอีกฝ่ายยินดีประนีประนอม เราก็พร้อมจะต่อรอง”
“จงจำเอาไว้ว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ต้องเรียนรู้ที่จะอดทน”
…………
บนระเบียงสักห้องหนึ่งบนชั้นสามของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
บารอนบรินิแยร์กำลังสูบกล้องยาสีไม้ท้อด้วยท่าทีผ่อนคลาย ตามองดูแขกเดินเข้าเดินออกลานเต้นรำ
ทันใดนั้น เขาหันตัวไปมองทางประตู
สองวินาทีให้หลัง ลูอิสผลักประตูเข้ามา เดินแหวกนักเลงสองสามคนเข้าไปในระเบียง
“ฝีก้าวหนักแน่นรีบร้อน… เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” บารอนบรินิแยร์ถามด้วยรอยยิ้ม
ลูอิสตอบอย่างกระวนกระวาย
“บารอน… ชาร์ลคนนั้นโยนวิลสันลงมาจากชั้นสี่ของโรงแรมระกาทอง!”
“วิลสันแห่งแก๊งหนามพิษ?” บารอนบรินิแยร์นึกย้อนก่อนจะถามกลับ
“ครับ… เขาบาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ตาย” ลูอิสเสริมด้วยข้อมูล
บารอนบรินิแยร์ถือกล้องยาสูบ ทำหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด
“ชาร์ลได้บอกไหมว่าทำไปทำไม”
“เขาบอกว่า ‘ตอนนี้โรงแรมระกาทองกลายเป็นถิ่นของแก๊งซาฟาห์เราแล้ว’” ลูอิสทวนคำของลูเมี่ยน
บารอนบรินิแยร์ยิ้มเงียบๆ
ก่อนจะอัดกล้องยาเข้าไปหนึ่งลม แล้วกล่าวอย่างมีเลศนัย
“มีดคมๆ น่ะ ถ้าจับไม่ดีมันจะบาดมือตัวเองได้ง่าย”
“เราต้องหาโอกาส ‘เตือน’ เขาสักหน่อย”
“เราควรจะบอกบอสเรื่องแก๊งหนามพิษไหมครับ?” ลูอิสถามอย่างเป็นกังวล
บารอนบรินิแยร์ไตร่ตรองอยู่สักพัก
“ตอนนี้ยังก่อน…”
“ครั้งนี้ถือว่าชาร์ลทำดี… ฉันเองก็อยากเห็นว่าแก๊งหนามพิษจะตอบสนองยังไง”
เห็นลูกน้องทำหน้าสงสัย บารอนบรินิแยร์ที่ชอบ ‘สอน’ เพื่ออวดความฉลาดของตัวเอง พูดยิ้มๆ
“นับตั้งแต่แก๊งหนามพิษถูกก่อตั้ง ผ่านไปยังไม่ถึงสองปี จำนวนผู้มีพลังวิเศษฝั่งมันก็งอกเงยจนเกือบจะเท่าเราแล้ว สามารถยึดครองถิ่นได้มากมาย… นายไม่คิดว่ากลิ่นมันตุๆ บ้างหรือ?”
“ถ้าปล่อยไว้อีกสักสองปี ฉันล่ะกลัวจริงๆ ว่าพวกเราจะถูกไล่ออกจากเขตตลาด”
“ถ้าพวกมันอยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ฉันก็ไม่ขัดข้อง จะได้ถือโอกาสนี้ดึงทางการเข้ามาตรวจสอบ ว่าพวกมันมีใครคอยหนุนหลังอยู่กันแน่”
……………………………………………………..