ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 146 ถิ่น
ตอนที่ 146 ถิ่น
ชาร์ลีสับสนอย่างหนัก พลางตอบกลับตามสัญชาตญาณ
“ไม่มีปัญหา”
ระหว่างที่ลูเมี่ยนนับธนบัตรให้ครบห้าสิบเฟลคิน ชาร์ลีพลันได้สติ รีบมองออกไปนอกประตูด้วยความกลัวปนระแวง
ตอนนี้ยังเป็นยามเย็น แต่ชั้นห้าไม่เหมือนกับชั้นสองที่มีระเบียงใหญ่สุดปลายทางเดินทั้งสองฝั่ง ทำให้แสงผ่านไม่สะดวก บรรยากาศมืดมัวราวกับตกดึกแล้ว
เมื่อเห็นว่าบนทางเดินไม่ค่อยมีคน ชาร์ลีโล่งใจขึ้นมาบ้าง รีบหรี่เสียงแล้วพูดกับลูเมี่ยน
“นายไปหลอกขายสร้อยปลอมกับคนอื่นมาในราคาหนึ่งพันเฟลคิน?”
“พูดผิดไปสองจุดนะ” ลูเมี่ยนยิ้มพลางยื่นปึกธนบัตรรวมห้าสิบเฟลคินให้ชาร์ลี “จุดแรก ฉันไม่ได้หลอกลวง ‘คน’ อื่น”
“แล้วหลอกอะไร?” ชาร์ลีรีบรับปึกธนบัตร 1 เฟลคินกับ 5 เฟลคินไว้ ในใจยังคงมีคำถาม
รอยยิ้มลูเมี่ยนเปลี่ยนเป็นสดใสทันที
“แก๊งซาฟาห์”
ได้ยินคำตอบดังกล่าว ชาร์ลีแทบจะโยนธนบัตรในมือทิ้ง
เขามองลูเมี่ยนด้วยความกลัวเสียเต็มประดา
“นายบ้าไปแล้วหรือไง?”
“พวกมันฆ่าคนนะ! บนถนนอลเวงมีคนหายตัวไปบ่อยๆ!”
ลูเมี่ยนยิ้มอย่างมีเลศนัย
“จุดที่สอง ฉันไม่ได้หลอกลวง”
“หือ?” ชาร์ลีตามกระบวนการความคิดของลูเมี่ยนไม่ทันเลย
เด็กหนุ่มอธิบายยิ้มๆ
“พวกเขารู้ว่าสร้อยคอเป็นของปลอมแต่ก็ยังยินดีจ่ายหนึ่งพันเฟลคิน”
มันจะเป็นไปได้ยังไง? ความเข้าใจแรกของชาร์ลีก็คือ อีกฝ่ายกำลังอำตน
คนของแก๊งซาฟาห์แม้จะชอบใช้กำลัง แต่ก็ไม่ได้โง่ เหตุใดต้องยอมจ่ายหนึ่งพันเฟลคินเพื่อสร้อยคอปลอมที่มีมูลค่าแค่ห้าสิบเฟลคิน?
ทันใดนั้น ชาร์ลีเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้
“นายคงไม่ได้ไปปล้นหัวหน้าหน่วยของแก๊งซาฟาห์มาหรอกนะ…?”
แบบนั้นยิ่งบ้าเข้าไปใหญ่!
ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ
“ใจเย็น… ฉันบรรลุข้อตกลงกับบารอนบรินิแยร์ในการสนทนาที่เป็นมิตร”
“ไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหาตามมาแน่นอน”
“หืม… หรือว่านายจะไม่เอาห้าสิบเฟลคินนี้?”
สนทนาอย่างเป็นมิตรกับบารอนบรินิแยร์… เป็นอีกครั้งที่ชาร์ลีตระหนักว่าตนไม่รู้จักเพื่อนบ้านคนนี้เลย
คำนึงจากการที่ตัวเองแทบไม่มีเงินเหลือแล้ว เขารับปึกธนบัตรห้าสิบเฟลคินไว้พลางพึมพำคนเดียว
“ขอบคุณ”
ลูเมี่ยนพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกประตูไป
ทันใดนั้น ชาร์ลีที่เริ่มเข้าใจภาพรวมอย่างคลุมเครือ โพล่งขึ้นตามสัญชาตญาณ
“หรือว่านาย… เข้าแก๊งซาฟาห์แล้ว?”
ลูเมี่ยนไม่ได้หันกลับ แต่โบกมือพร้อมกับตอบ
“ใช่”
ชาร์ลีอ้าปากค้าง คล้ายกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำใดหลุดออกมา ทำได้เพียงยืนมองร่างลูเมี่ยนเดินออกจากห้อง กลืนหายไปกับความมืดมิดของทางเดิน
…………
กลับถึงห้อง 207 ลูเมี่ยนที่เพิ่งถอดการปลอมตัวและเตรียมออกไปหาอะไรกินนอกบ้าน ได้ยินเสียงด่าทอที่คุ้นเคยดังมาจากชั้นสี่
“ถ้าแกคิดว่าเงินพวกนี้หามาได้ง่ายๆ ทำไมไม่ลองนอนหาเอาเองดูล่ะวะ!”
“ไอ้ขยะไร้ค่า! ไอ้ขี้ขลาดที่ไม่มีกระเจี๊ยว! เก่งแต่รังแกผู้หญิง!”
“แน่จริงก็ส่งแม่แกมาอยู่กับฉันสิวะ!”
“…”
ลูเมี่ยนฟังอยู่ไม่กี่วินาทีก็พอเข้าใจว่า ‘วิลสัน’ แห่งแก๊งหนามพิษนำลูกน้องมา ‘เก็บค่าคุ้มครอง’ จากอีแซงซ์อีกแล้ว
มุมปากเด็กหนุ่มถูกยกขึ้นจนเกิดเป็นรอยยิ้ม
วินาทีถัดมา ลูเมี่ยนสวมหมวกแฟลตแก๊ปสีน้ำเงินเข้ม เดินออกจากห้อง 207 แล้วขึ้นไปยังชั้นสี่
ยังไม่ทันจะเข้าใกล้ห้องหมายเลข 8 เขาก็ได้ยินเสียงตบ เสียงก่นด่า และเสียงการดิ้นรนของอีแซงซ์ดังดุเดือดยิ่งขึ้น
ผู้เช่าห้องอื่นบนชั้นสี่ต่างก็ปิดประตูไม้ ทำตัวแกล้งตาย ไม่มีใครกล้าออกมาเดิน
ลูเมี่ยนเดินล้วงกระเป๋ามาถึงหน้าห้อง 408 สิ่งแรกที่สะดุดตาคือร่างนักเลงสองคน
อีกฝ่ายสวมแจ็กเกตสีเข้ม กำลังยืนขวางประตูไว้
ถึงตรงนี้ เสียงสบถด่าของอีแซงซ์เริ่มผสมปนเปกับเสียงร่ำไห้และกรีดร้อง
“ไอ้พวกลูกแม่หมู!”
“ฉันขอสาปแช่งพวกแก!”
“ฉันจะตัดไอ้นั่นของพวกแกออกซะ!”
ลูเมี่ยนขมวดคิ้วขณะเดินเข้าใกล้สองคนที่ยืนขวางประตู
“จะทำอะไร?” หนึ่งในนักเลงถามด้วยเสียงดุดัน
ลูเมี่ยนไม่ตอบ เพียงก้าวไปข้างหน้า โน้มตัวเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับคว้าท้ายทอยพร้อมกัน
การเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มรวดเร็วเสียจน ทั้งสองถูกจับท้ายทอยโดยที่ยังไม่ทันจะตอบโต้
เพียงลูเมี่ยนออกแรง ศีรษะของพวกเขาก็กระแทกใส่กันและกัน
ท่ามกลางเสียง ‘โป๊ก!’ หน้าผากทั้งคู่พลันบวมตุ่ย ตาเหลือกจนเหลือแต่สีขาว ก่อนจะล้มทรุดอย่างไร้เรี่ยวแรง
เมื่อพวกเขา ‘เปิดทางให้’ ลูเมี่ยนก็เห็นภาพในห้อง
อีแซงซ์เจ้าของผมยาวสีป่าน หน้าตาสะอาดสะอ้าน กำลังนอนอยู่บนเตียง เสื้อผ้ายุ่งเหยิง บนแก้มมีรอยบวมแดง ในขณะที่วิลสันเจ้าของผมสีน้ำตาลหยักศก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยับ กำลังเก็บรวบรวมปึกธนบัตร สายเข็มขัดอยู่ในสภาพถูกปลด โดยมีนักเลงอีกคนคอยจับอีแซงซ์ขึงไว้
ตระหนักถึงเสียงรบกวนจากหน้าประตู หัวหน้าหน่วยของแก๊งหนามพิษรีบเลื่อนมือลงไปจับปลายเข็มขัดทั้งสองฝั่ง พลางหันศีรษะมองออกมา
เขาเห็นลูเมี่ยนที่กำลังเช็ดมือเบาๆ เดินผ่านลูกน้องสองคนเข้ามา
โดยไม่เปิดโอกาสให้วิลสันถาม เด็กหนุ่มชิงกล่าวยิ้มๆ
“ไม่มีใครบอกแกหรือไง… ว่าตอนนี้โรงแรมระกาทองอยู่ใต้การคุ้มครองของแก๊งซาฟาห์แล้ว?”
ก่อนที่วิลสันจะคาดเข็มขัดเสร็จ ลูเมี่ยนสืบเท้าเข้าหาพร้อมกับสาวหมัดใส่
วิลสันรีบเบี่ยงตัวหลบ รีบคาดเข็มขัด
พร้อมกันนั้น ดวงตาของเขาหรี่ลง จ้องมองเข้าไปในตาลูเมี่ยน
อยู่ดีๆ เด็กหนุ่มก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
เป็นความกลัวและความประหวั่นที่คนธรรมดามักจะรู้สึกเมื่อเผชิญหน้ากับนักเลงหรือสมาชิกแก๊ง วิลสันกำลังทำให้มันกลายเป็นรูปธรรม!
แต่ย้อนกลับไปสมัยที่ลูเมี่ยนยังเป็นคนธรรมดา เขาไม่เคยกลัวนักเลงจนไม่กล้าสู้กลับ อาศัยเพียงหลักการ ‘ถ้าหนีได้ให้หนี ถ้ายอมได้ให้ยอม ถ้าอีกฝ่ายไม่ให้ยอมก็หาวิธีตกตายตามกัน’ แต่ตอนนี้เขาเป็นถึงผู้วิเศษลำดับ 8 ย่อมไม่มีทางหวาดกลัวอีกฝ่าย
นี่ก็ผู้วิเศษ? ลูเมี่ยนอาศัยความดุร้ายที่เป็นผลพวงจากความกลัว ปรี่เข้าหาวิลสันเพื่อต่อสู้ระยะประชิดที่เป็นของถนัด
มือ เข่า ศอก และเท้ากลายเป็นอาวุธหนัก กดดันวิลสันที่พยายามปรับสายเข็มขัดใกล้เสร็จอยู่แค่เอื้อม
ท่ามกลางเสียงกระทบกระทั่ง ลูกน้องอีกคนหยิบเก้าอี้ในห้อง เตรียมเล็งฟาดใส่หลังของลูเมี่ยน
แต่เด็กหนุ่มบิดร่างกายท่อนบนดุจดังงูเงี้ยว ย้ายตัวไปหลบด้านหลังวิลสัน
โครม! เก้าอี้กระแทกหัววิลสันเข้าอย่างจัง ทำเอาถึงกับเห็นดาววิบวับ ร่างกายสั่นสะท้าน
ด้วยเสียงอันดัง เก้าอี้ที่ไม่แข็งแรงเป็นทุนเดิมก็แหลกคามือ
ลูเมี่ยนดีดตัวกลับตำแหน่งเดิมเหมือนสปริง แล้วยันขาขวาไปด้านหลัง
ส้นเท้าของเขากระแทกกับส่วนล่างของท้องน้อยนักเลง จนเกิดเสียงทื่อๆ แต่หนักแน่น
นักเลงเบิกตาโพลงทันที สองมือเลื่อนลงไปกุมขาหนีบ ร่างกายทรุดลงไปเกลือกกลิ้งบนพื้น แต่มิอาจตะโกนให้เกิดเสียง ราวกับไก่ที่ถูกบีบคอ
ระหว่างที่ลูเมี่ยนยันขาขวาไปด้านหลัง กำปั้นก็เหวี่ยงไปข้างหน้าตามแรงส่ง ดุจดังแส้ที่ฟาดใส่อกวิลสัน
วิลสันที่ถูกพวกเดียวกันเล่นงาน ย่อมไม่อาจหลบหลีก เกิดเป็นเสียงซี่โครงหักดังตามมา
ยังไม่ทันจะหลุดพ้นจากความเจ็บปวด ลูเมี่ยนได้จับแขนของเขาทั้งสองข้าง แล้วดึงเข้าหาตัวเอง
ปึก!
ที่รออยู่คือคมเข่าของเด็กหนุ่ม
ใบหน้าวิลสันกลายเป็นซีดเซียวทันที ตัวงอลงมาด้านหน้า
ลูเมี่ยนรีบกำหมัด แล้วทุบใส่กลางหลังวิลสันประหนึ่งค้อนยักษ์
ตุ้บ! วิลสันทรุดลงไปกองกับพื้น
ลูเมี่ยนรีบโฉบเข้าไปจับแขนของอีกฝ่ายไพล่หลังพร้อมกับใช้เข่ากดลงไป
“นึกว่าจะแน่” ลูเมี่ยนเย้ยหยัน “ที่แท้… ไม่ถึงสิบวิก็หมอบแล้ว”
จากการประเมินเบื้องต้น วิลสันคงอยู่ในลำดับ 9 ที่เน้นการต่อสู้และเสริมสร้างร่างกาย แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเส้นทางใด
วิลสันที่ถูก ‘ยั่วยุ’ พยายามดิ้นให้หลุด แต่ก็มิอาจเป็นอิสระจากการกดทับของอีกฝ่าย
ลูเมี่ยนเงยหน้ามองอีแซงซ์ที่ตกใจจนแน่นิ่งไป ก่อนจะหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวกับวิลสันและลูกน้องที่ยังกลับมาต่อสู้ไม่ได้
“กลับไปบอกเบื้องบนของพวกแกด้วย… ที่นี่คือถิ่นของฉัน ชาร์ล ถ้าข้องใจนักก็มาหาพวกเราแก๊งซาฟาห์ได้ทุกเมื่อ!”
“แกตายแน่!” วิลสันตะเบ็งอย่างโกรธแค้น
ลูเมี่ยนยิ้ม
“ยังไม่แน่ว่าฉันจะตายไหม… แต่แกกำลังจะตายเร็วๆ นี้แล้ว”
“มีพยานมากขนาดนี้ แกกล้าฆ่าฉันหรือไง?” วิลสันเย้ยหยัน
ลูเมี่ยนไม่พูดไม่จา เพียงออกแรงที่มือจนเกิดเสียง ‘กร๊อบ’
วิลสันแหกปากร้องโหยหวนทันที หน้าผากเริ่มผุดเหงื่อเม็ดเล็ก
เขาถูกหักแขนเป็นสองท่อน!
ลูเมี่ยนยกร่างอีกฝ่ายขึ้นมา กระโดดขึ้นโต๊ะไม้ของอีแซงซ์ ผลักหน้าต่างเปิด แล้วห้อยวิลสันออกไปนอกห้อง
ชะโงกมองซอกซอยที่ไม่มีคนเดินผ่าน ลูเมี่ยนหันมาพูดยิ้มๆ กับวิลสัน
“ลองเดาดูสิ ว่าฉันกล้าโยนแกลงไปไหม”
วิลสันมองลงไปยังความสูงที่ไม่ต่ำกว่าสิบเมตร จดจ่ออยู่กับแผ่นหินด้านล่าง พลางหวนนึกถึงความป่าเถื่อนของอีกฝ่ายที่หักแขนตนโดยไม่ลังเล
เขาไม่กล้าตอบส่งเดชไปชั่วขณะ
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนปล่อยมือที่จับอีกฝ่ายไว้
ฉันยังไม่ได้ตอบเลย! วิลสันพลันแตกตื่นเมื่อพบว่าร่างกายตนกำลังร่วงหล่น
เมื่อไม่เหลือทางเลือก เขาทำได้เพียงปรับท่าทางให้ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงจุดสำคัญ
ปึก!
วิลสันตกกระแทกพื้นอย่างแรง หลายจุดบนร่างกายมีเลือดซึมออกมา
ลูเมี่ยนมองอยู่ราวๆ สองวินาที ก่อนจะพูดเย้ยหยันจากไกลๆ
“ถึกดีเหมือนกันนะเนี่ย รอดมาได้เฉยเลย ฉายาของแกคือ ‘แมลงสาบถนนอลเวง’ หรือไง?”
เด็กหนุ่มไม่ใส่ใจกับวิลสันแล้ว เพียงกระโดดลงจากโต๊ะไม้ พูดกับนักเลงสามคนที่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน
“พวกแกได้ยินคำพูดของฉันไหม”
ทั้งสามพยักหน้ารับตัวสั่นอย่างหวาดกลัว บิดร่างกายเล็กน้อยเตรียมเผ่นหนี
“เดี๋ยว…” ลูเมี่ยนเรียกรั้งไว้
สามนักเลงตัวแข็งทื่อทันที ร่างกายยังคงสั่นไม่หยุด
ลูเมี่ยนชี้ไปทางเศษซากเก้าอี้แล้วพูดยิ้มๆ
“ทำของเสียหายแล้วไม่คิดจะชดใช้หรือไง?”
นักเลงทั้งสามรีบดึงธนบัตรออกมาโยนอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากลูเมี่ยนพยักหน้าอนุมัติ พวกมันก็วิ่งซวนเซออกจากห้อง 408
อีแซงซ์มองดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบด้วยสีหน้างุนงง จำได้เพียงคำพูดที่บอกว่า โรงแรมระกาทองอยู่ในความควบคุมของแก๊งซาฟาห์แล้ว
จากนั้น เธอพบว่าคนจากแก๊งซาฟาห์ที่ชื่อชาร์ล มิได้หันมาคุยกับเธอ มิได้บอกว่าในอนาคตต้องจ่ายเงินเท่าไร จ่ายบ่อยแค่ไหน ไม่แม้แต่จะเหลียวมามอง เพียงเดินตรงไปที่ประตู
อีแซงซ์เตรียมจะเปิดปากถามบางสิ่ง แต่เมื่อคิดว่าแก๊งหนามพิษอาจหวนกลับมาอีก จึงตัดสินใจปิดปากเงียบ เพียงมองดูร่างของลูเมี่ยนถูกความมืดนอกประตูกลืนหายไป
……………………………………………………..