ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 145 ค่าเดินเรื่อง
ตอนที่ 145 ค่าเดินเรื่อง
ลูเมี่ยนยื่นมือขวาออกไป รับนิ้วที่ขาดอย่างไม่แม่นยำ
เมื่อสัมผัสถึงน้ำหนักของนิ้วมือ สัมผัสถึงความอุ่นที่ยังไม่จางหาย เด็กหนุ่มพลันประหลาดใจปนตกตะลึง
เขาเคยลองเดาๆ ไว้ล่วงหน้า ว่ามิสเตอร์ K จะให้การคุ้มครองแบบไหนบ้าง แต่ไม่เคยมีในหัวเลยว่า อีกฝ่ายจะฉีกนิ้วโยนให้ พร้อมกับรับปากว่าจะช่วยเหลือในช่วงเวลาสำคัญ!
ไม่เล่นใหญ่ไปหน่อยหรือไง?
ยังไม่ต้องพูดถึงว่า ‘นิ้วขาดๆ จะไปช่วยอะไรได้’ มิสเตอร์ K ไม่กลัวบ้างหรือไง ว่าเราอาจใช้เลือดเนื้อของเขาไปเล่นตุกติก?
ในเชิงศาสตร์เร้นลับ เลือดเนื้อคนเรามีความสำคัญอย่างมาก หากตกไปอยู่ในมือบุคคลที่มีเจตนาไม่ดี ก็อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์อันเลวร้ายเกินกว่าจะบรรยายได้
คงไม่มีใครอยากลิ้มรสคำสาปสุดสยองขวัญโดยไม่ทราบสาเหตุ!
คำนึงจากความแข็งแกร่งของมิสเตอร์ K คำนึงจากปัญญาด้านศาสตร์เร้นลับของเขา หรือแม้กระทั่งการที่สามารถเป็น ‘ผู้รับรอง’ ลูเมี่ยนเชื่อว่าอีกฝ่ายมีวิธีหลีกเลี่ยงผลกระทบอันเกิดจากเลือดเนื้อนอกร่างกาย จึงกล้าฉีกนิ้วมือส่งให้คนอื่น
เหนือสิ่งอื่นใด นิ้วที่ขาดนี้ยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความพิศวง
ถ้าใช้ปรอทเสื่อมทรามแทงใส่นิ้วมือนี้จนเลือดออก จะสามารถแลกเปลี่ยน ‘ชะตากรรมการพบเจอวิญญาณมงต์ซูรี’ ไปให้มิสเตอร์ K ได้ไหมนะ…? ในฐานะราชานักแกล้งแห่งหมู่บ้านกอร์ตู ลูเมี่ยนมักจะมีความคิดหลุดกรอบในทางที่พิเรนทร์ๆ
เด็กหนุ่มควบคุมอารมณ์ให้สงบขรึม เบือนสายตาจากนิ้วขาดๆ กลับไปหามิสเตอร์ K อีกครั้ง
ถึงตรงนี้ มิสเตอร์ K งอกนิ้วใหม่ที่ดูชุ่มชื้นและเนียนนุ่มขึ้นมา สีผิวเอนเอียงไปทางขาว
“ขอบคุณครับ” ลูเมี่ยนขานรับเสียงต่ำ สอดนิ้วที่ขาดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของชุดคนงานสีเทาอมฟ้า
มิสเตอร์ K พยักหน้าแผ่วเบาก่อนจะกล่าว
“คุณไปได้แล้ว อย่าลืมสัญญาของเราล่ะ”
“ยังมีอีกเรื่อง…” ลูเมี่ยนหยิบสร้อยคอเพชรออกมา “รบกวนช่วยดูให้หน่อยได้ไหมครับ ว่ามันแท้หรือปลอม? ผมอยากใช้แลกเงิน”
เด็กหนุ่มติดหนี้บุญคุณมิสเตอร์ K ไปแล้ว มีเพิ่มอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป
ถ้าจ่ายไม่ไหวจะทำยังไง? ถ้าจ่ายไม่ไหวก็ขายตัวเองให้องค์กรที่อยู่เบื้องหลังมิสเตอร์ K ยังไงล่ะ!
นั่นคือเป้าหมายของลูเมี่ยนอยู่แล้ว
มิสเตอร์ K สั่งให้ลูกน้องคนที่พาลูเมี่ยนลงมายังห้องใต้ดิน เดินถือสร้อยคอเพชรเดินมาหาตน แล้วเริ่มตรวจสอบมันกับมือ
ท่ามกลางความมืดสลัว ลูเมี่ยนคลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นแสงสีทองอ่อนๆ ซึมออกจากเงาใต้ฮู้ดมิสเตอร์ K
ผ่านไปสักพัก มิสเตอร์ K คืนสร้อยคอเพชรใส่มือลูกน้อง
“ปลอม แต่งานประณีตมาก ราคาราวๆ ห้าสิบเฟลคิน”
“เข้าใจแล้วครับ” ลูเมี่ยนไม่เก็บซ่อนความรู้สึกห่อเหี่ยว ก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วก็… ผมอยากได้เอกสารยืนยันตัวตนชุดหนึ่ง”
เหตุผลหลักๆ ที่เขาเช่าโรงแรมระกาทองอยู่ ก็เพราะที่นั่นไม่ขอดูเอกสารยืนยันตัวตน
หลังจากได้รับการยืนยันจากมิสเตอร์ K เด็กหนุ่มออกจากบ้านเลขที่ 9 ถนนเฌอร์ทันที ระหว่างทางกลับเขตตลาดคนซื่อด้วยรถม้าสาธารณะ ลูเมี่ยนครุ่นคิดอยู่หลายเรื่อง เช่น จะเข้าร่วมแก๊งใดโดยไม่ถูกสงสัย? นิ้วขาดๆ นั่นทำงานยังไง? หรือทำอย่างไรให้โรงรับจำนำจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับสร้อยคอเพชรปลอม อย่างน้อยสักสามสิบเฟลคินก็ยังดี…
ท่ามกลางกระแสความคิดที่ปะปน เด็กหนุ่มค่อยๆ ผุดแนวคิด
ขณะเดียวกัน ในช่วงบ่าย เขาวางแผนหาเช่าแหล่งกบดานในเขตตลาดคนซื่อและสวนพฤกษศาสตร์ โดยต้องเป็นโรงแรมที่ไม่ขอดูเอกสารยืนยันตัวตน
“ตอนนี้เรามีเงิน 850 เฟลคิน 24 โกเปต์ หักลบ 400 เฟลคินที่ต้องจ่ายให้นักค้าข่าวอ็องโตนี·รีดก็จะเหลือ 450 เฟลคิน เพียงพอต่อการเช่าแหล่งกบดานสักสองสามแห่ง…” ลูเมี่ยนคำนวณทรัพย์สินคงเหลือของตนอย่างเอาจริงเอาจัง
เด็กหนุ่มเม้มปากพลางรู้สึกว่าตนจำเป็นต้องเก็บนิ้วของมิสเตอร์ K ไว้ในโรงแรมระกาทองก่อนจะไปหาเช่าบ้าน
…………
ก่อนบ่ายสามโมง ลูเมี่ยนประสบความสำเร็จในการหาเช่าห้องที่ไม่ขอดูเอกสาร ห้องหนึ่งอยู่บนถนนเสื้อนอกขาวเขตตลาดคนซื่อ อีกห้องอยู่บนถนนแผ่นศิลาเขตสวนพฤกษศาสตร์
แน่นอนว่าถูกเก็บมัดจำล่วงหน้า ห้องแรกไม่ได้ดีไปกว่าห้อง 207 ของโรงแรมระกาทองสักเท่าไร แต่ต้องจ่ายสัปดาห์ละหกเฟลคิน ส่วนห้องหลังคล้ายกับอพาร์ตเมนต์ที่ออสตา·ทรูเอลเช่าอยู่ เพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงล้วนเป็นคนงานจากโรงงานทิศใต้ ค่าเช่าสัปดาห์ละสิบเฟลคิน
กลับถึงโรงแรมระกาทอง เด็กหนุ่มสละเวลาอ่าน ‘สุนทรียศิลป์ของบุรุษ’ แล้วใช้เครื่องสำอางปรับลดมุมคมบนใบหน้าตัวเอง ทำให้บางส่วนมืดขึ้น รวมถึงจัดแต่งคิ้ว
หลังจากยุ่งอยู่สักพัก การปลอมตัวเบื้องต้นของลูเมี่ยนก็เป็นอันเสร็จสิ้น ภายนอกดูคล้ายกับผู้ชายธรรมดาๆ อายุราวๆ ยี่สิบสี่ยี่สิบห้าโดยมีบุคลิกดูอันตราย
เด็กหนุ่มจัดแต่งเรือนผมสีทองสลับดำของตน สวมหมวกแฟลตแก๊ปสีน้ำเงินเข้ม ถือนิ้วขาดๆ ของมิสเตอร์ K เดินไปยังคาบาเร่ต์ลมเอื่อยบนถนนใหญ่ตลาด
เขามิได้เดินเข้าไปเหมือนลูกค้ารายอื่น เพียงหยุดอยู่ระหว่างอาคารสีเหลืองดินกับประติมากรรมทรงกลมสีขาว ซึ่งดูเหมือนประกอบจากกะโหลกศีรษะจำนวนมาก แล้วพูดกับสมาชิกแก๊งที่ยืนเฝ้าประตูอยู่สองคน
“ฉันอยากพบกับบารอนบรินิแยร์”
โดยไม่รอให้สมาชิกแก๊งโต้แย้ง เด็กหนุ่มรีบเสริม
“ไปบอกกับบารอนว่า ชาร์ลที่เคยเจอกันคราวก่อนอยากพบ… เขาน่าจะดีใจนะ”
สมาชิกแก๊งทั้งสองมองหน้ากัน สุดท้ายก็ไม่กล้าโอ้เอ้จนบารอนบรินิแยร์เสียเวลาทำธุระ จึงส่งคนหนึ่งเดินเข้าไปในโถงเต้นรำ
ไม่ถึงห้านาที สมาชิกแก๊งคนเมื่อสักครู่เดินกลับมาพูดกับลูเมี่ยน
“บารอนบอกให้คุณไปรอที่เก่า”
ร้านกาแฟบนชั้นสอง? ลูเมี่ยนอมยิ้ม สองมือล้วงกระเป๋า ก้าวเดินเข้าไปในคาบาเร่ต์ลมเอื่อยอย่างไม่รีบร้อน ย่ำไปตามขั้นบันได จนกระทั่งเห็นบารอนบรินิแยร์กำลังถือกล้องยาสูบสีไม้ท้อ
สุภาพบุรุษรายนี้สวมชุดสุภาพสีดำที่ถักจากขนสัตว์เนื้อดี ข้างมือมีหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงวางอยู่ มือซ้ายสวมแหวนส่องแสงวาววับ ด้านหลังมีสมาชิกแก๊งคอยคุ้มกันอยู่สี่คน
“นั่งลงสิ” บารอนบรินิแยร์มองสำรวจหัวจรดเท้า พลางชี้ไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้าม
ลูเมี่ยนเดินไปด้วยความมั่นใจ หย่อนก้นลง นั่งมองยังใบหน้าที่มีร่องลึก ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อยของบารอนบรินิแยร์ แล้วจึงกล่าว
“ทิวาสวัสดิ์ครับ เจอกันอีกแล้วนะ”
บารอนบรินิแยร์เคาะก้นกล้องยาสูบสีไม้ท้อแผ่วเบา แล้วจึงถามยิ้มๆ
“มีเรื่องอะไรหรือ”
ลูเมี่ยนหยิบสร้อยคอเพชรปลอมของชาร์ลีออกมา พูดด้วยน้ำเสียงสงบ
“ช่วงนี้ผมเงินขาดมือ อยากนำสร้อยมาจำนำกับคุณ ราคาจริงของมันประมาณ 1,500 เฟลคิน คุณให้ผม 1,000 ก็พอแล้ว”
บารอนบรินิแยร์เบือนหน้าไปบอกกับลูกน้อง
“หาคนมาประเมินหน่อย”
“ครับ บารอน” สมาชิกแก๊งที่มีรอยช้ำเด่นๆ บนหน้าผากเดินออกไปจากร้านกาแฟ
บารอนบรินิแยร์หันกลับมามองลูเมี่ยนอีกครั้ง พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ไม่เลว… เทคนิคการแต่งหน้าของคุณก้าวหน้าขึ้นมาก แม้จะยังมีข้อบกพร่องอยู่ แต่ถ้าเทียบกับคราวก่อน ตอนนี้คงไม่มีใครจำคุณได้ง่ายๆ แล้ว”
“ขอบคุณที่ช่วยแนะนำครับ” ลูเมี่ยนยิ้ม “สุนทรียศิลป์ของบุรุษเป็นนิตยสารที่ดีจริงๆ”
ทั้งสองคุยกันเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งสมาชิกแก๊งที่เพิ่งออกจากร้านกาแฟ นำชายคนหนึ่งที่ใส่สูทผูกโบ ถือกล่องเครื่องมือ อายุรุ่นราวคราวสี่สิบ เดินเข้ามาในร้าน
หลังจากประเมินเสร็จ ชายคนดังกล่าวเดินไปหาบารอนบรินิแยร์ วางสร้อยคอลงบนโต๊ะแล้วกดเสียงพูดให้ต่ำลง
“ของปลอมครับ”
เกิดเสียงเอะอะมะเทิ่งทันที สมาชิกแก๊งทุกคนชักปืนลูกโม่ออกมา
บารอนบรินิแยร์ยกมุมปากพลางจ้องหน้าลูเมี่ยน แลเห็นว่าเด็กหนุ่มรายนี้ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของช่างประเมิน ไม่เห็นการเคลื่อนไหวของพวกนักเลง
บารอนบรินิแยร์ยังคงยิ้ม แต่หันไปพยักหน้าให้กับช่างประเมิน
“คุณกลับไปก่อน”
“ครับ บารอน” ช่างประเมินเครื่องประดับรีบออกจากร้านกาแฟด้วยอาการตื่นตระหนก
บารอนบรินิแยร์วางกล้องยาสูบสีไม้ท้อลง ลูบแหวนเพชรบนนิ้วซ้ายพลางถามลูเมี่ยนยิ้มๆ
“คุณรู้ไหมว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของปลอม”
ลูเมี่ยนเองก็ตอบยิ้มๆ
“รู้สิ”
เสียงยังไม่ทันจะจางหาย ปืนลูกโม่ก็ถูกเล็งมาทางเด็กหนุ่ม
บารอนบรินิแยร์เห็นลูเมี่ยนยังคงทำหน้านิ่ง จึงถามด้วยความสงสัย
“แล้วคุณรู้ไหมว่าผมสามารถหาคนมาประเมินเพชรแท้ได้?”
ลูเมี่ยนตอบโดยยังรักษารอยยิ้มไว้
“รู้สิ”
บารอนบรินิแยร์หรี่ตาลงเล็กน้อย
“ในเมื่อรู้อยู่แล้ว ทำไมถึงยังกล้าเอาสร้อยปลอมมาแลกเงิน 1,000 จากผมอีกล่ะ…?”
“มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องให้เงินคุณ?”
ลูเมี่ยนบรรจงลุกขึ้นยืน ไม่แยแสลูกโม่ที่ง้างนกพร้อมยิง เพียงเท้ามือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ
เด็กหนุ่มโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย จ้องตาบารอนบรินิแยร์ฝั่งตรงข้าม พลางยกมุมปากพูด
“เพราะว่าผมน่ะ… คือคนที่ฆ่ามาร์โกต์แห่งแก๊งหนามพิษ”
รอยยิ้มของบารอนบรินิแยร์แข็งค้างทันที
รูม่านตาขยายกว้างตามสัญชาตญาณ ราวกับอยากจะมองใบหน้าเด็กหนุ่มให้ชัดๆ
สมาชิกแก๊งทั้งสี่ที่เล็งปืนมาทางลูเมี่ยนต่างก็ทำหน้าตกตะลึง ทุกคนล้วนเบิกตากว้าง
ในฐานะคู่แข่งของแก๊งหนามพิษ พวกเขาย่อมทราบดีกว่าใครว่ามาร์โกต์มีฝีมือแค่ไหน!
ลูเมี่ยนยกหัวขึ้น ดวงตาอันไร้อารมณ์บรรจงมองกวาดใบหน้าพวกนักเลง
สมาชิกแก๊งที่ถูกจ้องหน้า ล้วนอยากจะหลบตาโดยสัญชาตญาณ จนสุดท้ายก็ตอบสนองด้วยแขน ปากกระบอกปืนค่อยๆ ถูกเลื่อนออกจากตัวเด็กหนุ่ม
บารอนบรินิแยร์ได้สติกลับมาก่อนใคร รีบหันไปพูดกับสี่นักเลงด้านหลัง
“เก็บปืนซะ! ฉันไม่ได้สอนวิธีปฏิบัติต่อแขกหรือไง?”
หลังจากตักเตือนลูกน้อง เขาหันมาถามลูเมี่ยนด้วยใบหน้าเคลือบแคลงสงสัย
“คุณฆ่ามาร์โกต์ด้วยวิธีไหน”
“ฝากไว้หนึ่งแผล… แบบมีพิษ… แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันหนีไปตายรังที่ไหน” ลูเมี่ยนตอบเสียงเรียบ
ข้อมูลตรงกับสิ่งที่บารอนบรินิแยร์ได้รับมา เขารีบหรี่ตาลงพลางถามยิ้มๆ
“คุณรู้ใช่ไหม… การรับเงิน 1,000 เฟลคินไปจากผมหมายถึงอะไร?”
ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“รู้สิ”
…
โรงแรมระกาทอง ห้อง 504
เมื่อชาร์ลีเห็นลูเมี่ยนยืนอยู่หน้าประตู ก็รีบถามด้วยความตื่นเต้น
“ตรวจสอบมาหรือยัง?”
“ปลอม… มูลค่าไม่เกินห้าสิบเฟลคิน” ลูเมี่ยนพูดขณะเดินเข้าห้อง
เขาพบว่าชาร์ลีฉีกภาพของซูซานน่า·มาติสออกไปแล้ว เหลือไว้เพียงคราบกระดาษติดแน่น
ชาร์ลีเตรียมใจไว้แล้วหลายส่วน ถึงแม้จะผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร เพียงหัวเราะกับตัวเอง
“อย่างน้อยก็ยังมีราคาถึงห้าสิบเฟลคิน… ถ้าเจอโรงรับจำนำที่จริงใจก็ควรจะได้สักยี่สิบ…”
ลูเมี่ยนเหลือบมองอีกฝ่ายพร้อมกับพูดยิ้มๆ
“แต่ฉันขายสร้อยปลอมนั่นได้หนึ่งพันเฟลคินถ้วน”
“หือ…?” ชาร์ลีงุนงงในบันดล
ลูเมี่ยนหยิบปึกธนบัตรหนาๆ ออกมา
“สร้อยปลอมของนายมีมูลค่าห้าสิบเฟลคิน ฉันจึงให้นายได้แค่นั้น ที่เหลือเป็นของฉัน… ค่าเดินเรื่องน่ะ ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
……………………………………………………..