ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 141 “ตัวประกัน”
ตอนที่ 141 “ตัวประกัน”
บนทางเดินอันมืดมิดที่สว่างเพียงเพราะแสงจันทร์สีแดงเข้ม เสียงของชาร์ลีสะท้อนกังวาน ชวนให้ขนลุกขนพองไปถึงหนังศีรษะ
ฝันถึงซูซานน่า·มาติสอีกแล้ว? ลูเมี่ยนตกใจในทีแรก ก่อนที่โทสะจะพลุ่งพล่านตามมา
ไอ้เวรเอ๊ย สมองทึบหรือไง? ถ้าฝันแบบเดิมอีก ก็ไปหาบาทหลวงที่วิหารสุริยันเจิดจรัสใกล้ๆ สิวะ! ฉันไม่ใช่พ่อเอ็ง ฝันเปียกทำไมต้องมาบอก!
มองหน้าชาร์ลีที่ท่วมท้นไปด้วยความตื่นตระหนกปนหวาดกลัว ลูเมี่ยนข่มโทสะพลางพูดเสียงต่ำ
“ไม่ต้องแตกตื่น นี่เป็นเรื่องปกติ สิ่งที่นายต้องทำมีเพียง กลับไปนอนก่อน รอจนถึงเช้า จากนั้นก็ไปขอความช่วยเหลือจากวิหารใกล้ๆ”
ชาร์ลีทำหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
“แต่เธอบอกในฝันว่า ถ้าฉันกล้าไปขอความช่วยเหลือจากวิหาร เธอจะฆ่าฉันระหว่างทางไปวิหาร!”
“คุยกันในฝันได้ด้วย?” ลูเมี่ยนประหลาดใจอยู่หลายส่วน
ชาร์ลีผงกหัวอย่างอกสั่นขวัญแขวน
“ใช่… ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยพูดอะไรในฝันเลย เพียงทำตัวเป็นคนรักที่ร้อนแรงและอ่อนโยน แต่คราวนี้… เธอขู่ฉัน… เธอขู่ฉัน!”
นี่เท่ากับว่า ซูซานน่า·มาติสยังไม่กลายเป็นสัตว์ประหลาดเต็มตัว ยังหลงเหลือปัญญาอยู่บ้าง? ลูเมี่ยนครุ่นคิดหลายสิ่งในเวลาสั้นๆ ขณะเดียวกันก็นึกสงสารชาร์ลี
หากชาร์ลีไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้วิเศษทางการ มีโอกาสสูงที่จะลงเอยเหมือนกับหญิงสาวเมืองอูเนต์สามรายที่กลายเป็นเหยื่อ ฝันวาบหวิวด้วยจิตใจคึกคะนองทุกวัน จนร่างกายอ่อนแอและตายไป
เดี๋ยวนะ… ทำไมผู้วิเศษทางการถึงมักง่ายกับการแก้ปัญหาให้ชาร์ลีนักล่ะ? พวกเขาไม่คิดบ้างหรือว่าชาร์ลีอาจถูกซูซานน่า·มาติสฆ่าตายโดยตรง? ลูเมี่ยนพลันนึกถึงไรอัน ลีอา และวาเลนไทน์
ไม่ว่าใครก็ตามในหมู่พวกเขา หากเผชิญกับสถานการณ์ผิดปกติที่คล้ายคลึงกัน จะไม่รีบปิดคดีง่ายๆ โดยบอกกับเหยื่อว่า ‘ถ้าเจอปัญหาก็ไปขอความช่วยเหลือจากวิหารเอานะ’
นึกถึงคนบ้าห้องชั้นบนที่เคยเจอกับวิญญาณมงต์ซูรี จนวิหารต้องส่งนักบวชมาคุ้มครองที่บ้านอยู่นาน ลูเมี่ยนเริ่มผุดข้อสงสัยบางอย่าง
ผู้วิเศษทางการที่รับผิดชอบคดีของชาร์ลี จะต้องจงใจมองข้ามความผิดปกติที่ซูซานน่า·มาติสนำพามาแน่ ด้วยการอนุญาตให้ชาร์ลีกลับโรงแรมพร้อมกับแจ้งว่า ปัญหาส่วนใหญ่ได้รับการแก้ไขแล้ว ถ้ามีอะไรก็ไปขอความช่วยเหลือจากวิหารเอา ทั้งหมดก็เพื่อให้ซูซานน่า·มาติสชะล่าใจ หลอกล่อให้เธอปรากฏตัวอีกครั้ง!
คิดถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนมองหน้าชาร์ลีและกล่าวเสียงขรึม
“ถ้านายเชื่อใจฉัน ตอนนี้ขอให้กลับไปที่ห้องก่อน ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ปิดตา หลับไปจนถึงเช้า”
“ไม่ต้องกังวล ปัญหานี้จะได้รับการแก้ไข”
ภายนอกลูเมี่ยนดูสุขุมลุ่มลึก แต่ภายในกำลังสบถด่า
ไอ้เวร! รีบกลับชั้นห้าไปได้แล้ว! คำนวณจากเวลา ผู้วิเศษทางการที่กำลังสอดแนมอยู่ใกล้ๆ คงเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติและเตรียมลงมือแล้ว มัวยืนบื้ออยู่หน้าห้องฉันอยู่ได้! คิดจะเรียกพวกเขามาจับฉันหรือไง!
“ฉ…ฉัน…” ชาร์ลีออกลูกลังเลด้วยภาษากายหวาดกลัว
ถ้าไม่ทำอะไรเลย ปัญหาจะหายไปเองจริงๆ น่ะหรือ?
ลูเมี่ยนถอนหายใจแผ่วเบา แล้วพูดยิ้มๆ
“นายโง่หรือไง? ซูซานน่า·มาติสแค่ห้ามนายไปที่วิหาร ไม่ได้ห้ามฉันสักหน่อย ฉันจะช่วยไปบอกกับวิหารใกล้ๆ ให้เอง!”
ลูเมี่ยนพยายามชักแม่น้ำทั้งห้าสุดฤทธิ์ ทำยังไงก็ได้ขอแค่ชาร์ลีไปจากชั้นสอง
ชาร์ลีทำหน้ากระจ่างทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนความสุข
“ขอบคุณ… ขอบคุณมาก!”
เพียงสิ้นเสียงพูด ลูเมี่ยนพลันได้กลิ่นหอมของพืชพรรณ ผสมปนเปกับกลิ่นอันแปลกประหลาดอื่นๆ
วินาทีถัดมา เด็กหนุ่มเห็นเถาวัลย์ เห็นกิ่งไม้สีเขียวบ้างน้ำตาลบ้าง กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาไปตามผนัง เพดาน และพื้นโรงแรม ผนึกหน้าต่างกับประตูห้องอื่นเอาไว้
จากทางบันได เสียงของหญิงสาวที่ราวกับคลึงเกาแก้วหูอย่างแผ่วเบา ดังก้องกังวาน
“ชาร์ลี… คุณจะทรยศฉันจริงๆ สินะ”
ชาร์ลีหันไปมองด้วยอารามตกใจ รูม่านตาขยายกว้างในพริบตา
เขาได้พบกับนางในฝันที่ตนเคยร่วมรักด้วย เรือนผมสีเขียวของเธอทอดยาวจากท้ายทอยลงมาถึงพื้น ลามไปตามผนังและเพดานตึก ต่อเชื่อมกับเถาวัลย์และกิ่งไม้
และเมื่อไม่มีเส้นผมสีเขียวปกปิดเรือนร่าง ลำตัวย่อมเปลือยเปล่าแทบทั้งหมด เผยให้เห็นจุดที่เคยถูกซ่อนเร้น เผยให้เห็นส่วนเว้าโค้งอันงามงดของสตรี โดยมีบางจุดปกคลุมด้วยดอกไม้หรือก้อนเนื้อคล้ายตุ่มเปลือกไม้ บ้างก็แดง บ้างก็ขาว บ้างก็น้ำตาล
ดอกไม้สีสันสดใสกับตุ่มเปลือกไม้สีน้ำตาลอมเขียว คอยเปิดและปิดตามคำพูดของซูซานน่า·มาติส โดยมีของเหลวเหนียวหนืดส่งกลิ่นคาวๆ ไหลออกมา
ฉากอันบิดเบี้ยวและน่าขยะแขยงทำให้ชาร์ลีรู้สึกเหมือนกำลังฝันร้าย ร่างกายชาไปทุกส่วน เหลือเพียงการสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม
ซูซานน่ามาติสจ้องหน้าชาร์ลี พลางกล่าวด้วยแววตาลึกซึ้ง
“คุณลืมความสุขในฝันของเราไปแล้วหรือ…”
“ชาร์ลี ฉันเป็นภรรยาของคุณนะ”
คล้ายกับชาร์ลีได้สติตื่น รีบแหกปากตะโกนเสียงโหวกเหวกราวกับใกล้พังทลาย
“ไม่… ไม่ใช่!”
เอ็งโง่หรือไงวะ? ทำไมไม่พูดปลอบโยนซูซานน่าสักสองสามคำก่อน! ลูเมี่ยนนึกเสียใจที่ตนเชื่องช้าเกินไป ไม่สามารถอุดปากชาร์ลีได้ทัน
สีหน้าแววตาของซูซานน่าเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
“งั้นก็จงอยู่กับฉันตลอดไป”
สิ้นเสียงดังกล่าว ความกลัวในแววตาชาร์ลีพลันมลายหาย
บนใบหน้าเหลือเพียงความลุ่มหลงอย่างบ้าคลั่ง ราวกับอยากเดินเข้าไปหาสิ่งมีชีวิตพิสดารนั่นเต็มแก่
ดอกไม้ตรงท้องน้อยของซูซานน่า·มาติสเปิดออกอย่างเปียกชื้น อ้ากว้างอย่างผิดวิสัย มิได้ค่อยๆ ปิดเปิดทีละนิดเหมือนดอกไม้หรือตุ่มเปลือกไม้อื่นๆ
ราวกับกำลังรอคอยให้ชาร์ลีเข้าไปหา
ขณะเดียวกัน ซูซานน่าเปลี่ยนไปจ้องหน้าลูเมี่ยน เปล่งเสียงด้วยความเกลียดชังเป็นล้นพ้น
“ทุกอย่างเป็นความผิดของแก… แกยุยงให้ชาร์ลีทรยศฉัน!”
“ลองส่องกระจกดูก่อนไหม? จะได้รู้ว่าตัวเธอในตอนนี้อัปลักษณ์เพียงใด ถ้าฉันเป็นชาร์ลี คงจะถีบเธอออกจากความฝันตั้งแต่วันแรกแล้ว!” สัญชาตญาณแจ้งกับลูเมี่ยนว่า ไม่มีประโยชน์ที่ขอโทษตอนนี้ เด็กหนุ่มจึงเลือกตอบโต้ด้วยพลัง ‘ยั่วยุ’ เพื่อสร้างความโกรธแทน หยั่งเชิงว่าซูซานน่าจะ ‘เผย’ จุดอ่อนออกมาหรือไม่
เพียงแค่การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตพิสดารตรงหน้า ลูเมี่ยนก็บังเกิดความตื่นเต้นปนหวาดกลัวพร้อมๆ กัน ใจหนึ่งก็โหยหา ใจหนึ่งก็ต่อต้าน ราวกับตกอยู่ในวังวนที่ถักทอจากแรงกระหายจำนวนมาก มอบความรู้สึกอ่อนระทวยอันยากจะต้านทาน
สิ่งนี้คือเครื่องพิสูจน์ว่า อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขาหลายเท่านัก!
ลูเมี่ยนสบถไปพลางก็ครุ่นคิดไปพลาง ควานหาวิธีถ่วงเวลาเอาไว้อีกสักนิด
เขาเชื่อว่าผู้วิเศษทางการจะมาถึงในอีกไม่ช้า!
“นี่มันตัวอะไรกันแน่?”
“ทำไมเธอถึงคิดว่าตัวเองเป็นเมียชาร์ลี!”
“เมีย…”
อยู่ดีๆ ก็มีบางสิ่งดลใจลูเมี่ยน ขณะเดียวกัน ซูซานน่า·มาติสที่เดือดดาลเพราะคำยั่วยุก่อนหน้า เริ่มแผดเสียงกรีดร้องออกมา
พร้อมกันกับเสียงดังกล่าว เถาวัลย์กับกิ่งไม้รอบๆ พลันพุ่งใส่ลูเมี่ยนอย่างบ้าคลั่ง ความกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ในก้นบึ้งจิตใจเด็กหนุ่มถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด อาการประหวั่นพรั่นพรึงครอบงำจิตใจจนแทบจะหมดสติ
แข้งขาอ่อนแรงในทันที ร่างกายเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่
อาศัยความแน่วแน่อันแรงกล้า ลูเมี่ยนพยายามเหยียดมือขวา จับคว้าชาร์ลีที่คิดจะวิ่งไปหาสัตว์ประหลาดนั่น
มือซ้ายที่กำลังถือปรอทเสื่อมทรามอยู่ ทาบส่วนคมลงบนคอชาร์ลีทันที
การกระทำดังกล่าวทำเอาซูซานน่า·มาติสถึงกับมึนงง รีบไถ่ถามด้วยโทสะสุมอก
“แกคิดจะทำอะไร?”
ลูเมี่ยนแสยะยิ้มชั่วร้าย
“ฉันยังไม่ได้บอกเธอสินะ อาวุธวิเศษเล่มนี้น่ะ ชื่อของมันคือ ‘มีดคำสาป’”
“ใครก็ตามที่ถูกฟันจนเลือดออก ทั้งโคตรเหง้าจะต้องตายเพราะคำสาป ไม่เว้นแม้แต่ภรรยา”
“และเธอคือภรรยาของชาร์ลี!”
อ้างอิงจากประสบการณ์ของคนบ้าห้องชั้นบน ลูเมี่ยนเชื่อว่าวิญญาณมงต์ซูรีไม่เพียงแต่สังหารสมาชิกในครอบครัว แต่ยังรวมถึงสามีหรือภรรยาด้วย
แม้เด็กหนุ่มจะยังไม่แน่ใจว่า ในทางศาสตร์เร้นลับนั้น จะยืนยันได้อย่างไรว่าสองคนนี้เป็นสามีภรรยากัน แต่ในเมื่อซูซานน่า·มาติสพูดเองว่าเธอเป็นภรรยาของชาร์ลี ก็ให้ถือว่าเป็นไปตามนั้น!
แน่นอน ลูเมี่ยนตระหนักเป็นอย่างดี ถึงตนจะใช้ปรอทเสื่อมทรามแลกชะตากรรม ‘พบเจอวิญญาณมงต์ซูรี’ กับชาร์ลีไป แต่ก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าวิญญาณนั่นจะลงมือจู่โจม ‘ภรรยา’ ของชาร์ลี มิได้ช่วยให้สถานการณ์ตรงหน้าดีขึ้นแต่อย่างใด
เขาเสี่ยงเดิมพันว่าซูซานน่า·มาติสคงไม่ทราบเรื่องนี้ และเดิมพันว่าเธอต้องมองเห็นความเสี่ยงที่แฝงมากับปรอทเสื่อมทรามแน่นอน
นี่คือการบลัฟ!
ซูซานน่า·มาติส เจ้าของร่างกายที่เต็มไปด้วยดอกไม้กับตุ่มเปลือกไม้ พลันมีสีหน้าแข็งค้าง บรรดาเถาวัลย์กับกิ่งไม้ที่กำลังพุ่งเข้าหาลูเมี่ยน ก็ล้วนหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
นัยน์ตาสีเขียวของเธอ ท่วมท้นไปด้วยสัมผัสแห่งอันตรายทันที
ทิวทัศน์ของลูเมี่ยนพลันแปรเปลี่ยน เด็กหนุ่มมองเห็นหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ เจ้าของจมูกงองุ้มเหมือนจะงอยปากอินทรี ปรากฏตัวในชุดคลุมยาวสีขาวปักด้ายทอง
ความเกลียดชังที่ฝืนกดเอาไว้มาเนิ่นนาน ระเบิดออกราวกับภูเขาไฟปะทุ
ลูเมี่ยนปล่อยมือจากชาร์ลีทันที สืบเท้าเข้าหา ‘กิโยม·เบเนต์’ ที่ตนตรึงสายตาไว้
แต่เบื้องหน้าของเขา มีเพียงซูซานน่า·มาติสเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ชาร์ลีที่กำลังถูกความลุ่มหลงและความรักครอบงำ เห็นลูเมี่ยนถือมีดสั้นเดินดุ่มเข้าหา ‘ภรรยา’ ของตน จึงรีบยื่นมือไปคว้าอีกฝ่ายพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“อย่าทำร้ายเธอนะ!”
ลูเมี่ยนพลันได้สติตื่น จนพบว่ากิโยม·เบเนต์ตรงหน้าเปลี่ยนกลับไปเป็นซูซานน่า·มาติส เจ้าของร่างกายที่เต็มไปด้วยดอกไม้และตุ่มเปลือกไม้ที่เปิดปิดอยู่ตลอดเวลา!
นี่เราถูกเธอควบคุมอารมณ์? ท่ามกลางความตกตะลึง ลูเมี่ยนฝืนหมุนตัวกลับหลัง จับชาร์ลีพร้อมกับเอาปรอทเสื่อมทรามจ่อคอไว้อีกครั้ง
ซูซานน่า·มาติสแสดงท่าทีผิดหวังอย่างไม่เก็บซ่อน พลางหยุดคิดอยู่ราวๆ สองวินาที ก่อนจะเปิดริมฝีปากสีแดงฉ่ำ
ทันใดนั้นเอง สัตว์ประหลาดรายนี้เกิดชะงักงัน รีบหันไปมองผนังฝั่งที่ติดกับถนนอลเวงด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
วินาทีถัดมา เรือนผมสีเขียวของเธอหดกลับในพริบตา เถาวัลย์กับกิ่งไม้มลายหายอย่างไร้ร่องรอย
ผู้วิเศษของทางการมาแล้ว? ลูเมี่ยนเห็นซูซานน่า·มาติสเดินทะลุผนังหายไป
เขารีบปล่อยตัวชาร์ลี ระหว่างเขย่าให้ตื่นก็รีบพูดไปว่า
“ไปทิ้งตัวนอนตรงบันได อย่าลืมตาจนกว่าจะมีคนมาปลุกนาย!”
พูดจบลูเมี่ยนก็ผลักชาร์ลีไปข้างหน้า ส่วนตัวเองย้อนกลับเข้าห้อง 207 ปิดประตูไม้แล้วล็อกกลอน ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง แสร้งทำเป็นหลับ ประหนึ่งว่าไม่ต่างจากผู้เช่าคนอื่น
เมื่อซูซานน่าจากไป ความลุ่มหลงที่ครอบงำชาร์ลีก็ค่อยๆ เจือจาง จนกระทั่งถูกลูเมี่ยนเขย่าตัวอย่างแรง จึงเริ่มได้สติกลับมา
ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ชาร์ลีที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามคำพูดชาร์ล จึงรีบวิ่งสองสามก้าวจนมาถึงบันไดขาลง แล้วทิ้งตัวนอนนิ่ง หลับตาสนิท แสร้งทำเป็นหมดสติ
แทบจะในเวลาเดียวกัน ชาร์ลีกับลูเมี่ยนพบว่าความมืดมิดในการมองเห็นของตน พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ประหนึ่งดวงตะวันลอยขึ้นก่อนกำหนด นำพามาซึ่งแสงของวันใหม่
…
หลายนาทีต่อมา ดาบยาวสีทองที่ดูกึ่งจริงกึ่งมวลแสง ถูกปักลงบนพื้นถนนอลเวง
ปลายดาบเสียบเข้ากับเถาวัลย์สีเขียวที่เลื้อยคลานด้วยความเร็วสูง
“เรียบร้อยแล้ว?” บุรุษหนุ่มที่มีตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันบนหน้าอก ถามไถ่กับผู้ถือดาบ
อีกฝ่ายเป็นบุรุษมาดกระด้าง ผมบลอนด์ คิ้วบลอนด์ หนวดบลอนด์ แต่งกายด้วยเสื้อโค้ตสีน้ำตาลกระดุมทองสองแถว
ฝ่ายหลังถอนหายใจตอบ
“ครั้งนี้น่ะจบแล้ว แต่ถ้าเราสืบหาแหล่งกำเนิดวิญญาณมารไม่ได้ อีกไม่นานเธอก็จะกลับไปรวมตัวใหม่ที่นั่น”
……………………………………………………..