ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 130 สะกดรอย
ตอนที่ 130 สะกดรอย
การแสดงออกของมาร์โกต์ มิได้ทำให้ลูเมี่ยนรู้สึกแปลกใจ
หากเปลี่ยนเป็นตน ก็คงจะทำแบบเดียวกัน!
เมื่อเชื่อมโยงกับคำพูดของโอลัวร์ที่เคยเล่าว่า เส้นทาง ‘นักล่า’ ค่อนข้างแพร่หลายในสาธารณรัฐอินทิส ลูเมี่ยนเริ่มเชื่อว่ามาร์โกต์เป็นผู้วิเศษ แถมยังอยู่บนเส้นทางนักล่า แต่ยังไม่แน่ใจลำดับ
‘ถ้าลำดับสูงเกินไป คงไม่มาเป็นแค่หัวหน้าหน่วยของแก๊งมาเฟียแน่ เว้นแต่อยากจะสวมบทบาท… ถ้ามาร์โกต์เป็นผู้วิเศษเส้นทางนักล่าจริง ลำดับคงไม่เกิน 7 แถมยังมีโอกาสต่ำมากที่จะเป็น ‘นักวางเพลิง’ … ลีอากับวาเลนไทน์ก็อยู่แค่ลำดับ 7 เหมือนกัน แต่เป็นถึงทีมตรวจสอบมือฉมัง ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาเป็นนักเลงคุมถิ่น หลอกลวงผู้หญิง และกดขี่โสเภณี…’ ลูเมี่ยนพึมพำในใจ พลางถอยหลังสองก้าว ถอนสายตากลับ ไม่มองไปทางเดิมอีก
แม้จะมีโอกาสต่ำที่มาร์โกต์จะลำดับสูงกว่า 7 แต่เด็กหนุ่มก็ไม่กล้าประมาท
หากโอสถของอีกฝ่ายมีชื่อคล้ายๆ กับ ‘วายร้าย’ ที่ต้องสวมบทบาททำนองนี้ล่ะ?
ถ้าแก๊งหนามพิษไม่เหมือนกับที่เห็นภายนอก แต่เป็นสาขาลูกขององค์กรลับหรือลัทธิใต้ดินสักแห่ง มีทรัพยากรล้นเหลือ แต่ควบคุมตัวเองไม่ให้โดดเด่นเกินไป เพื่อมิให้ถูกทางการจับตามอง?
ความเป็นไปได้ข้างต้นอาจจะต่ำมาก แต่สำหรับลูเมี่ยนที่ยังขาดข้อมูลและปัญญาด้านศาสตร์เร้นลับ ก็มิอาจละเลย หรือยืนยันได้ว่ามีโอกาสเป็นจริงมากน้อยเพียงใด
บนทางเดินชั้นสอง ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีแดง แจ็กเกตสีดำ ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นมาร์โกต์ ยืนในท่าสองมือล้วงกระเป๋า ชำเลืองกลับไปมองลูกน้องสามคนด้านหลัง
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทางคล้ายไม่พอใจปนสงสัย เกี่ยวกับกลิ่นน้ำหอมส่วนเกินที่โชยออกมา
จากนั้นก้มมองพื้นแล้วฟุดฟิดจมูก
เขาพบว่ากลิ่นน้ำหอมดังกล่าว ไม่ได้มีอยู่แค่บนพื้นปากทางขึ้นบันได แต่ยังลอยออกมาจากห้อง 207 อย่างชัดเจน และบนขั้นบันไดล่างสุดก็มีร่องรอยของวัตถุเล็กๆ ตกกระแทก ซึ่งยังดูใหม่มาก
ชายที่คาดว่าเป็นมาร์โกต์ ทำการสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยอาศัยข้อมูลที่สังเกตได้จากสภาพแวดล้อม:
ผู้เช่าห้อง 207 อาจจะไปห้องน้ำ หรือไปเยี่ยมเพื่อนบ้านมา ขากลับตั้งใจจะฉีดน้ำหอมแต่ดันถือไม่ระวัง จนขวดตกกระแทกขั้นบันได หลังจากนั้น เขาหรือเธอเกิดนึกเสียดาย จึงปาดน้ำหอมที่หกเลอะนำมาป้ายเสื้อผ้าตัวเอง จนบนพื้นเหลือเพียงรอยบางๆ
สิ่งนี้สอดคล้องกับสภาพความคิดของผู้เช่าโรงแรมระกาทอง
บุคคลที่น่าจะเป็นมาร์โกต์ สลัดความเคลือบแคลงสงสัยออกไป พูดกับลูกน้องทั้งสาม
“กลับถึงคาบาเร่ต์โรงโม่แล้ว อย่าลืมเปลี่ยนรองเท้ากันด้วย”
“ครับ ลูกพี่” ลูกน้องทั้งสามขานรับเกือบจะพร้อมกัน
พวกเขามักถูกขอให้ทำสิ่งที่คล้ายกันอยู่บ่อยๆ จึงไม่แปลกใจอะไร
คาบาเร่ต์โรงโม่… ลูเมี่ยนที่อยู่ในห้อง 207 ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ทำให้ค่อนข้างแน่ใจว่าชายที่น่าจะเป็น ‘นักล่า’ คนนั้นคือมาร์โกต์
หลังจากคุยกับชาร์ลีในตอนเช้า แล้วมีโอกาสได้เดินเล่นในตลาดคนซื่อ คุยกับพ่อค้าแม่ขายหลายคน รวมถึงเพื่อนบ้านในบาร์ จึงได้ทราบว่าคาบาเร่ต์โรงโม่นั้น หรืออาคารหมายเลข 3 บนถนนอลเวง คือฐานทัพของแก๊งหนามพิษ
เมื่อพวกมาร์โกต์เดินลงไปชั้นล่าง ลูเมี่ยนหยิบหมวกกลมปีกกว้าง เดินออกจากห้องอย่างไม่รีบร้อน ตามกลิ่นน้ำหอมที่ยังหลงเหลือ แกะรอยไปจนถึงส่วนลึกของถนน
ผ่านไปราวๆ เจ็ดแปดนาที เด็กหนุ่มมาถึงคาบาเร่ต์โรงโม่ กลิ่นน้ำหอมราคาถูกจากนอกเมืองช่วยยืนยันว่ามาร์โกต์กับลูกน้องกลับเข้าไปแล้ว
คาบาเร่ต์โรงโม่ไม่มีรูปปั้นกับคำขวัญอันน่าประทับใจเหมือนคาบาเร่ต์ลมเอื่อย มีเพียงโถงทางเข้าสีทอง ซึ่งสร้างทับพื้นที่ถนนเล็กน้อย
บนเสาหินที่คอยค้ำจุนโถงทางเข้า ประดับโคมไฟแก๊สที่ล้อมไว้ด้วยกระจกสี่ทิศ ซึ่งอยู่ในกรงเหล็กสีดำอีกที คอยขับไล่ความมืดในยามเย็น
ยามนี้ ด้านในคาบาเร่ต์กำลังคึกคัก ลูเมี่ยนยังไม่ทันจะเข้าไป ก็ได้ยินเสียงร้องเพลง เสียงโหวกเหวก และเสียงดนตรี
การจัดวางภายในคล้ายคลึงกับคาบาเร่ต์ลมเอื่อย มีลานเต้นรำอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยโต๊ะกลมเล็กๆ กับเก้าอี้ ส่วนด้านหน้าเป็นเวทีครึ่งสูง มีหญิงสาวในชุดวาบหวิวกำลังยืนอยู่
หญิงสาวสวมเสื้อยืดตัวเล็กจิ๋วสีขาวสุดเย้ายวน แทบจะเห็นโบของเสื้อใน ใกล้กับมุมปากมีจุดไฝ เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนมัดรวบขึ้น ผิวหน้ามีร่องรอยการลงเครื่องสำอาง นัยน์ตาสีน้ำเงินถูกเน้นด้วยเส้นดำจนดูใหญ่ลึก ภาพรวมมอบเสน่ห์แห่งความตกต่ำ เจือความอ่อนหวาน
หญิงสาวร้องเพลงอย่างอ่อนโยน บางครั้งก็เตะขาขวาสูง ด้วยกระโปรงพลิ้วๆ สีขาวเบจซึ่งยาวเพียงเข่า หลายคนจึงพยายามย่อตัวลงเพื่อแอบมองสิ่งซ่อนเร้น
“คุณหมอของฉันเป็นผู้ชายมากเสน่ห์~”
“เขาชอบถกแขนเสื้อขึ้นก่อน”
“มันทำให้ฉันนึกถึงรักแรก”
“แต่คุณหมอคนนี้แตกต่าง”
“เขาเล็งเป้าได้แม่นยำ”
“ฉันได้ค้นพบว่า… ดาร์ลิ่ง~ เขาใช้นิ้วได้ช่ำชองคล่องแคล่วเสียจริง…”
ท่ามกลางบทเพลงอันเย้ายวน ลูเมี่ยนเดินไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ด้านใน กล่าวกับบาร์เทนเดอร์
“มีอะไรกินบ้าง”
บาร์เทนเดอร์ถามยิ้มๆ
“พายเนื้อรูอ็องเป็นไง? หรือคุณชอบมื้อเย็นทั่วๆ ไปจำพวกไส้กรอก ขนมปัง เบคอน?”
ลูเมี่ยนที่ทราบดีว่าชาวทรีอาร์ชอบพายเนื้อ พยักหน้ารับ
“งั้นเอาพายเนื้อรูอ็องสองชิ้น”
“รับแอปเปิลพันช์มากินคู่กันไหม? มันช่วยลดความมันของพายเนื้อได้” บาร์เทนเดอร์เห็นว่าลูเมี่ยนไม่ถามราคาพายเนื้อ จึงทราบว่าเป็นลูกค้ากระเป๋าหนัก จึงแนะนำเครื่องดื่มที่ราคาสูงกว่าปกติ
พันช์คือค็อกเทลน้ำผลไม้
ลูเมี่ยนยิ้ม
“ได้”
เขาพกเงินติดตัวเกือบสองร้อยเฟลคิน ไม่จำเป็นต้องตระหนี่กับการกินดื่มเกินไปนัก อย่างไรเสีย ถึงจะออมเงินไปก็ใช่ว่าจะมีจ่ายค่าจ้างให้อ็องโตนี·รีด
“พายเนื้อรูอ็องชิ้นละสามริกต์ น้ำพันช์แอปเปิลสิบสองริกต์” บาร์เทนเดอร์แจ้งราคาทันที
ลูเมี่ยนพยักหน้ารับ หยิบเหรียญเงินเฟลคินที่สลักภาพนูนต่ำของเทวทูตร่างเล็ก รวมถึงลวดลายคล้ายแถบรังสี แล้วโยนให้บาร์เทนเดอร์
หลังจากได้รับเหรียญทองแดงห้าโกเปต์สองเหรียญเป็นเงินทอน เด็กหนุ่มก็รอคอยอย่างใจเย็น
ขณะนี้ นักร้องหญิงบนเวทีร้องเพลงจบแล้ว วงดนตรีเริ่มรัวจังหวะกลองอันหนักแน่น
หลายคนในบาร์เดินเข้าไปในห้องเต้นรำ ขยับร่างกายไปตามจังหวะ ปลดปล่อยความเครียด ความเหนื่อยล้า และความเจ็บปวดที่สะสมมาตลอดทั้งวัน
ชายคนหนึ่งที่นั่งใกล้ลูเมี่ยน หันไปพูดกับเพื่อนอย่างยิ้มแย้ม
“ฉันล่ะชอบบรรยากาศแบบนี้จริงๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดการเต้นรำแบบนี้ขึ้นมา มันมีเสน่ห์กว่าการเต้นรำสี่คู่ตั้งเยอะ! นึกภาพตามออกไหม? ฉันมักจะกอดคู่เต้นเอาไว้ แต่ต้องรอนานมากกว่าจะถึงคิว รอจนหมดอารมณ์ไปเลย”
การเต้นรำสี่คู่ หรือการเต้นรำสี่เหลี่ยม คือการที่สี่คู่ชายหญิงยืนเป็นรูปสี่เหลี่ยม เต้นรำตามลำดับท่ามกลางเสียงไวโอลิน จากนั้นก็เต้นเวียนคู่กัน
อีกหนึ่งบุรุษหัวเราะในลำคอ
“ฉันชอบระบำแคนแคนกับระบำเปลื้องผ้ามากกว่า”
ระบำแคนแคนได้รับความนิยมอย่างมากในย่านเจ้าหญิงสีชาด มีจุดเด่นเป็นการเตะขาสูงและกระโดดแยกขาลงพื้น เหล่าสตรีสวมกระโปรงสั้นและถุงน่องจะยืนเรียงกัน เมื่อเตะขาสูงๆ จะได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราว บางครั้งก็มีคนโยนเหรียญขึ้นเวที
แน่นอน นี่เป็นการเต้นระบำที่ต้องใช้ฝีมือ นักเต้นเก่งๆ จะเตะขาสูงเลยจมูก หรือใกล้เคียงกับใบหู
ลูเมี่ยนฟังเสียงรอบข้าง คอยใช้หางตาเหล่มองบันไดที่กลิ่นน้ำหอมราคาถูกจางหายไปแล้ว
ผ่านไปสักพัก พายเนื้อหนาๆ สองชิ้นถูกยกมาเสิร์ฟตรงหน้า พร้อมด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดูชวนฝัน ด้านล่างเป็นสีแดงเข้ม ด้านบนเป็นสีแดงอ่อน ลอยด้วยน้ำแข็งก้อน
ลูเมี่ยนลองจิบน้ำแอปเปิลพันช์ สัมผัสถึงความหวานสดชื่น ความเปรี้ยวเจือจาง ความซาบซ่านของแอลกอฮอล์ และความเย็นจากก้อนน้ำแข็ง ปลุกสติให้ตื่นตัว
ถัดมา เด็กหนุ่มนำพายเนื้อรูอ็องขึ้นมากัด
ความหนานุ่มและหวานเบาๆ ของแป้งที่ไม่ผ่านการหมัก รวมถึงผิวสัมผัสของเนื้อสับ กลิ่นหอมของไขมัน และความร้อนแรงของเครื่องเทศ ทำให้ลูเมี่ยนแทบหยุดกินไม่ได้
หลังจากกินพายเนื้อจนหมดจาน เด็กหนุ่มจึงค่อยยกแอปเปิลพันช์ขึ้นมาจิบ ล้างความมันในช่องปาก
จัดการมื้อเย็นจนหมด ลูเมี่ยนนั่งจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตรงหน้า พลางฟังเสียงสตรีขับร้อง สลับกับมองดูผู้คนในลานเต้น
เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับตนได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศอันร้อนแรงและบ้าคลั่งเช่นกัน บางคราวก็ขยับตัวตามจังหวะอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ที่ค่อนข้างมืด
ทุกครั้งที่ทำ ลูเมี่ยนจะเหล่มองทางขึ้นบันไดอย่างแนบเนียน เพื่อสังเกตความเคลื่อนไหวของมาร์โกต์กับลูกน้อง
จนกระทั่งเกือบเที่ยงคืน มาร์โกต์ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีแดงและแจ็กเกตหนัง ผมสีเหลืองอ่อนตั้งชัน พาลูกน้องสามคนเดินลงจากบันได ออกจากคาบาเร่ต์
พิจารณาจากการที่อีกฝ่ายอาจเป็นผู้วิเศษเส้นทาง ‘นักล่า’ ลูเมี่ยนไม่รีบตามไปทันที และเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจ ‘คลาดกัน’ เพราะหลังจากพวกลูกน้องเปลี่ยนรองเท้าจนไม่เหลือกลิ่นน้ำหอม เด็กหนุ่มก็สะกดรอยตามด้วยกลิ่นไม่ได้แล้ว
อย่างไรก็ดี เขายังคงมีความหวัง เนื่องจากสังเกตเห็นว่าภายในคาบาเร่ต์ ลูกค้าส่วนใหญ่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความบ้าคลั่ง จนบางครั้งก็ทำเครื่องดื่มหก ตรงทางเข้าบันไดจนถึงประตูหน้าจึงเต็มไปด้วยร่องรอยของเหลวเจิ่งนอง
ในท่าขยับตัวตามจังหวะ ลูเมี่ยนแอบเหล่จากหางตา เห็นมาร์โกต์หลบเลี่ยงพื้นเปียกได้อย่างแม่นยำ นั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มมั่นใจว่าอีกฝ่ายคือผู้วิเศษเส้นทาง ‘นักล่า’
แม้ลูกน้องทั้งสามของมาร์โกต์จะถูกเตือนล่วงหน้าและพยายามเลี่ยง แต่เนื่องจากสายตาของพวกเขาไม่ได้เหนือมนุษย์ อีกทั้งแสงจากโคมไฟแก๊สก็ค่อนข้างสลัว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีส่วนใดส่วนหนึ่งของฝ่าเท้า หรือหนึ่งในสามของส้นเท้า สัมผัสกับรอยเปียก
สำหรับคนที่เที่ยวบาร์หรือคาบาเร่ต์บ่อยๆ นี่เป็นสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้ มาร์โกต์จึงชินชาและไม่ได้มองเป็นปัญหา ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจ
หลังจากพวกเขาออกไปได้ราวๆ หนึ่งนาที ลูเมี่ยนลุกจากบาร์ เดินออกจากคาบาเร่ต์
ตอนนี้ผู้คนบนถนนเริ่มบางตา มีเพียงคนเมาที่บางครั้งก็ร้องเพลงเสียงหลง บางครั้งก็สบถด่า บรรยากาศค่อนข้างมืดโดยเฉพาะใต้โคมไฟแก๊สที่ชำรุดเสียหาย แสงสว่างเดียวมาจากพระจันทร์สีแดงสูงบนท้องฟ้า
อาศัยโคมไฟแก๊สสี่ดวงตรงโถงประตูคาบาเร่ต์ ลูเมี่ยนพบรอยเท้าเปียก บางรอยก็จางไปนานแล้ว บางรอยก็ยังสดใหม่
จากบรรดาทั้งหมด มีรอยเท้าสามคู่อยู่ใกล้กันมาก ระยะก้าวไล่เลี่ยกัน หลังจากลูเมี่ยนลองตรวจสอบอย่างละเอียด ก็พบรอยเท้าหนึ่งอยู่ด้านหน้ากลุ่มสามรอยนี้ เป็นรอยเท้าที่จางจนยากจะสังเกตเห็น ซ้ำยังปราศจากรอยเปียก
ลูเมี่ยนยิ้มออกมา พลางพึมพำจิกกัด
“การคลุกคลีอยู่กับพวกแมลงและหมู่โง่ๆ มีแต่จะนำพาความเดือดร้อนมาให้”
……………………………………………………..