ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 124 วิธีป้องกันตนเอง
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 124 วิธีป้องกันตนเอง
ตอนที่ 124 วิธีป้องกันตนเอง
ตามแผนที่กำหนดไว้ หลังจากเดินรอบๆ ร้านกาแฟเมสันในเขตสวนพฤกษศาสตร์ ลูเมี่ยนกลับมายังโรงแรมระกาทองบนถนนอลเวง เดินขึ้นไปยังชั้นสาม หยุดอยู่หน้าห้องหมายเลขสิบที่คนบ้าพักอยู่
ปึง! ปึง! ปึง! เด็กหนุ่มเคาะประตู
“ฉันจะตายแล้ว! ฉันจะตายแล้ว!” เสียงพึมพำของคนในห้องดังแหลมลึกออกมา
“ฉันก็จะตายแล้วเหมือนกัน! ไอ้เย็*แม่!” ลูเมี่ยนสบถหยาบคาย แต่ไม่ได้มีอารมณ์ร่วม
คนบ้าข้างในคงกลัวความกระโชกโฮกฮาก จึงเงียบไปโดยไม่เถียงอะไรกลับมา
ลูเมี่ยนไม่ได้เคาะประตูต่อ เพียงหยิบลวดโลหะเส้นเล็กๆ ที่พกติดตัวมาด้วย สอดเข้าไปในรูกุญแจแล้วขยุกขยิกอยู่สักพัก
เมื่อเสียง ‘กริ๊ก’ ดังขึ้น ประตูไม้สีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกก็ ‘เปิดออกเอง’
ลูเมี่ยนมองเห็นคนบ้า ซึ่งยังคงใส่เสื้อลินินและกางเกงขายาวสีเหลือง กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นห้อง หนวดเคราสีดำรกทึบจนแทบจะบดบังดวงตา
เด็กหนุ่มเดินเข้าไป ปิดประตูตามหลัง แล้วก้มตัวลงหน้าคนบ้า พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ฉันก็ได้เจอวิญญาณมงต์ซูรีมาเหมือนกัน”
คนบ้าสะดุ้งเบาๆ ทันที ดวงตาสีน้ำเงินที่เต็มไปด้วยความประหวั่น ก็เริ่มลุกวาวคล้ายอาการบรรเทาลง
ไม่กี่วินาทีถัดมา เขาหายใจเข้ายาวๆ แล้วถามด้วยเสียงต่ำ
“นายแน่ใจหรือว่าเป็นวิญญาณมงต์ซูรี?”
นี่สินะ การกลับมามีสติเป็นครั้งคราวที่ชาร์ลีพูดถึง? ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ
“ฉันไม่แน่ใจนักหรอก ถึงต้องมาถามนายเพื่อยืนยันไง”
“วิญญาณมงต์ซูรีที่นายเจอ หน้าตาเป็นแบบไหน?”
คนบ้าตอบเสียงสั่นเครือ
“เป็นเงาดำ คล้ายกับชายชราที่โดดเดี่ยว หลังค่อมและเดินเชื่องช้า”
“หลังจากที่ฉันสังเกตเห็น อีกฝ่ายก็หายไปในความมืด ทีแรกฉันก็ไม่รู้ว่านั่นคือวิญญาณมงต์ซูรี จนกระทั่งพ่อ แม่ ภรรยา และลูกของฉันตายไปทีละคน…”
คล้ายกับที่เราเจอมาก… ลูเมี่ยนขมวดคิ้ว เริ่มเชื่อว่าตนอาจได้เจอวิญญาณมงต์ซูรีเข้าจริงๆ แล้ว
เด็กหนุ่มไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะถามต่อ
“ครอบครัวของนายตายยังไง? ถูกทำร้าย?”
คนบ้ารีบส่ายหน้า
“ฉ…ฉันรู้สึกว่ามีบางสิ่งในความมืดกำลังจ้องมองมา แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้น ฉันคงไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้”
“ลูกของฉันป่วยหนัก จนกระทั่งตายที่โรงพยาบาล หลังจากทำพิธีชำระล้างให้เขาแล้วนำไปฝังที่สุสานได้ไม่นาน ภรรยาของฉัน… ภรรยาของฉันก็ใจสลาย จนแขวนคอตายในห้องตัวเอง”
“นั่นคือตอนที่ฉันนึกถึงตำนานวิญญาณมงต์ซูรี จึงรีบพาพ่อแม่ไปที่วิหาร ขอให้ท่านอธิการโบสถ์ช่วยปกป้องคุ้มครองเรา”
“ทางวิหารให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ส่งนักบวชสามคนมาอยู่ที่บ้านฉัน ในช่วงเวลานั้นไม่เกิดอะไรขึ้นเลย จนนึกว่าฝันร้ายคงผ่านพ้นไปแล้ว”
“พอขึ้นปีใหม่ นักบวชทั้งสามท่านก็ถอนตัวกลับไป… ไม่นานหลังจากนั้น พ่อของฉันก็ฆ่าแม่ด้วยการรัดคอ และจบชีวิตตัวเองด้วยมีดทำครัวในบ้าน… นับแต่นั้นมา ความทรงจำของฉันก็เริ่มขาดๆ หายๆ พอรู้ตัวอีกที ตื่นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่นี่แล้ว…”
ความเจ็บปวดที่มิอาจเก็บซ่อน ถูกฉายอยู่บนแววตาสีน้ำเงินของคนบ้า ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายคือสปริงที่ถูกยืดออกจนสุด พร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อ
“ไม่ใช่ว่าวิญญาณมงต์ซูรีจะฆ่าคนที่ได้พบกับมันภายในปีเดียวหรอกหรือ? นี่ก็ย่างเข้าอีกปีแล้วนี่?” ลูเมี่ยนจับสังเกตได้ว่า คำบอกเล่าของคนบ้ามีจุดแตกต่างจากในตำนาน
คนบ้าส่ายหน้า
“ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้… เคยคิดว่าฝันร้ายจบลงไปแล้ว นักบวชทั้งสามท่านก็คงคิดเหมือนกัน ถึงได้ถอนตัวกลับไป…”
คำสาปที่ไม่มีระยะเวลาสิ้นสุด จนกว่าเป้าหมายทั้งหมดจะตาย? ลูเมี่ยนผุดทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับตำนานวิญญาณมงต์ซูรี
เขายืนขึ้น พูดกับคนบ้า
“ดูเหมือนว่าผีที่ฉันเจอ ก็เป็นวิญญาณมงต์ซูรีเหมือนกัน… มาดูกันว่าใครจะอยู่รอดได้นานกว่า”
“ถ้าฉันหาวิธีคลายคำสาปได้ นายจะมาจ้างให้ช่วยก็ได้นะ”
“วิธี… วิธี…” คนบ้ายกมุมปากขึ้น หัวเราะสลับกับร้องไห้ ท่องคำพูดของลูเมี่ยนซ้ำๆ
จากนั้นเขาก็ยกสองมือขึ้น ขยุมผมของตัวเอง
“ฉันกำลังจะตาย ฉันกำลังจะตาย!”
ลูเมี่ยนตั้งใจจะถามชื่อคนบ้า เผื่อว่าจะได้ช่วยจารึกไว้ในยามที่ส่งร่างไปยังสุสานหรือหลุมฝังศพ แต่พอเห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็ทำได้เพียงส่ายหัว หันกลับไปเปิดประตูแล้วเดินออกจากห้อง 310
กลับมาถึงห้อง 207 ลูเมี่ยนนั่งตรงขอบเตียง เริ่มคิดหาวิธีรับมือกับคำสาปที่วิญญาณมงต์ซูรีนำพามา
แม้ว่าในทางทฤษฎีแล้ว คำสาปจะยังไม่มีผลจนกว่าจะถึงสิ้นปี ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แต่ลูเมี่ยนไม่อาจนิ่งนอนใจระหว่างที่วิญญาณมงต์ซูรีกำลัง ‘ลีลา’
นอกจากนั้น เขายังไม่มีญาติพี่น้องใกล้ชิด คนแรกที่จะถูกคำสาปเล่นงานคงไม่ใช่ใครนอกจากตัวเขาเอง ซึ่งอาจเกิดขึ้นในครึ่งปีหลัง หรือแม้กระทั่งสัปดาห์หน้า หรือคืนนี้เลยก็ได้
“จะว่าไป หมอนั่นอาจยังมีชีวิตอยู่ ถ้าวิญญาณมงต์ซูรีช่วยฉันกำจัดเขาได้ บางทีฉันอาจต้องขอบคุณมันแทน…” ลูเมี่ยนคิดแล้วก็หัวเราะเยาะตัวเอง
เด็กหนุ่มเคยบอกกับพวกไรอันในความฝันว่า เขาลืมชื่อตัวเองไปแล้ว แต่นั่นคือการโกหก เขาแค่ไม่อยากพูดถึงหรือนึกถึงมันอีก
ในช่วงชีวิตวัยเด็กของลูเมี่ยน ครอบครัวมิได้ถือว่ายากจนอะไรนัก แต่ผู้ชายที่เขาเรียกว่าพ่อมีนิสัยเสเพล ในภายหลังก็กลายเป็นผีพนัน
แม่ของเขาโกรธจัดจนป่วยตาย ปู่ก็กลายเป็นบุคคลล้มละลาย ต้องย้ายไปอยู่ในพื้นที่ยากจน และไม่นานปู่ก็เสียชีวิต
ด้วยเหตุนี้ เมื่อถูกโอลัวร์เก็บไปเลี้ยง ลูเมี่ยนจึงขอเปลี่ยนชื่อ ขอเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของเธอ
เด็กหนุ่มไม่ทราบว่าชายผู้มีประโยชน์เพียงการ ‘หลั่งน้ำเชื้อ’ จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หากตายไปแล้วก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ถ้ายังไม่ตาย เขาก็หวังว่าวิญญาณมงต์ซูรีจะขยันขันแข็งสักนิด
สำหรับตัวลูเมี่ยนเอง เขาไม่กล้าเสี่ยงหวังให้ ‘มลพิษของเทพมาร’ หรือ ‘รอยประทับขององค์ผู้ยิ่งใหญ่’ คอยปกป้องตนจากอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณมงต์ซูรี
ตราบใดที่ท่านๆ มิได้ลงมาสถิตร่างด้วยพระองค์เอง ไอ้วิญญาณนั่นจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!
อ้างอิงจากคำพูดของมาดามเมจิกเชี่ยน ลูเมี่ยนเชื่อว่ามีผู้วิเศษหรือสัตว์ประหลาดจำนวนไม่น้อยที่สามารถฆ่าตนได้ง่ายๆ เพียงแต่อีกฝ่ายต้องเผชิญกับมลพิษที่จะแพร่กระจายออกมา
“ยังไม่แน่ว่าจะเป็นคำสาป… แต่เราก็ไม่ควรนั่งรอความตาย ต้องทำอะไรสักอย่าง… อา… โอลัวร์เคยพูดอยู่บ่อยๆ ว่า สำหรับคนอ่อนแอและเด็ก จุดแข็งที่สุดคือการ ‘หาผู้ปกครอง’ …” คิดถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนทำตาเป็นประกาย ลุกขึ้นยืนทันที เดินไปที่โต๊ะ นำกระดาษและปากกาออกมา
เขาตั้งใจจะรายงานความคืบหน้าของภารกิจให้มาดามเมจิกเชี่ยนทราบ โดยสอดแทรกการเล่าถึงเหตุการณ์ที่ได้พบเจอกับวิญญาณมงต์ซูรี และแสดงความกังวลเกี่ยวกับคำสาป ปิดท้ายด้วยการถามถึงวิธีแก้ปัญญา
แม้มาดามที่มีรหัสว่า ‘เมจิกเชี่ยน’ จะมิใช่ผู้ปกครองโดยแท้จริงของตน แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างน้อยเธอก็สมควรถูกเรียกว่าเจ้านาย การขอความช่วยเหลือจากเจ้านายเวลามีปัญหา คือสิ่งที่ลูกน้องพึงกระทำอย่างยิ่งแล้ว!
ลูเมี่ยนไตร่ตรองสักพัก แล้วจึงเริ่มเขียน
“เรียนมาดามเมจิกเชี่ยนที่เคารพ”
“ผมปฏิบัติตามคำสั่งของคุณแล้ว ได้รับความไว้วางใจจากออสตา·ทรูเอล จนกระทั่งเขาจะช่วยพาเข้าชุมนุมศาสตร์เร้นลับที่จัดโดยมิสเตอร์ K…”
“แต่ในระหว่างทางกลับจากหลุมฝังศพใต้ดิน ผมบังเอิญโชคร้ายได้พบกับวิญญาณมงต์ซูรีในตำนาน แต่ก็ยังไม่แน่ใจเท่าไรนัก”
“รายละเอียดของตำนานมีดังนี้…”
“ผมอยากทราบว่า ตอนนี้ผมได้รับคำสาปจากวิญญาณมงต์ซูรีแล้วหรือยัง และควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร”
เมื่อเขียนใกล้จบ ลูเมี่ยนจงใจใช้ ‘เจ็ดไม้’ เป็นรหัสแทนตน เพื่อเตือนผู้รับจดหมายว่า อย่าลืมเรื่องที่เขาเป็นสมาชิกวงนอกคนหนึ่งขององค์กรลึกลับของเธอ
นี่คือการสันนิษฐานของลูเมี่ยน โดยอ้างอิงจากที่มาดามคนนั้นใช้คำว่า ‘เมจิกเชี่ยน’ จากไพ่ทาโรต์เป็นรหัสแทนตน ส่วนเขาก็ได้รับแจกไพ่ ‘เจ็ดไม้’ ซึ่งเป็นหนึ่งในไพ่ทาโรต์เช่นกัน
เด็กหนุ่มสงสัยว่ามาดามเมจิกเชี่ยนน่าจะเป็นสมาชิกองค์กรลับที่ใช้ไพ่ทาโรต์เป็นสัญลักษณ์ ศรัทธาในองค์ผู้ยิ่งใหญ่ โดยในหมู่พวกเขา ไพ่ทาโรต์สำรับใหญ่คือ ‘สมาชิกหลัก’ ทุกคนล้วนทรงพลัง ส่วนไพ่สำรับเล็กคือสมาชิกวงนอก รับหน้าที่แตกต่างกันไป
เมื่อพับจดหมายเสร็จ ลูเมี่ยนก็ทำความสะอาดห้องทุกซอกทุกมุม กำจัดตัวเรือดที่มาจากห้องข้างๆ ทั้งหมด แล้วนำซากไปทิ้งไว้ในถังขยะห้องน้ำ
จัดการทั้งหมดนี้เสร็จ เด็กหนุ่มจุดเทียนไข สร้างกำแพงวิญญาณ อัญเชิญผู้ส่งสารของมาดามเมจิกเชี่ยน
ผ่านไปสักพัก เปลวไฟก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อน
ผู้ส่งสารคล้ายตุ๊กตาที่สูงเพียงหนึ่งท่อนแขน มาในชุดกระโปรงสีทองอ่อน ปรากฏกายจากยอดเปลวไฟ ล่องลอยอยู่ตรงนั้น
ดวงตาสีฟ้าที่ขาดความแวววาว ดูไร้ชีวิตชีวา กวาดมองไปรอบๆ พลางพยักหน้าเบาๆ
“ดีกว่าคราวก่อนมาก”
เสียงดังกล่าวทั้งบางเบาและล่องลอยชวนฝัน ไม่เหมือนเสียงที่มนุษย์จะทำได้
“อันที่จริง ฉันก็ไม่ชอบตัวเรือดพวกนั้นเหมือนกัน” ลูเมี่ยนต่อบทสนทนา
ผู้สงสารที่ดูคล้ายตุ๊กตายิ้มออกมาเล็กน้อย
“ใช่ไหม? ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดชื่นชอบแมลงพวกนั้นลงแน่!”
ลูเมี่ยนยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายพึงพอใจกับสถานการณ์ คงเพราะ ‘ทั้งคู่’ เกลียดสิ่งเดียวกัน
กล่าวจบ ผู้ส่งสารตุ๊กตาก็ยื่นมือสีขาวซีดที่ดูไม่เหมือนผิวหนังออกมา เสกให้จดหมายลอยขึ้น
ลูเมี่ยนมองตามจดหมายไป พอดีเห็นตุ๊กตาตัวนั้นจับจดหมายแล้วแตกสลายไปเหมือนฟองสบู่
เด็กหนุ่มกล่าวด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้ง
“มีผู้สงสารนี่สะดวกดีจริงๆ …”
หลังจากยุติพิธีกรรมและเก็บโต๊ะแท่นบูชาเรียบร้อย ลูเมี่ยนก็นั่งกลับไปบนขอบเตียง รอคอยให้ผู้ส่งสารนำคำตอบกลับมา
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป ความมืดยามค่ำคืนทวีความล้ำลึก เสียงเพลงเริ่มดังมาจากบาร์ใต้ดิน แต่ลูเมี่ยนก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบกลับจากมาดามเมจิกเชี่ยน
เด็กหนุ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“มาดามเมจิกเชี่ยนติดธุระอื่นอยู่? จนไม่มีเวลาดูจดหมายของเราเลย?”
“จะเอาแต่รอไม่ได้เด็ดขาด ต้องคิดหาวิธีปกป้องตัวเองทางอื่นด้วย…”
“ทั้งนักล่าและนักยั่วยุต่างก็ไม่มีพลังขัดคำสาป… ถ้ามันเป็นคำสาปจริงๆ ล่ะนะ…”
“นักเต้นก็ทำไม่ได้เช่นกัน เว้นแต่ว่าหลังจากเต้นเสร็จ จะสวดวิงวอนขอพรจากองค์ซ่อนเร้น… แต่แบบนั้นต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย?”
“หืม… ถึงจะขอพรจากองค์ซ่อนเร้นนั่นไม่ได้ แต่เราขอพรจากองค์ผู้ยิ่งใหญ่นั่นได้!”
“เรามีรอยประทับของพระองค์อยู่บนตัวแล้ว ตอนที่ขโมย ‘พร’ ก็ได้รับอนุญาตจากพระองค์แล้ว สามารถขอพรอีกครั้งโดยไม่ต้องกลัว!”
“อา… ขอให้พระองค์ช่วยขจัดคำสาปบนตัวเราก็แล้วกัน”
ลูเมี่ยนคิดแล้วลงมือทำทันที รีบจัดแต่งแท่นบูชาขึ้นมาใหม่
เนื่องจากมาดามเมจิกเชี่ยนไม่เคยเอ่ยถึงวัตถุดิบเสริมในขอบเขตขององค์ผู้ยิ่งใหญ่ ลูเมี่ยนจึงเชื่อว่าสามารถใช้สิ่งใดก็ได้ ตราบเท่าที่ไม่เกี่ยวข้องกับเทพองค์อื่น
เด็กหนุ่มวางเทียนสีส้มที่ทำจากส้มกับลาเวนเดอร์สองแท่ง เพื่อเป็นตัวแทนของเทพ อีกแท่งแทนตัวเขาเอง
หลังจากเตรียมการพร้อมสรรพ ลูเมี่ยนถอยหลังกลับหนึ่งก้าว มองไปยังเปลวไฟสีเหลืองของเทียน แล้วเริ่มท่องเป็นภาษาเฮอร์มิส
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ…”
……………………………………………………..