ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 118 เรียกสถิต
ตอนที่ 118 เรียกสถิต
ลูเมี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วหันไปถาม
“สัมผัสวิญญาณของนายแกร่งกล้าสินะ?”
ออสตาดูงงงัน ก่อนจะค่อยๆ แสดงออกถึงความกลัวปนประหวั่น
เขาเว้นวรรคสักพัก แล้วจึงพูด
“มันคงเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของผู้วิงวอนความลับ… ผมสามารถรับรู้ถึงสิ่งมีชีวิตปริศนาที่ซุกซ่อนในความมืดอันลึกล้ำ และยังสัมผัสถึงผืนม่านหนาๆ ที่ปกคลุมโลกแห่งความจริงเอาไว้ หลังม่านผืนนั้นคือดวงตาที่จ้องมองมาทางพวกเรา ดวงตาอันปราศจากอารมณ์ความรู้สึก…”
เล่าถึงตรงนี้ ออสตาเริ่มหายใจหอบ
ลูเมี่ยนมิได้เร่งรัด เพียงรอให้จอมเวทกำมะลอรายนี้สงบลงเอง
ผ่านไปราวๆ หนึ่งนาที ออสตาหายใจออกยาวๆ พร้อมกับกล่าว
“ในเขตตลาดกับเขตหอดูดาวน่ะยังดี แต่ในโลกใต้ดินของทรีอาร์ บางครั้งผมก็สัมผัสได้… ณ สุดสายของถนนบางเส้น ในจุดที่ตามองไม่เห็น สิ่งมีชีวิตบางชนิดกำลังกวักมือเรียกให้ผมไปหา”
“ผมเองก็บอกไม่ได้ว่า ถ้าเดินเข้าไปในความมืดนั่น สุดท้ายผมจะกลายเป็นตัวอะไร”
เครื่องตรวจจับศาสตร์เร้นลับชั้นยอด… ลูเมี่ยนดูแคลนความอ่อนหัดของ ‘เนตรวิญญาณ’ นักล่า แต่อีกแง่หนึ่งก็นึกพบว่า ‘ผู้วิงวอนความลับ’ มิได้ไร้ประโยชน์อย่างที่ออสตาบอก
ออสตายังคงเล่าต่อไป
“บางครั้ง ในตอนที่เห็นนักท่องเที่ยวเดินถือเทียนสีขาวเข้าไปในสุสานใต้ดิน ผมจะเกิดความคิดที่ใกล้เคียงกับมโนภาพ เชื่อว่าการถือเทียนคือพิธีกรรมอย่างหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงกับองค์ซ่อนเร้นผ่านอำนาจของศาสตร์เร้นลับ ช่วยให้นักท่องเที่ยวไม่ถูกความมืดมิดกลืนกินเข้าไป ไม่ถูกวิญญาณคนตายพรากจากไป”
ลูเมี่ยนฟังแล้วก็ทึ่ง ไม่อาจหักห้ามใจมิให้คิดว่า:
“ในแง่ศาสตร์เร้นลับ ผู้วิงวอนความลับถือว่าทรงพลังทีเดียว… เพียงแต่ไม่ถนัดต่อสู้”
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของออสตา เด็กหนุ่มสงสัยว่าการบังคับให้นักท่องเที่ยวจุดเทียนสีขาวแล้วถือเดินเข้าไปในสุสาน ความจริงแล้วคือพิธีกรรมหนึ่ง ซึ่งช่วยป้องกันนักท่องเที่ยวจากอันตรายซ่อนเร้น
ผู้ดูแลสุสานคงทราบเรื่องนี้ดี แต่เพื่อหารายได้ พวกเขาไม่เพียงจะไม่พูด แต่ยังสนับสนุนให้ผู้คนข้างบน ผนวกการเที่ยวชมสุสานใต้ดินไว้ในส่วนหนึ่งของตารางเที่ยว
ลูเมี่ยนระลึกถึงถ้อยคำที่โอลัวร์ พี่สาวของตนมักตัดพ้ออยู่บ่อยๆ
“เงินทำให้คนเปลี่ยนไป”
แต่เราไม่แน่ใจว่าในลำดับต่ำ โอสถ พร หรือเงิน สามารถเปลี่ยนคนได้มากกว่ากัน… ลูเมี่ยนพึมพำจิกกัดเงียบงัน
แล้วจึงหันไปถามออสตา
“ในเขตตลาด มีตรงไหนบ้างที่นายสัมผัสถึงอันตรายซ่อนเร้นในความมืด?”
สีหน้าของออสตาเปลี่ยนไปหลายครั้ง จนกระทั่งกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ถ้าเป็นเขตตลาดคนซื่อ ผมไม่กล้าเข้าใกล้บ้านหลังที่ถูกไฟไหม้”
ณ ชายขอบของตลาดคนซื่อ ใกล้กับถนนเสื้อนอกขาว มีบ้านหลังหนึ่งถูกไฟไหม้จนกำแพงดำเกรียม ไม่มีใครอยู่อาศัย สภาเขตพยายามเรียกร้องให้รื้อถอนและเปลี่ยนเป็นอาคารพาณิชย์ แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด ข้อเสนอดังกล่าวไม่เคยได้รับความสนใจจากเทศบาลเมืองเลย จนบ้านหลังที่ดูเหมือนแผลของเมืองหลังนั้น ยังคงโดดเด่นในจุดเดิมมานานกว่าสิบปี
เมื่อเช้าเราก็เดินผ่านมา แต่ไม่ยักจะสัมผัสถึงอะไรได้… ลูเมี่ยนหันหน้าเข้าหาประตู เดินออกไปพร้อมกับทิ้งท้าย
“ไว้ฉันจะแวะมาหาใหม่ หวังว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ”
ออสตาที่พันแผลตรงหัวไหล่เรียบร้อยแล้ว กล่าวยิ้มๆ
“ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ผมก็จะให้คำตอบกับคุณแน่”
ออกจากห้องของออสตาแล้ว ลูเมี่ยนก็เร่งฝีเท้าทันที ร่างของเขาวูบหายไปหลบอยู่ในเงามืดของบันไดที่นำไปสู่ดาดฟ้า ดวงตาตรึงอยู่กับประตูไม้ที่ปิดสนิทอย่างเงียบงัน
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เมื่อยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ลูเมี่ยนหยิบหนังสือพิมพ์ ‘เลอเปอตีทรีอาเรียง’ เดินลงบันไดอย่างไม่รีบร้อน
ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงท้องตัวเองร้องดังโครกคราก
มองไปบนถนนรกๆ ที่ระเกะระกะไปด้วยกองหิน ท่อนไม้ แผ่นโคลน และเศษขยะต่างๆ
โชคดีที่ตรงกลางยังถูกแหวกไว้สำหรับเดิน ลูเมี่ยนมองหาร้านเบเกอรีใกล้ๆ และจ่ายสามริกต์เพื่อซื้อครัวซองต์ครึ่งกิโลกรัม
เขายังลองดื่มน้ำอัดลมผลไม้ที่มีขายแค่ในทรีอาร์ด้วย
ของเหลวชนิดนี้เต็มไปด้วยฟอง และเมื่อผสมกับน้ำเชื่อมเรดเคอร์แรนท์ (Red Currant) ฟองก็กระจายออกเหมือนปุยเมฆ สนนราคาสิบสามโกเปต์
ถ้าคืนขวดน้ำอัดลม ก็จะได้รับเงินคืนสามโกเปต์
…………
ถนนอลเวง โรงแรมระกาทอง
ลูเมี่ยนยังไม่ทันจะเดินเข้าไปในบาร์ใต้ดิน ก็ได้ยินเสียงคึกคักเฮฮา
ในค่ำคืนที่เพิ่งจะผ่านสามทุ่มไป พื้นที่อันไม่กว้างไม่เล็กเนืองแน่นไปด้วยผู้คนประมาณยี่สิบ บ้างก็นั่งชิดเคาน์เตอร์บาร์ บ้างก็นั่งจับกลุ่มดื่มเหล้ารอบโต๊ะกลมเล็กๆ แต่ทุกคนล้วนจับจ้องไปทางบาร์เทนเดอร์
บาร์เทนเดอร์ ผู้มัดผมทรงหางม้าและมีบรรยากาศศิลปิน กำลังแนะนำเครื่องจักรที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์ให้กับลูกค้าชายหน้าใหม่รายหนึ่ง
“นี่คือเรื่องทดสอบความโง่ สามารถวัดความฉลาดของนายได้”
“อยากลองไหม?”
ลูกค้าชายที่สวมแจ็กเกตสีเข้ม ถามอย่างสนอกสนใจ
“ลองยังไง?”
บาร์เทนเดอร์ที่ทำหน้าเคร่งขรึม ชี้ท่อยางที่โผล่ออกมาพร้อมกับพูดว่า
“เป่าลมเข้าไปในนี้ จนกว่าจะมีฟองลอยขึ้นบนโหลแก้วข้างบน”
“ฟองจะปรากฏหรือไม่ มีฟองมากน้อยแค่ไหน ทุกปัจจัยจะถูกทำไปประเมิน”
ลูกค้าชายรายนี้ไม่มีความลังเลเลย หยิบท่อยางขึ้นมาเริ่มเป่าทันที
เมื่อฟองสีเขียวอ่อนปรากฏขึ้นในโหลแก้วด้านบนเครื่อง ทุกคนในบาร์ลุกขึ้นยืนปรบมืออย่างบ้าคลั่งพลางโห่เฮอย่างสนุกสนาน
“ยินดีต้อนรับ! คนโง่ที่โง่จนฟองฟูม!”
ลูกค้าชายรายนั้นทีแรกก็ทำหน้างุนงง แต่พอเข้าใจก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ
เขาจ้องบาร์เทนเดอร์สายตาขุ่นเคือง แล้วจึงหันไปมองลูกค้ากว่ายี่สิบคนในร้าน แต่ผ่านไปไม่นานก็เริ่มข่มโทสะ เปลี่ยนเป็นพึมพำกับตัวเอง
“น่าสนุกดีนี่… มุกนี้น่าสนใจจริงๆ พรุ่งนี้ฉันจะพาเพื่อนมาลอง”
เพื่อนเขาทำกันแบบนี้? ลูเมี่ยนหัวเราะชอบใจเงียบๆ พลางลากเก้าอี้สูงมานั่ง กล่าวกับบาร์เทนเดอร์
“อัปแซ็งต์แอนีซแก้วนึง”
บาร์เทนเดอร์ยิ้มอย่างเป็นมิตร
“แก้วนี้ฉันเลี้ยงเอง เครื่องจักรของนายเจ๋งมาก มีหลายคนแวะมาดื่มเพียงเพราะได้ยินความมหัศจรรย์ของมัน ธุรกิจของฉันดีขึ้นเกือบเท่าตัวเลย”
“จริง… ฉันชื่อปาวาร์·นีซองต์ เจ้าของบาร์และศิลปินอิสระ นายล่ะ?”
“ชาร์ล” ลูเมี่ยนไม่เก็บซ่อนรอยยิ้ม
เป็นอีกครั้งที่เขาตระหนักถึงความต่างระหว่างผู้คนในกรุงทรีอาร์กับชาวบ้านกอร์ตู
ในหมู่บ้านกอร์ตู ถ้าใครตกเป็นเหยื่อการแกล้งอำพรรค์นี้ พวกเขาจะมองหาโอกาสแก้แค้น แต่กับชาวเมืองทรีอาร์ เนื่องจากไม่สามารถแก้แค้นได้ จึงเปลี่ยนไปมองหา ‘เหยื่อ’ รายใหม่แทน รอดูพวกเขาถูกหลอก เพื่อบรรเทาความเจ็บใจที่ตนเคยถูกกระทำ
“นายหัวดีจริงๆ … เชี่ยวชาญการแกล้งคนยิ่งกว่าชาวทรีอาร์ส่วนใหญ่เสียอีก” สำหรับปาวาร์·นีซองต์ บาร์เทนเดอร์ผู้เกิดและโตในเมืองหลวง คำชมนี้ถือเป็นการยกย่องสูงสุด
จากนั้น เขาผลักแก้วใส่ของเหลวสีเขียวอ่อนมาทางลูเมี่ยน
ลูเมี่ยนรับเหล้าอัปแซ็งต์มาจิบหนึ่งคำเล็ก เพลิดเพลินไปกับรสขมอ่อนๆ ที่กระตุ้นประสาทสัมผัส ซึ่งช่วยให้เขารับรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
เด็กหนุ่มหลับตาดื่มด่ำกับมันอยู่สักพัก แล้วจึงกล่าว
“ฉันมีเพื่อนอยู่สองสามคนที่เดินทางมาถึงทรีอาร์ก่อน แต่ไม่มีช่องทางติดต่อเลย พอจะมีวิธีตามหาบ้างไหม?”
ปาวาร์·นีซองต์ตอบขณะเช็ดแก้วเหล้า
“ถ้ามีเงินเยอะก็ลงโฆษณากับ ‘ทรีอาร์รายวัน’ ถ้ามีเงินไม่มากก็เจรจากับนักล่ารางวัลหรือคนค้าข่าว ดูว่าพวกเขาอยากรับงานไหม ถ้าไม่มีเงินเลยก็กลับไปนอน เผื่อว่าสักวันจะบังเอิญเดินสวนกับเพื่อนบนถนน”
“มีใครแนะนำบ้างไหม? พวกนักล่ารางวัลหรือนักค้าข่าวที่น่าเชื่อถือน่ะ” แม้ตอนนี้ลูเมี่ยนจะไม่ขัดสนเรื่องเงิน ซ้ำยังอาจได้รับ ‘บริจาค’ จากคนใจบุญเพิ่มเติมในอนาคต แต่การลงโฆษณากับหนังสือพิมพ์หัวใหญ่ยังถือว่าเกินเอื้อมไปสักหน่อย นั่นต้องใช้เงินอย่างน้อยสามพันเฟลคิน — อาจจ่ายไหวกับหนังสือพิมพ์หัวเล็กที่คนอ่านน้อย แต่ก็แทบไม่เกิดประโยชน์
เหนือสิ่งอื่นใด หลวงพ่อกิโยม·เบเนต์กับคุณนายปัวริสก็มิใช่คนไม่อ่านหนังสือพิมพ์ การลงโฆษณาอาจทำให้พวกนั้นไหวตัวทัน
ปาวาร์ผงกหัวแล้วพูด
“อ็องโตนี·รีด พักอยู่ชั้นสาม ห้องหมายเลขห้า พรุ่งนี้ลองแวะไปหาเขาดู”
“เขาเป็นทหารผ่านศึก ภายหลังผันตัวมาเป็นนักค้าข่าว เชื่อถือได้อยู่”
ลูเมี่ยนท่องหมายเลขห้องกับชื่อ ยกแก้วอัปแซ็งต์ขึ้นมาส่ายเบาๆ เพื่อแสดงความขอบคุณต่อบาร์เทนเดอร์
…………
กลับมาถึงห้อง 207 ลูเมี่ยนไม่ปล่อยให้ตัวเองได้พัก
หลังจากรูดผ้าม่านโทรมๆ ปิดมิดชิด ลูเมี่ยนก็เริ่มเต้น ‘ระบำเรียกสถิต’ ในสภาพแวดล้อมอันคับแคบ
เขาทำเช่นนี้เพื่อดูว่าในละแวกโรงแรมระกาทอง ถนนอลเวง จะสามารถอัญเชิญสิ่งมีชีวิตพิสดารมาได้มากน้อยเพียงใด เพื่อเตรียมความพร้อมในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ถูกจู่โจม การไล่ล่า หรือเตรียมตัวก่อนลงมือจู่โจม
อ้างอิงจากคำพูดออสตา เขตตลาดคนซื่อไม่มีสถานที่อันตรายอย่างเฉพาะเจาะจง ยกเว้นอาคารที่ถูกเผาจนผนังไหม้ ซึ่งที่นั่นอยู่ไกลจากถนนอลเวงมาก ไม่น่าจะได้รับอิทธิพลจาก ‘นักเต้น’ ผู้เทียบเท่าเพียงลำดับ 9 เท่านั้น
ที่นี่มิใช่ซากปรักหักพังของหมู่บ้านกอร์ตู ไม่ได้มีพลังแห่งชะตากรรมแพร่ซึมอยู่ทั่วทุกอณู
เมื่อตัดปัจจัยที่อันตรายที่สุดทิ้ง และกรองส่วนที่นักเต้นไม่มีปัญญาจะอัญเชิญออกไป ลูเมี่ยนเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตพิสดารที่จะปรากฏในไม่ช้า ถึงจะแข็งแกร่งกว่าตน แต่ก็ยึดครองร่างตนได้ไม่ง่าย — สัญลักษณ์สีดำอมเขียวที่แสดงถึงพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ กับลวดลายหนามสีดำที่แทนชะตากรรม เพียงพอแล้วที่จะข่มขู่มิให้พวกมันกล้าเหิมเกริม
ท่ามกลางการเต้นรำอันบ้าคลั่งและบิดเบี้ยว ลูเมี่ยนผสานพลังวิญญาณเข้ากับพลังธรรมชาติที่ถูกกระตุ้น แล้วแผ่ไปรอบๆ อย่างแฝงเร้น
ผ่านไปสักพัก เด็กหนุ่มสัมผัสถึงสายตาที่จ้องมองมา แลเห็นร่างที่บ้างก็โปร่งใส บ้างก็พร่ามัว ปรากฏตัวอยู่รอบห้อง
บางร่างดูคล้ายคลึงมนุษย์ อาจจิตหมกมุ่นที่คงเหลือหลังความตาย บางร่างมีรูปทรงแปลกประหลาด เช่นขวด หรือก้อนเนื้อซ้อนทับกัน ซึ่งน่าจะมาจากโลกวิญญาณในละแวกนี้
ลูเมี่ยนไม่รู้จักสิ่งใดเลย มิอาจแยกแยะคุณสมบัติหรือความสามารถ
ทันใดนั้น เงาหนึ่งโผล่ออกมาจากหลังผ้าม่านโทรมๆ
ค่อนข้างโปร่งใส รูปลักษณ์คล้ายสตรี ผมยาวสีเขียวอ่อนผสมผสานกับใบไม้สีเขียว พันรอบร่างกายปกปิดส่วนสำคัญได้มิดชิด เผยให้เห็นผิวพรรณขาวเนียนสะอาดใสในส่วนอื่น ใครได้เห็นเป็นต้องใจสั่นฟุ้งซ่าน
นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้า ปากแดงอมชมพู ใบหน้าสะสวยมีเสน่ห์ เพียงแค่ส่งสายตามองลูเมี่ยน ก็ทำให้เด็กหนุ่มตื่นเต้นอย่างไม่อาจอธิบาย
……………………………………………………..