ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 115 ตำนาน
ตอนที่ 115 ตำนาน
ทางเข้าหลักของสุสานใต้ดิน ตั้งอยู่บนจัตุรัสแดนชำระ ใกล้กับหอดูดาวอินทิส
ทางลงสุสานมีอาคารถูกสร้างครอบทับไว้ ค้ำจุนด้วยเสาหลายต้น ด้านบนสุดเป็นโดมที่ประกอบจากหินสลักและภาพนูนต่ำ ดูคล้ายกับหอรำลึกขนาดย่อม คล้ายกับส่วนบนดินของอนุสาวรีย์บรรจุศพ
เมื่อลูเมี่ยนมาถึง มีคนราวๆ ยี่สิบสามสิบชีวิตยืนอออยู่ตรงบันไดทางลง แต่งกายคละกันไป แต่ส่วนใหญ่ใส่ชุดสุภาพ มีทั้งชายและหญิง
ชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบ ผู้ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของคนกลุ่มนี้ สวมเสื้อกั๊กสีน้ำเงิน กางเกงขายาวสีเหลือง ผมสีน้ำตาลเป็นลอนเล็กน้อย หนวดเคราดกหนา มีตีนกาเล็กๆ ตรงหางตา ถือโคมไฟคาร์ไบด์สีดำที่ยังไม่ได้จุด
เขาพูดกับกลุ่มคนราวๆ ยี่สิบสามสิบด้วยเสียงกังวาน
“ผมชื่อเคนดัลล์นะครับ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลสุสานใต้ดิน วันนี้ผมจะพาพวกคุณไปชมสถานที่เก็บกระดูก”
“ทุกคนเตรียมเทียนสีขาวไว้หรือยังครับ? ถ้าไม่มีให้รีบบอกผม”
นักท่องเที่ยว? ลูเมี่ยนมองผ่านไปถึงบันไดหินด้านหลังเคนดัลล์
บันไดทอดยาวลงไป หายเข้าไปในความมืดลึกอันไร้ก้นบึ้ง
ไม่ไกลจากเคนดัลล์มีประตูบานใหญ่ที่ดูหนัก ถูกเปิดค้างไว้ บานประตูทำจากแผ่นไม้หนาๆ ที่ประกอบเข้าด้วยกัน ครึ่งหนึ่งถูกทาสีทอง ติดตราศักดิ์สิทธิ์สุริยัน อีกครึ่งหนึ่งติดตราศักดิ์สิทธิ์รูปไอน้ำ คันโยก และล้อเฟือง อัดแน่นภายในกรอบสามเหลี่ยมที่เส้นขอบหนา
หลังได้รับสัญญาณจากทุกคนว่าพร้อมแล้ว เคนดัลล์จุดโคมไฟคาร์ไบด์แล้วเดินนำลงใต้ดิน ตามไปด้วยนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ โดยบางคนก็ถือโคมไฟ
ลูเมี่ยนเดินตามหลังพวกเขาไปโดยทิ้งห่างราวๆ สี่ห้าเมตร ถือโคมไฟคาร์ไบด์ที่ได้มาจากรามายย์ เดินลงบันไดหินด้วยจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว
อาศัยโสตประสาทที่ถูกยกระดับ ไม่ยากเย็นอะไรที่เขาจะได้ยินเสียงอธิบายของ ‘ผู้ดูแลสุสาน’ เคนดัลล์ที่อยู่ด้านหน้าได้อย่างชัดเจน
“หลังจากเดินลงบันได 138 ขั้น บนพื้นระนาบที่ต่ำกว่าถนนของกรุงทรีอาร์ยี่สิบหกเมตร พวกคุณจะได้เห็นกระดูกของชาวทรีอาร์ตลอดห้าสิบรุ่นที่ผ่านมา”
“อันที่จริง นั่นเป็นคำกล่าวที่ถ่อมตัวเกินไปมาก สุสานใต้ดินมีกระดูกของชาวทรีอาร์ถูกเก็บไว้มากกว่าห้าสิบรุ่น บางส่วนของสุสานสามารถสืบย้อนไปยังประวัติศาสตร์ยุคก่อน”
“ราวๆ สี่สิบเจ็ดปีที่แล้ว เมื่อสุสานรวมของคนไร้บาปและสุสานรวมของนักบวช ไม่มีเหลือที่ว่างสำหรับฝังศพคนตายอีกต่อไป กระดูกสีขาวๆ ได้ถูกทิ้งเรี่ยราดเกลื่อนกลาด ส่งกลิ่นเหม็นหนักข้อจนชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงต้องออกมาประท้วงทุกวัน เพื่อเรียกร้องให้เทศบาลย้ายสุสานออกไปนอกเมือง…”
“ลงเอยด้วย ทางเทศบาลเลือกจะใช้ประโยชน์จากพื้นที่ใต้ดิน พวกเขาเชื่อมสุสานจากยุคสมัยที่สี่เข้ากับเหมืองหินต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียง จนเกิดเป็นสุสานใต้ดินขนาดมหึมา… ที่พวกคุณได้เที่ยวชมวันนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น…”
เสียงของเคนดัลล์ดังกังวานไปตามบันไดเงียบๆ มืดๆ ที่มองไม่เห็นปลายทาง สลักความหวาดกลัวที่มีต่อสุสานและโลกใต้ดินลงในใจเหล่านักท่องเที่ยว
ลูเมี่ยนบรรจงย่ำลงไปทีละขั้น จนในที่สุดก็เห็นถนนที่ถูกคั่นด้วยเสาหินและกำแพง
แตกต่างจากใต้ดินในบริเวณอื่น ถนนเส้นนี้ถูกซ่อมแซมเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีร่องรอยของหลุมบ่อ ทั้งเรียบและกว้าง เพียงแต่ดูน่ากลัว มีลมเย็นพัดผ่านเป็นระยะ
ริมถนนติดตั้งโคมไฟแก๊สโดยเว้นระยะห่างพอประมาณ คอยส่องแสงสีเหลืองอ่อน ทำให้ถนนสว่างสลับมืดไปตลอดทาง
เคนดัลล์ที่สวมเสื้อกั๊กสีน้ำเงิน ตักเตือนกลุ่มนักท่องเที่ยวอีกครั้ง
“ทุกคนเดินชิดกับผมไว้นะครับ! ห้ามแยกไปคนเดียวเด็ดขาด!”
“โลกใต้ดินยังมีเรื่องที่พวกเราไม่เข้าใจอีกมาก หากเผลอคลาดกัน เกรงว่าคงยากที่จะกลับมารวมกลุ่มกันใหม่”
“เมื่อเข้าไปในสุสานแล้วนะครับ ห้ามเดินเตร็ดเตร่โดยเด็ดขาด ถนนบางเส้นอาจนำไปส่วนลึกของสู่สุสาน ซึ่งในนั้นมีวิญญาณมารจากยุคสมัยที่สี่หลับใหลอยู่… สุริยันจงเจริญ แสงสว่างจงเจริญ… มีเพียงการเดินไปตามเส้นทางที่บาทหลวงรับประกันว่าปลอดภัยเท่านั้น จึงจะหลีกเลี่ยงอันตรายได้ทั้งหมด”
บางคนในกลุ่มนักท่องเที่ยวกางแขนเพื่อสรรเสริญพระอาทิตย์ บางคนก็วาดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมบนหน้าอก
หลังจากเดินตามผู้ดูแลสุสานเคนดัลล์ไปได้ราวๆ สองร้อยเมตร ลูเมี่ยนก็เริ่มเห็นสุสานใต้ดิน
หน้าทางเข้าสุสานมีประตูหินบานใหญ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ภายหลังถูกดัดแปลงให้เหมาะสม สองฝั่งของบานประตูประดับด้วยภาพนูนต่ำอันวิจิตรงดงาม มีทั้งรูปกะโหลกศีรษะ กระดูกแขนสีขาว ดอกทานตะวัน และสัญลักษณ์ของไอน้ำ
บนทับหลังเหนือประตูมีข้อความภาษาอินทิสสลักไว้สองประโยค
“หยุด!”
“เบื้องหน้าคือจักรวรรดิแห่งความตาย!”
ผู้ดูแลสุสานเคนดัลล์หันกลับมาอีกครั้ง แล้วพูดกับกลุ่มนักท่องเที่ยว
“ตอนนี้ขอให้ดับโคมไฟแล้วจุดเทียนสีขาวแทนนะครับ! ทุกคนต้องทำนะครับ!”
“ถ้าไม่อยากเข้าไปในสุสาน จะเดินเล่นแถวนี้ก็ได้ครับ แต่ห้ามออกไปไหนไกล ไม่อย่างนั้นอาจคลาดกันจนเกิดปัญหาเข้า”
“หลังจากเข้าไปในสุสานแล้ว ถ้าเผลอเดินหลงกับกลุ่ม ไม่ต้องตื่นตระหนกนะครับ ให้พยายามมองหาป้ายบอกทาง ถ้าไม่พบป้ายบอกทางให้เงยหน้าขึ้น มองไปตามเส้นสีดำด้านบนสุสาน มันจะช่วยพาท่านกลับมายังทางออกครับ…”
ไม่นานหลังจากนั้น แสงโคมไฟก็ดับไปจนหมด แทนที่ด้วยแสงเทียนสีส้มที่ทยอยผุดจากความมืดทีละดวง
นักท่องเที่ยวชูเทียนสีขาวขึ้นพร้อมกัน แล้วตามเคนดัลล์เข้าไปในสุสานใต้ดิน
ลูเมี่ยนมองจากไกลๆ เห็นภาพนี้คล้ายกับลำธารที่ประกอบจากดวงแสงสีเหลืองอ่อน ประหนึ่งสายวารีที่เคลื่อนคล้อยเข้าไปในส่วนลึกของความมืด
เด็กหนุ่มมิได้ตามเข้าไป เพียงถือโคมไฟคาร์ไบด์เดินอ้อมประตูทางเข้าสุสาน เพื่อมองหาจอมเวทกำมะลอ ออสตา·ทรูเอล
ไม่กี่นาทีถัดมา ลูเมี่ยนเห็นกองไฟ
กองไฟลุกไหม้อยู่ข้างเสาต้นหนึ่ง เหนือกำแพงใกล้กันเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำเปียก
ชายคนหนึ่งกำลังนั่งบนหินใหญ่ด้านหลังกองไฟ สวมชุดคลุมสีดำมีฮู้ด ดั้งจมูกโด่ง ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม หนวดเคราสีป่านปกคลุมรอบปาก ดวงตาเพ่งมองลีลาเปลวไฟที่กระดิกไหว
ลูเมี่ยนเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับถามตรงๆ
“คุณคือออสตา·ทรูเอลใช่ไหม”
ชายคนดังกล่าวเงยหน้ามองลูเมี่ยน แล้วจงใจเค้นเสียงพูดให้ทุ้มต่ำ จนฟังดูค่อนข้างน่าหลงใหล
“วิญญาณหลงทางเอ๋ย… เจ้ามาหาข้าด้วยเหตุอันใด”
ใบหน้าของออสตา·ทรูเอลเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด ทำให้ยากแก่การกะเกณฑ์อายุแท้จริง เป็นได้ทั้งเกือบๆ สามสิบหรือสี่สิบกว่าไปแล้ว
ลูเมี่ยนกล่าวด้วยใบหน้า ‘จริงใจ’
“ผู้คนเอาแต่พูดถึงคุณ บอกว่าคุณคือจอมเวทมหัศจรรย์ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้”
ออสตา·ทรูเอลกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอันน่าหลงใหล
“ไสยเวทคือสิ่งต้องห้าม คือคำสาป ข้าจะไม่ช่วยเหลือใครโดยไม่คำนึงถึงเหตุผล”
“ผมต้องทำอะไรบ้าง?” ลูเมี่ยนถามอย่างร้อนรน
ออสตากล่าวเสียงต่ำ
“หัวใจของไสยเวทคือ ‘การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม’ อันดับแรก เจ้าต้องเล่ามาก่อนว่าอยากได้รับความช่วยเหลือแบบใด”
การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม… อ่านนิยายมากไปไหม? ลูเมี่ยนข่มความรู้สึกอยากยั่วยุหรือเหยียดหยัน เพียงเปลี่ยนสีหน้าเป็นรันทดเจ็บปวด
“ฉันเพิ่งสูญเสียครอบครัวไป… รู้สึกเหมือนถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง กลางคืนไม่เคยได้หลับสนิท ฉันอยากลืมสิ่งเหล่านี้เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่”
ออสตา·ทรูเอลเฝ้าสังเกตสีหน้าแววตาของลูเมี่ยน และไม่พบการเสแสร้งแม้แต่น้อย
เขาพยักหน้ารับเบาๆ
“ข้าก็สูญเสียไปมากมายเช่นกัน มันคือคำสาปของผู้ใช้ไสยเวท ข้าเข้าใจความรู้สึกและความปรารถนาของเจ้าเป็นอย่างดีเลยล่ะ”
“เพียงแต่ว่า… การลืมความเจ็บปวดมันไม่ง่าย”
“งั้นหรือ…” ลูเมี่ยนถอนหายใจยาว บิดร่างกายหมุนกลับ เตรียมจะเดินจากไป
ออสตารีบเรียกรั้งไว้
“ช้าก่อน… เพียงเพราะมันยาก มิใช่จะไร้หนทาง”
“จริงหรือ?” ลูเมี่ยนรีบหันขวับกลับหลัง ใบหน้าฉาบล้นไปด้วยความหวัง
ออสตาพยักหน้าเบาๆ
“เจ้าเคยได้ยินตำนานของ ‘บ่อน้ำสตรีซามาเรีย’ หรือไม่”
“ไม่เคย” ลูเมี่ยนส่ายหน้า
ออสตา·เหลือบมองกองไฟที่กำลังลุกโชน แล้วอธิบายอย่างรวบรัด
“ในสุสานใต้ดินที่เก็บกระดูกจะมีบ่อน้ำขุ่นๆ อยู่หนึ่งแห่ง ชื่อของมันคือบ่อน้ำสตรีซามาเรีย หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘บ่อน้ำแห่งการลืมเลือน’ หรือ ‘บ่อน้ำแห่งการลืม’ หากได้ดื่มน้ำในบ่อ เจ้าจะลืมทุกความเจ็บปวดได้อย่างหมดจด”
“แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องลวงโลก… บ่อน้ำนั่นเพียงเกิดจากความผิดพลาดในกระบวนการก่อสร้างสุสาน แล้วถูกพวกผู้ดูแลนำแต่งให้เป็นตำนาน”
เมื่อเห็นแววตาของลูเมี่ยนเปลี่ยนจากสว่างสดใสเป็นดำมืด ออสตา·ทรูเอลกล่าวต่อ
“แต่ในฐานะจอมเวท ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่า ในส่วนลึกของโลกสุสานใต้ดินแห่งนี้มีบ่อน้ำสตรีซามาเรียของจริงอยู่ กล่าวกันว่าเป็นมรดกตกทอดจากยุคสมัยที่สี่”
“ฝูงศพมากมายร้องรำทำเพลง เนื้อเพลงร้องว่า ‘ดื่มน้ำแห่งความสุขเพื่อลืมความเจ็บปวดแรกเริ่ม’”
“ข้าช่วยไปเอามาให้เจ้าได้ แต่กฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมมิอาจถูกละเมิด เจ้าต้องจ่ายเงินให้ข้าหนึ่งร้อยเฟลคิน”
หนึ่งร้อยเฟลคิน? มักน้อยไปหน่อยไหม? ภารกิจค้นหาและรวบรวมสิ่งของในตำนาน มันจะดูน่าเชื่อถือได้ยังไงถ้าไม่คิดราคาหลักพันเฟลคินเป็นอย่างน้อย? ทีแรกลูเมี่ยนก็ตั้งใจฟัง แต่ความผิดเพี้ยนของราคาทำให้เขานึกขบขัน
น้ำจากบ่อในตำนาน มีมูลค่าน้อยกว่าค่าแรงสองเดือนของเด็กเสิร์ฟฝึกหัดอีกหรือ?
เด็กหนุ่มเคยอ่านเจอตำนานบ่อน้ำสตรีซามาเรียจากนิตยสาร ‘สื่อวิญญาณ’ ตอนนั้นโอลัวร์พึมพำบางคำที่เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ ออกเสียงทำนองว่า ‘เมิ่งปั่ว’
กองบรรณาธิการของนิตยสาร ‘สื่อวิญญาณ’ ก็เชื่อเช่นกัน ว่าตำนานบ่อน้ำสตรีซามาเรียในกรุงทรีอาร์เป็นของปลอมที่ถูกผู้ดูแลสุสานกุขึ้นมา เพียงแต่ตำนานนี้อาจมิได้เพ้อเจ้อเสียทีเดียว บางแห่งบนทวีปเหนืออาจมี ‘บ่อน้ำแห่งการลืมเลือน’ อยู่จริง
ลูเมี่ยนทำตาโตทันที รีบปรี่เข้าไปข้างๆ ออสตาเพื่อจับไหล่ พลางพูดไปว่า
“เป็นความจริงหรือ?”
ออสตาปัดมือเด็กหนุ่มออก พลางผงกหัวอย่างใจเย็น
“นี่คือคำมั่นสัญญาของจอมเวท”
“ดี! ดีมาก!” ลูเมี่ยนตอบอย่างตื่นเต้น “แต่วันนี้ผมพกเงินติดตัวมาไม่เยอะ… ขอกลับไปเอาแล้วพรุ่งนี้มาหาใหม่ได้ไหม?”
ออสตาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ไม่มีปัญหา”
ลูเมี่ยนขอบคุณเสียยกใหญ่ หยิบโคมไฟคาร์ไบด์ขึ้นมา แล้วเดินออกไปด้วยภาษากายของคนตื่นเต้น
เมื่อพ้นจากสายตาออสตา เด็กหนุ่มคลายยิ้มที่กลั้นไว้ ยกมือขวาขึ้นมาดมกลิ่นน้ำหอมจางๆ
ก่อนจะมาถึงเขตหอดูดาว เขาฉีดน้ำหอมราคาถูกลงบนมือขวา การจับไหล่ออสตาเมื่อสักครู่เกิดจากความจงใจ
เมื่อกลับมาถึงผิวดิน ลูเมี่ยนนั่งแอบอยู่หลังต้นเสา ซ่อนกายมิดชิด รอคอยตะครุบเหยื่ออย่างใจเย็น
ท้องฟ้ามืดลงไปทุกที จนกระทั่งดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้า เด็กหนุ่มเริ่มได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่ตนคุ้นเคย
ลูเมี่ยนไม่รีบร้อนไล่ตามไป รอให้ผ่านไปสักครู่หนึ่งก่อน จึงค่อยเดินออกจากจุดซ่อนตัว สะกดรอยตามกลิ่นบางๆ ที่ออสตาทิ้งไว้ รักษาระยะห่างไกลลิบๆ จนแทบจะไม่เห็นหลังของอีกฝ่าย
รถม้าหลายคันผ่านไปผ่านมารอบกายเด็กหนุ่ม บางครั้งก็มีสิ่งประดิษฐ์ติดเครื่องยนต์กลไกสุดอลังการแล่นผ่านไป
……………………………………………………..