ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 114 ประสบการณ์ชีวิต
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 114 ประสบการณ์ชีวิต
ตอนที่ 114 ประสบการณ์ชีวิต
ในตอนเช้าตรู่ของเดือนพฤษภาคม เวลาหกโมง ท้องฟ้ายังไม่สว่าง ดวงจันทร์สีแดงใกล้เลือนลับ ดวงดาวบนท้องฟ้ายังคงสาดแสง ปัดเป่าความมืดให้เซาซา เผยให้เห็นเค้าโครงของวัตถุรอบตัว
ลูเมี่ยนตื่นแต่เช้า ล้างหน้าแปรงฟันพอเป็นพิธี สวมชุดที่ดูเป็นทางการตัวเดียวกับเมื่อวาน สวมหมวกปีกกว้าง มองตัวเองสะท้อนกระจกหน้าต่างที่ถูกใช้แทนกระจกเงา
ขณะเดินลงบันไดอย่างเนิบนาบ เสียงฝีเท้าเร็วๆ ดังมาจากด้านบน
ไม่นานนัก ร่างของชาร์ลีก็เข้ามาอยู่ในสายตาของลูเมี่ยน
อีกฝ่ายยังคงสวมเสื้อเชิ้ตลินิน กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าหนังไร้สายผูก แต่ใบหน้าแดงระเรื่อจากเมื่อคืนดูซีดเซียวลงไปบ้าง นัยน์ตาสีน้ำเงินเล็กๆ สะท้อนความเหนื่อยล้าที่ปกปิดไม่มิด
“สวัสดีตอนเช้า ชาร์ล” เมื่อเห็นลูเมี่ยน ชาร์ลีก็ทักทายอย่างมีพลัง
เขาดูตื่นตัวเป็นอย่างมาก
“ไม่ใช่ว่านายควรออกไปนานแล้วหรือไง” ลูเมี่ยนถามยิ้มๆ
เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันเมื่อได้ยินเสียงระฆังวิหารตีบอกเวลาหกโมง และชาร์ลีควรจะออกไปตั้งแต่หกโมง
ขณะก้มหน้าจัดแต่งเสื้อผ้า ชาร์ลีก็พึมพำ
“เมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย แถมยังฝันดี เลยไม่อยากตื่นน่ะ…”
ขณะพูดคุยกัน ทั้งสองก็ลงมาถึงชั้นล่าง ผ่านโถงใหญ่มืดๆ ที่สกปรก เตรียมเดินไปยังประตูใหญ่ที่สะท้อนแสงวิบวับ
บุคคลที่เปิดประตูคือคู่สามีภรรยาสูงวัย ผมขาวซีด หลังค่อมเล็กน้อย อายุประมาณหกสิบ
พวกเขาต่างก็ตัวเล็ก ฝ่ายชายสูงไม่ถึงหนึ่งเมตรหกสิบห้า ฝ่ายหญิงสูงไม่ถึงหนึ่งเมตรหกสิบ ไม่ว่าจะเป็นแจ็กเกตสีเข้มหรือกระโปรงผ้าสีเหลืองเก่าๆ ก็ล้วนดูเยินและเปื้อนคราบมัน
“พวกเขาคือ?” ลูเมี่ยนเดิมคิดว่าผู้เปิดประตูในตอนเช้าจะเป็นคุณนายเฟลส์หรือมิสเตอร์เอฟฟ์ เจ้าของโรงแรมขี้ตืด
ชาร์ลีมิได้ชะลอฝีเท้า เพียงอธิบายไปด้วยว่า
“มิสเตอร์รูเอลกับนางมิเชลน่ะ คู่สามีภรรยาพ่อค้าแม่ค้าที่ฉันเล่าให้ฟังเมื่อวาน ที่หลอกขายของให้นักท่องเที่ยวไง”
“รู้อะไรไหม ตั้งแต่ฉันย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่เคยเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยสักครั้ง ตั้งเจ็ดเดือนแล้วนะ เจ็ดเดือน!”
ถึงว่าสกปรกนัก… ลูเมี่ยนยังจดจำสภาพมอมแมมสมัยที่ตนเป็นเด็กเร่ร่อนได้ แต่นิสัยรักความสะอาดที่ถูกโอลัวร์ปลูกฝัง ทำให้ต้องขมวดคิ้วอย่างมิอาจหักห้ามใจ
ชาร์ลีเดินเร็วๆ ออกจากประตูโรงแรมระกาทอง พลางถามด้วยความสงสัย
“ชาร์ล ทำไมถึงตื่นเช้านักล่ะ?”
เมื่อทั้งคู่ออกมาถึงถนน ทัศนียภาพอันคึกคักก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
คนงาน ลูกจ้าง และกรรมกรคนแล้วคนเล่าในเครื่องแต่งกายสีเทา น้ำเงิน ดำ หรือน้ำตาล เร่งฝีเท้าเดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็แวะซื้ออาหารจากแผงค้าริมถนน
สตรีบางคนเดินถือตะกร้า ท่าทีดูไม่เร่งรีบนัก เพียงสอดส่องตามแผงต่างๆ พลางเปรียบเทียบราคาและคุณภาพ
แผงขายของเหล่านี้กระจายอยู่ริมสองฝั่งถนนอลเวง กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งของถนน เหลือไว้เพียงให้รถม้าผ่านได้เท่านั้น
แต่ละคนแหกปากโหวกเหวกเสียงดัง พยายามดึงดูดลูกค้ากันสุดชีวิต
“เปรี้ยวๆ! ไวน์แอปเปิลเปรี้ยวๆ ลิตรละสองริกต์!”
“ปลาน้ำจืดจากบ่อปลาบอนดี!”
“ปลาคอดและปลาแฮริ่งสดใหม่ มาดูกันเร็ว!”
“ขนมปังหัวหอม หนึ่งริกต์ เพียงหนึ่งริกต์เท่านั้น!”
“หมูเค็ม หมูเค็มอร่อยๆ!”
“สบู่และวิกนำเข้าจากโลเอ็น!”
“น้ำอัดลม ซื้อน้ำอัดลมให้เด็กๆ สักขวดไหม!”
“ซอสเผ็ด ถั่วบด หัวหอมแดง ขึ้นฉ่าย!”
“…”
ฟังเสียงที่จ้อกแจ้กจอแจ ลูเมี่ยนสัมผัสถึง ‘ชีวิตชีวา’ บนถนนอลเวงในตอนเช้า พลางหันไปยิ้มกับชาร์ลี
“ฉันเพิ่งมาถึงทรีอาร์น่ะ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ เลยออกมาเดินดูๆ เผื่อว่าจะหางานที่เหมาะสมได้”
ในฐานะ ‘นักล่า’ การทำความคุ้นเคยกับถิ่นของตน เรียนรู้สภาพแวดล้อมให้ถ่องแท้ เป็นสิ่งที่พึงกระทำโดยเร็ว
ถ้ารอให้เกิดเรื่องขึ้นก่อนแล้วค่อยทำ เกรงว่าคงไม่ทันการ
ชาร์ลีพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
แล้วจึงพูดอย่างกระตือรือร้น
“ลองไปเสี่ยงโชคที่ถนนเสื้อนอกขาวดูสิ ตั้งอยู่ระหว่างตลาดคนซื่อกับสถานีรถไฟไอน้ำ”
“พวกผู้จัดการโรงแรม โรงแรมหรู รวมถึงร้านอาหาร ชอบไปนั่งคุยกันในร้านกาแฟแถวนั้น พลางมองหาคนล้างจาน คนถูพื้น คนดูแลห้องน้ำ และพนักงานเสิร์ฟฝึกหัด”
“ถ้านายพอจะมีเงินติดตัวอยู่บ้าง อย่าลืมเลี้ยงเครื่องดื่มเด็กเสิร์ฟร้านกาแฟล่ะ คนพวกนี้จะแนะนำนายให้กับนายจ้างที่เหมาะสม เพิ่มโอกาสได้งานดีๆ”
ชาร์ลีไม่รอให้ลูเมี่ยนตอบ เริ่มแนะนำจากประสบการณ์ส่วนตัว
“ก็แล้วต้องใส่ใจกับการแต่งตัวด้วย เหมือนกับฉันนี่ไง”
ขณะพูด ชาร์ลียกมือสองข้างขึ้นมา และเริ่มตบแก้มตัวเอง แต่ไม่ได้ตบแรงนัก
เพียงครู่เดียว ผิวหน้าที่เคยซีดเซียวของชาร์ลีก็กลับมา ‘แดงระเรื่อ’ อีกครั้ง
“เห็นไหม?” เขาชี้ใบหน้าตัวเองด้วยความภูมิใจ “ดูมีชีวิตชีวาขึ้นใช่ไหมล่ะ? ผู้จัดการพวกนั้นไม่อยากจ้างคนที่ดูยากจนและขี้โรค เพราะมองว่าจะมีปัญหาตามมา หรือไม่ก็ไม่ยอมให้ตำแหน่งดีๆ หรือไม่ก็จ่ายค่าแรงถูก… ทำแบบฉันสิ ทำก่อนเข้าร้านกาแฟ เพื่อให้ดูเหมือนคนกินอิ่มนอนหลับ แต่อย่าด่วนทำเร็วนักล่ะ ไม่งั้นสี ‘แดงระเรื่อ’ จะจางไปก่อน”
เคล็ดลับในการหางานแบบนี้ ถือว่าแปลกใหม่สำหรับลูเมี่ยนที่เคยเป็นเด็กเร่ร่อนมาก่อน เขาพบว่ามันน่าสนใจมาก
ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ
“ฉันยังเหลือเงินพอที่จะเช่าบ้านและกินอิ่มไปอีกสักพัก ตอนนี้ยังไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น… แต่ใครจะไปรู้ ในอนาคตอาจมีโอกาสได้ทำก็ได้”
เขาจงใจไม่ปิดบังเรื่องที่ตนเหลือเฟลคินอยู่พอสมควร
เผื่อจะมีคนใจดีอยาก ‘บริจาค’ เพิ่มให้อีกสักหน่อย
ชาร์ลีทำหน้าเข้าอกเข้าใจ พลางล้วงหยิบเหรียญทองแดงมูลค่าห้าโกเปต์ออกมา เพื่อยื่นซื้อขนมปังหัวหอมจากแผงขายของข้างๆ
ภาพนี้ทำให้ลูเมี่ยนรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันที
ในช่วงที่ยังเร่ร่อน ถ้ามีคนให้ทาน ตัวเลือกแรกของเขาคือขนมปังหัวหอมเสมอ
หนึ่งคือมันถูก สองคือรสชาติหัวหอมจะอยู่ได้นาน ทำให้รู้สึกเหมือนเพิ่งกินเข้าไป
ลูเมี่ยนก็ซื้อขนมปังหัวหอมเป็นมื้อเช้าเช่นกัน แล้วจึงเดินผ่านแผงขายของต่างๆ พร้อมกับชาร์ลี จนกระทั่งพ้นจากถนนอลเวง
“ฉันชอบช่วงเช้าของที่นี่จริงๆ!” ชาร์ลีหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นอันเป็นเครื่องหมายการค้า “อันธพาลที่สมควรตกนรกพวกนั้นไม่มีทางตื่นเช้าขนาดนี้แน่! ไม่สามารถทำลายความมีชีวิตชีวาอันน่าหลงใหลนี้ได้!”
จากนั้น เขาโบกมือให้ลูเมี่ยน
“ขอตัวไปขึ้นรถไฟใต้ดินก่อนนะ ไม่งั้นจะสายเอา ไอ้หัวหน้างานนั่นจ้องจะหักเงินเดือนฉันอยู่!”
หลังจากแยกกับชาร์ลี ลูเมี่ยนเดินวนไปรอบๆ ถนนอลเวง ก้าวไปเรื่อยๆ เหมือนกับนักท่องเที่ยวที่พยายามใช้ฝ่าเท้าวัดพื้น
เขตตลาดคนซื่อตั้งอยู่ทางฝั่งใต้ของแม่น้ำเซอเรนโซ่ ซึ่งถือเป็นโซนตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงทรีอาร์ ยังมีอีกชื่อหนึ่งคือ ‘เขตตลาด’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ ‘เขต 13’ — แต่ละเขตของทรีอาร์จะถูกตั้งชื่อตามตัวเลข แต่ด้วยประวัติศาสตร์และความโดดเด่นเฉพาะถิ่น แทบทุกเขตจึงมีชื่อเรียกรองๆ ที่ได้รับความนิยม บางครั้งแม้แต่ทางการก็ยังเรียกด้วยชื่อเหล่านี้
‘เขตตลาดคนซื่อ’ ก็ถูกตั้งตามตลาดจริงๆ ที่ชื่อ ‘ตลาดคนซื่อ’ ใกล้กันยังมีสถานีรถไฟไอน้ำซูสิตที่ตั้งอยู่ข้างๆ แม่น้ำเซอเรนโซ่ เป็นจุดต้อนรับผู้คนที่เดินทางมาจากทางใต้ของอินทิส
รอบๆ ตลาดและสถานีรถไฟไอน้ำมีถนนหลายเส้น แทบทุกเส้นความปลอดภัยต่ำมาก เต็มไปด้วยถิ่นคนยาก ถือเป็นหนึ่งในสลัมจากหลายๆ แห่งในกรุงทรีอาร์
ทางทิศเหนือของเขตตลาด ฝั่งใต้ของแม่น้ำเซอเรนโซ่คือ ‘เขต 5’ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเก่า ถูกเรียกว่า ‘เขตหอรำลึก’ หรือ ‘เขตมหาวิทยาลัย’ เพราะเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยครูทรีอาร์ วิทยาลัยการขุดเจาะทรีอาร์ และวิทยาลัยศิลปะอินทิส
ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเขตตลาด ฝั่งเหนือของแม่น้ำเซอเรนโซ่คือ ‘เขต 12’ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของชานเมือง ถูกเรียกว่า ‘เขตนอร์ด’ เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก โรงพยาบาลทหาร และโรงพยาบาลใหญ่ๆ อีกหลายแห่ง
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเขตตลาดคือ ‘เขต 6’ หรือ ‘เขตหอดูดาว’ ที่ลูเมี่ยนกำลังจะไป เป็นที่ตั้งของทางลงสู่สุสานใต้ดิน
ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเขตตลาดคือ ‘เขต 14’ ซึ่งมักถูกเรียกว่าเขตสวนพฤกษศาสตร์ ในวันอาทิตย์ที่จะถึง ลูเมี่ยนต้องไปที่เขตดังกล่าว หาร้านกาแฟเมสันเพื่อรับการรักษาจากนักจิตวิทยา เขตนี้ยังมีอีกหนึ่งชื่อเรียกว่า ‘เขตซ็อง-กูว์ล็อต’ (Sans-culottes) เพราะทางใต้ของสวนพฤกษศาสตร์ติดกับโรงงานใหญ่
ลูเมี่ยนใช้เวลาเกือบทั้งเช้าเพื่อเดินชมทุกถนนในเขตตลาดคนซื่อ
เมื่อใกล้เที่ยง เขาย้อนกลับไปยังย่านสถานีรถไฟซูสิตเพื่อกินมื้อกลางวันแบบไม่พิถีพิถันมากนัก จากนั้นก็เตรียมไปยังสุสานใต้ดินใกล้ๆ เพื่อตามหาจอมเวทกำมะลอที่ชื่อออสตา·ทรูเอล
ขณะเดินไป ลูเมี่ยนเห็นคู่สามีภรรยารูเอลกับมิเชล ซึ่งเป็นผู้เช่าของโรงแรมระกาทองเช่นกัน
อีกฝ่ายกำลังถือปึกกระดาษที่คล้ายซองใส่ของ และพยายามขายมันให้กับกลุ่มคนที่น่าจะเป็นนักท่องเที่ยว
พอลูเมี่ยนเข้าไปใกล้ รูเอลผู้เต็มไปด้วยริ้วรอย เจ้าของผมสีหงอกกับเสื้อผ้ายับๆ ก็เดินเข้ามาหาเด็กหนุ่ม กระซิบกระซาบด้วยเสียงแผ่วเบา
“อยากได้รูปสาวงามเชิงวิชาการข้างถนนไหม?”
“สาวงามเชิงวิชาการข้างถนนคืออะไร?” ลูเมี่ยนไม่เก็บซ่อนความสงสัย ไม่เก็บซ่อนท่าทีรังเกียจกลิ่นไม่พึงประสงค์จากมิสเตอร์รูเอล
รูเอลส่ายถุงกระดาษที่บางเหมือนซองจดหมายในมือ พลางอธิบายด้วยเสียงเบาเช่นเดิม
“ในกรุงทรีอาร์น่ะ สาวๆ ที่เป็นนางแบบเปลือยให้พวกจิตรกรจะถูกเรียกว่า ‘สามงามเชิงวิชาการข้างถนน’”
“หลังจากโลกให้กำเนิดกล้องถ่ายรูปและอาชีพช่างภาพ พวกเธอก็ถ่ายภาพ ‘อย่างว่า’ ด้วย… บางภาพถูกขายให้จิตรกรเพื่อใช้อ้างอิงในการวาด บางภาพก็…”
รูเอลยิ้มกรุ้มกริ่มพลางสั่นถุงกระดาษในมืออีกครั้ง
“สี่ริกต์ต่อหนึ่งซอง สองรูป!”
“เจ้าอื่นขายแพงกว่านี้อีกนะ ต่ำๆ สิบริกต์ต้องมี!”
ลูเมี่ยนยิ้ม
“มิสเตอร์รูเอล คุณนายมิเชล นี่คือสินค้าที่พวกคุณขายให้นักท่องเที่ยวสินะ?”
ได้ยินลูเมี่ยนเรียกชื่อพวกตน ทั้งรูเอลและมิเชลพลันหน้าถอดสี
ทั้งสองพยายามหันหลังแล้วเดินหนี แต่ลูเมี่ยนไวกว่า คว้าไหล่รูเอลไว้ได้ทัน
มิเชลที่พยายามแทรกตัวเข้าไปในฝูงชน เมื่อเห็นว่าสามีของตนไม่ได้ตามมาด้วย จึงจำใจต้องย้อนกลับด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ฉันก็เป็นผู้เช่าของโรงแรมระกาทองเหมือนกัน ชื่อชาร์ลน่ะ” ลูเมี่ยนแนะนำตัวเอง
ในที่สุดคู่สามีภรรยาก็เข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายรู้จักพวกตน จึงทำหน้าโล่งใจเล็กๆ พร้อมกับมองลูเมี่ยนด้วยสายตาอ้อนวอน
“มีอะไรให้เราช่วยหรือ มิสเตอร์ชาร์ล?”
“พวกคุณขายรูปอะไรกันแน่” ลูเมี่ยนถามเข้าประเด็น
รูเอลตอบด้วยท่าทีเกร็งๆ
“ภาพถ่ายวิวแม่น้ำเซอเรนโซ่ และภาพของพระราชวังต่างๆ ในกรุงทรีอาร์”
“ไม่มีใครเอาเรื่องพวกคุณบ้างหรือ?” ลูเมี่ยนถามยิ้มๆ
รูเอลกลืนน้ำลายก่อนจะตอบ
“คนซื้อไม่กล้าแกะดูทันที และไม่มีใครมาโวยวายกับเราทีหลังด้วย… พวกเขาคงจะอาย”
“และตำรวจก็คงไม่มาจับคนขายภาพวิวทิวทัศน์…” ลูเมี่ยนพยักหน้ารับ “แล้วมีใครที่ขายรูปสาวงามเชิงวิชาการข้างถนนจริงๆ บ้างไหม?”
“มีสิ” รูเอลตอบอย่างมั่นใจ “เมื่อเดือนก่อน ตำรวจจับช่างภาพกับพ่อค้าภาพพิมพ์กลุ่มหนึ่ง เห็นว่ายึดรูปถ่ายได้เป็นหมื่นใบ… ถ้าแบ่งมาให้เราบ้างก็ดีสิ ได้รวยไม่รู้เรื่องแน่!”
นางมิเชลที่ใบหน้ามีริ้วรอย ซ้ำยังหลังค่อม ก็ส่งเสียงพึมพำเช่นกัน
“ที่โรงแรมของเราน่ะ ก่อนหน้านี้ก็มีนางแบบเปลือยเช่าอยู่ แต่พักหลังมานี้หายหน้าไปเลย คงได้เป็นคนรักของศิลปินไปแล้วกระมัง… หรือไม่ก็ถูกจับเพราะไปทำงานเป็นสาวงามเชิงวิชาการข้างถนน…”
ผู้เช่าของโรงแรมระกาทองมีหลากหลายรูปแบบจริงๆ … ลูเมี่ยนถามอย่างสนใจ
“การหลอกขายรูปถ่ายวิวให้คนต่างถิ่น ทำเงินได้สัปดาห์ละเท่าไร?”
“พวกเราขายถูกมากแล้ว… ก็ประมาณสิบเฟลคิน” รูเอลตอบโดยเลี่ยงการสบตา
คงมากกว่าสิบเฟลคินนิดหน่อย แต่ไม่เยอะ… ถ้าตีไปว่าสิบสองเฟลคิน ก็จะเท่ากับ 1,200 โกเปต์ หรือเท่ากับ 240 ริกต์… แต่ละสัปดาห์มีคนโง่ถูกหลอกถึงหกสิบคนเชียว? ลูเมี่ยนมองไปรอบๆ ลานหน้าสถานี พลางนึกดูแคลนค่าเฉลี่ยสติปัญญาของมนุษย์ที่นี่
รูเอลกับมิเชลต้องแบกรับความเสี่ยงขณะหลอกลวงผู้คน แต่รายได้ต่อเดือนของพวกเขากลับตกอยู่ราวๆ ห้าสิบเฟลคินเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าค่าแรงของเด็กเสิร์ฟฝึกหัดด้วยซ้ำ หรือแม้กระทั่งกรรมกร
แต่หลังจากได้เห็นหลังค่อมโค้ง ร่างกายผอมแห้ง และใบหน้าเต็มไปริ้วรอยของพวกเขา ลูเมี่ยนก็เริ่มเข้าใจสัจธรรมขึ้นมา
มิใช่ว่าพวกเขาไม่อยากทำงานสุจริตที่ได้รับค่าตอบแทนสูงกว่า เพียงแต่ไม่มีใครอยากจะจ้าง
เด็กหนุ่มโบกมืออำลา เดินออกจากย่านสถานีรถไฟซูสิต เดินไปยังเขตหอดูดาวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
……………………………………………………..