ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 112 ชาร์ลี
ตอนที่ 112 ชาร์ลี
มีบาร์เล็กๆ อยู่ใต้ดินของโรงแรมระกาทอง ซึ่งรองรับแขกได้เพียงยี่สิบถึงสามสิบคน
ลูเมี่ยนเพียงเดินเข้าไป ก็เห็นชายคนหนึ่งกระโดดขึ้นโต๊ะกลม ในมือถือเบียร์ หันหน้าเข้าหากลุ่มแขกสี่ห้าคนใกล้ๆ
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ฟังทางนี้! ฟังทางนี้! เมื่อวานซืน ฉันได้ประสบพบเจอเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์มาด้วย!”
อาศัยแสงจากตะเกียงไอน้ำสองสามดวงบนผนัง ลูเมี่ยนพบว่าชายคนนั้นยังอายุไม่มาก เพียงยี่สิบสองยี่สิบสามเท่านั้น ผมสีน้ำตาลอ่อน ไม่มีหนวดเครา ไม่แน่ใจว่าเพราะฤทธิ์เหล้าหรือไม่ แต่ใบหน้าของเขามีสีออกชมพูระเรื่อ
สวมเสื้อลินินกางเกงสีดำ รองเท้าหนังไร้เชือก ส่วนสูงไม่ถือว่าน้อย เกินกว่าหนึ่งเมตรเจ็ด แต่แขนขากลับค่อนข้างสั้น สัดส่วนเหมือนกับคนสูงหนึ่งเมตรหก
ขณะนี้เขากำลังโบกบ่ายแขนสั้นๆ ของตน พลางตะโกนโหวกเหวก
“น่าทึ่งแค่ไหนน่ะหรือ? ฉันจะเล่าให้ฟังเอง มันเปลี่ยนมุมมองความเชื่อของฉันไปเลยล่ะ… ในฐานะผู้ศรัทธาของเทพจักรกลไอน้ำ ฉันพร้อมแล้วที่ย้ายไปนับถือองค์สุริยันเจิดจรัส!”
“ฟังนะ มันน่าอัศจรรย์มากจริงๆ …”
“พวกนายลองจินตนาการตาม ก่อนหน้านี้ฉันต้องหิวโซมาตลอดห้าวันเต็ม ตกงานเพราะถูกผู้จัดการห่วยๆ ไล่ออก ผลาญเงินเก็บไปจนหมดแล้วก็ยังหางานใหม่ไม่ได้…”
“ท้องร้องระงมตลอดห้าวันเต็ม ทำได้แค่นอนกับเตียง อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทุกส่วน จะตายเมื่อไรก็ไม่แปลก… พวกนายเคยรู้ไหม ว่ามนุษย์รู้สึกยังไงเวลาใกล้ตาย? อา… ขอพระองค์อวยพรให้พวกนายไม่มีวันรู้”
“สิ่งที่อยู่ในหัวของฉันตอนนั้น… ฉันจะไม่ยอมตายแบบนี้เด็ดขาด ฉันมาทรีอาร์เพื่อแสวงหาความรุ่งโรจน์ ต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้ว ทันใดนั้น… ฉันเหลือบไปเห็นภาพวาดของนักบุญวีฟบนผนัง”
“ใช่แล้ว ฉันกระเสือกกระสนจนลุกขึ้นได้ รีบคุกเข่าลงกับพื้น สวดวิงวอนขอความช่วยเหลือจากนักบุญวีฟ ตอนนั้นฉันยังเป็นผู้ศรัทธาในเทพจักรกลไอน้ำ แต่คนกำลังจะอดตายมีสิทธิ์เลือกด้วยหรือ? ยังไงชีวิตก็คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว!”
“ฉันสวดวิงวอนไปได้เพียงห้านาที เพื่อนคนหนึ่งก็แวะมาเยี่ยม จนได้รับรู้เรื่องราวอันยากลำบากของฉัน เขาก็มีเงินไม่มากเหมือนกัน แต่เขาช่วยเตือนความจำ บอกว่าฉันเคยเช่าตะเกียงน้ำมันก๊าดมาใช้งานตอนกลางคืน โดยวางมัดจำไว้ในราคาสามสิบห้าโกเปต์… เจ็ดริกต์เต็มๆ!”
“มันบ้าบอมาก ฉันดันลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท จึงรีบไหว้วานให้เพื่อนช่วยนำตะเกียงน้ำมันก๊าดไปคืน แล้วนำเงินมัดจำที่ได้คืนไปซื้อขนมปังกับไวน์ห่วยๆ อีกครึ่งลิตร… ขนมปังทั้งเย็นทั้งเปียก ยังกับโรยสีโป๊วลงไป ไวน์ก็ติดเปรี้ยว รสชาติห่วยบรม แต่นั่นคืออาหารมื้อที่ดีที่สุดในชีวิตฉัน… สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ฉันกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง!”
“แล้ววันนี้ฉันยังได้งานใหม่ ไว้พรุ่งนี้เลิกงาน ฉันจะแวะไปจุดเทียนที่วิหารนักบุญวีฟที่ใกล้ที่สุด!”
นักบุญวีฟคือเทวทูตหญิงที่ถูกเอ่ยถึงในพระคัมภีร์ของสุริยันเจิดจรัส เป็นเทวทูตหญิงเพียงองค์เดียวที่ถูกกล่าวถึง และยังเป็นหนึ่งในเทวทูตอุปถัมภ์แห่งกรุงทรีอาร์ — อีกสององค์สังกัดศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำ ถือเป็นบุคคลสำคัญอย่างมากในประวัติศาสตร์อินทิส
ลูเมี่ยนมองดูดวงตาสีน้ำเงินของผู้ชายคนนั้นวาววับขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น พลางเดินไปทางเคาน์เตอร์บาร์
บาร์เทนเดอร์ที่กำลังเช็ดแก้วด้วยผ้ากำมะหยี่เงยหน้าขึ้น ชำเลืองมอง ‘ผู้พูด’ ที่กำลังยืนบนโต๊ะกลม แล้วกล่าวยิ้มๆ
“ชาร์ลีผู้ไม่เคยเงียบ ช่างจ้อไม่เป็นสองรองใคร”
บาร์เทนเดอร์อายุราวๆ สามสิบ รอบปากมีหนวดสีเข้ม แต่มิได้รกครึ้ม ผมสีเดียวกันถูกมัดหางม้าไว้ด้านหลัง มอบบรรยากาศคล้ายศิลปิน
ลูเมี่ยนนั่งลงบนเก้าอี้สูง ถามยิ้มๆ
“เรื่องที่เขาเล่ามา จริงหรือเท็จ?”
“ใครจะรู้ล่ะ?” บาร์เทนเดอร์ยักไหล่ “คงเคยได้สินคำพังเพยนี้สินะ: ยอมเชื่อใจงู ดีกว่าเชื่อใจชาวรีมู… ชาร์ลีมาจากรีมู”
แคว้นรีมูกับแคว้นไรสตันตั้งอยู่ทางใต้ของอินทิส สำเนียงคล้ายคลึงกัน แต่รีมูจะใกล้กับลุนเบิร์กมากกว่า เป็นแคว้นที่เต็มไปด้วยภูเขา
ลูเมี่ยนพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“คำพังเพยนี้ยังไม่จบกระมัง ฉันสังหรณ์ใจว่ามันมีต่อนะ”
บาร์เทนเดอร์กล่าวด้วยแววตาเจือรอยยิ้ม
“สังหรณ์ใจถูกแล้ว คำพังเพยนั่น ยาวกว่าที่นายจินตนาการไว้อีกนะ”
“ยอมเชื่อใจคนโลเอ็น ดีกว่าเชื่อใจคนรีมู ยอมเชื่อใจงู ดีกว่าเชื่อใจคนรีมู… แต่ห้ามเชื่อใจชาวหมู่เกาะเด็ดขาด”
หมู่เกาะในที่นี้หมายถึงหมู่เกาะทะเลหมอก ตั้งอยู่ทางตะวันตกของอินทิส ถือเป็นหนึ่งในเขตอาณานิคมของอินทิส ชาวหมู่เกาะมักจะอพยพเข้ามาเป็นนักเลงหรือไม่ก็นักต้มตุ๋นในทรีอาร์
ไม่รอให้ลูเมี่ยนถามต่อ บาร์เทนเดอร์เหล่มองชาร์ลีที่ยังคงพูดเป็นต่อยหอย พลางกระซิบกระซาบ
“ถ้าเขาผ่านประสบการณ์แบบนั้นมาจริงๆ เรื่องหนึ่งที่เขายังไม่รู้ก็คือ ภาพวาดบนผนังห้อง ไม่ใช่ภาพของนักบุญวีฟ”
“แล้วเป็นภาพใคร?” ลูเมี่ยนถามอย่างสนุกสนาน
บาร์เทนเดอร์พยายามกลั้นขำ
“ชาร์ลีพักอยู่ในห้อง 504… ผู้เช่าคนก่อนชอบไปที่ถนนกำแพงเมือง เขตเจ้าหญิงสีชาด นางแบบภาพวาดในห้องของเขาคือหนึ่งในโสเภณีที่เคยมีชื่อเสียงที่สุดของทรีอาร์เมื่อหลายปีก่อน ซูซานน่า·มาติส”
“ลองคิดตามดูสิ ชาร์ลีคิดว่าตัวเองสวดวิงวอนถึงเทวทูต แต่ความจริงแล้วขอพรจากอีตัว แถมยังเชื่อว่าตัวเองมีโชคลาภ หายหิวโซ และได้งานใหม่เพราะเรื่องนี้… ตลกร้ายสุดๆ เลยไม่ใช่หรือไง!”
“เห็นด้วย” ลูเมี่ยนแสดงความเห็นชอบอย่างหนักแน่น
นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่เขาก็ไม่มีปัญญาแต่ง บางครั้งความจริงก็สุดโต่งยิ่งกว่าเรื่องปั้นน้ำเป็นตัว
เด็กหนุ่มเสริมอีกหนึ่งประโยค
“แต่ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเขา ก็ถือเป็นเรื่องดี”
บาร์เทนเดอร์ไม่พูดต่อ เพียงถาม
“จะรับอะไร?”
“อัปแซ็งต์แอนีซหนึ่งแก้ว” ลูเมี่ยนพูดพลางใช้นิ้วเคาะเคาน์เตอร์บาร์เบาๆ เป็นนัยว่ากำลังใช้ความคิด “ที่นี่มีอาหารอะไรบ้าง”
“ซุปดีวาร์เป็นไง? สามริกต์ต่อหนึ่งกระบวยพูนๆ” บาร์เทนเดอร์แนะนำ
สามริกต์เท่ากับสิบห้าโกเปต์ หรือ 0.15 เฟลคิน
ลูเมี่ยนทำหน้าสงสัย
“ซุปดีวาร์เป็นยังไง”
บาร์เทนเดอร์อธิบายอย่างเป็นมิตร
“คิดค้นโดยเจ้าของร้านอาหารที่ชื่อดีวาร์ โดยจะใส่เนื้อ กะหล่ำดอง หัวผักกาด และผักอื่นๆ ลงไปแล้วต้มในซุปข้น สุดท้ายก็โรยชีสกับเศษขนมปัง แค่เสิร์ฟเดียวก็อิ่มแปล้แล้ว รสชาติก็ไม่เลว ดีวาร์รวยไม่รู้เรื่องเพราะเมนูนี้ จนได้ย้ายบ้านไปอยู่ในเขตโรงละคร”
เขตที่ลูเมี่ยนอยู่เรียกว่าเขต ‘ตลาดคนซื่อ’ หรือที่เรียกกันว่าย่านตลาด อยู่ทางฝั่งใต้ของแม่น้ำเซอเรนโซ่ ซึ่งเต็มไปด้วยถนนของคนยากจน ส่วนเขตโรงละครอยู่ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำเซอเรนโซ่ อยู่ติดกับหนึ่งในเขตสำคัญของอินทิส—เขตถนนหลวง
“ฟังดูดีนะ” ลูเมี่ยนพยักหน้ายิ้มๆ “งั้นขอหนึ่งที่”
แม้ว่าพอถึงหกโมงเช้า ร่างกายของเขาจะฟื้นคืนกลับมาเอง ส่งผลให้ไม่ต้องกลัวว่าจะหิวตาย แต่การกินคือหนึ่งในเพียงไม่กี่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกถึงการมีชีวิต
บาร์เทนเดอร์พยักหน้า แล้วหันไปถาม
“เอา ‘มัมมี่น้อย’ หรือ ‘ตีลังกา’ ล่ะ?”
“หือ?” ลูเมี่ยนไม่เก็บซ่อนความฉงน
บาร์เทนเดอร์ไม่แปลกใจกับท่าที เพียงกล่าวอย่างสงบ
“เป็นศัพท์เฉพาะตามบาร์ ร้านกาแฟ และร้านเบียร์ในทรีอาร์… ‘มัมมี่น้อย’ หมายถึงอัปแซ็งต์แอนีซแก้วเล็ก ส่วน ‘ตีลังกา’ คือคูณสอง… ‘มะเขือเทศแดง’ หมายถึงอัปแซ็งต์ที่ผสมน้ำแอปเปิล ส่วนการเติมมินต์จะเรียกว่า ‘นกแก้ว’ และยังมีอื่นๆ อีกมาก”
“สหาย ในทรีอาร์น่ะ นายยังมีอีกหลายสิ่งให้ต้องเรียนรู้”
“เอามัมมี่น้อย” ลูเมี่ยนสัมผัสได้ว่าบาร์เทนเดอร์แอบอคติกับคนต่างถิ่น แต่ก็มิได้เก็บมาใส่ใจ
“เจ็ดริกต์” บาร์เทนเดอร์หงายแก้วใบเล็กพลางแจ้งราคา
อาจแพงกว่าอัปแซ็งต์ที่ร้านเหล้าคร่ำครึในกอร์ตู แต่ก็เป็นธรรมดาสำหรับเมืองที่มีกำแพงภาษี
ผ่านไปสักพัก แก้วอัปแซ็งต์สีเขียวซีดถูกวางอยู่ตรงหน้า ส่องประกายระยิบระยับด้วยแสงอันชวนฝัน
เด็กหนุ่มยกแก้วขึ้น จิบเบาๆ หนึ่งคำ สัมผัสถึงความขมบางๆ แต่ยาวนานที่แผ่ซ่านพร้อมกับความสดชื่น ซึมซาบเข้าสู่สมอง
ระหว่างรอให้พนักงานหญิงยกซุปดีวาร์มาเสิร์ฟ ลูเมี่ยนมองไปรอบตัว และพบว่าข้างเคาน์เตอร์บาร์มีกองโหลแก้ว สายยาง วาล์ว และเฟืองวางสุมกัน
“พวกนี้คือ?” เด็กหนุ่มมองบาร์เทนเดอร์ด้วยสายตาไม่เข้าใจ
อีกฝ่ายตอบกลับขณะเช็ดแก้ว
“สิ่งที่ผู้เช่าคนก่อนทิ้งไว้… สาวกของเทพจักรกลไอน้ำก็แบบนี้ เชื่อว่าตัวเองมีพรสวรรค์ทางด้านเครื่องจักร บ้าสะสมของทำนองนี้ไว้เพียบ”
“ตอนนี้เขาไปไหนแล้ว” ลูเมี่ยนถามพอเป็นพิธี เพราะทราบดีแล้วว่าจุดจบคงไม่สวยนัก
“ฉันไปถามมาจากโรงงาน ได้ยินว่าเขาเหม่อระหว่างทำงาน เลยถูกดึงเข้าไปในเครื่องจักร ร่างแหลกไปครึ่งหนึ่งเห็นจะได้”
ลูเมี่ยนมิได้ถามต่อ เพียงชำเลืองไปด้านข้าง จ้องมองกองชิ้นส่วนต่างๆ พลางจมดิ่งในห้วงความคิด
ไม่กี่วินาทีถัดมา เด็กหนุ่มลุกออกจากเก้าอี้สูง นั่งยองลงข้างๆ เคาน์เตอร์บาร์ ขยุกขยิกทำอะไรบางอย่างกับกองสิ่งของ
บาร์เทนเดอร์มองตามแต่ไม่ห้ามปราม เพียงเตือนเมื่อซุปดีวาร์ถูกยกออกจากครัวแล้ว
ง่วนอยู่สักพัก ลูเมี่ยนเดินกลับมานั่งบนเก้าอี้สูง ชิมซุปข้นๆ ด้วยช้อน
กลิ่นหอมเข้มๆ ของเนื้อ รสชาติของชีส ความสดชื่นของกะหล่ำดอง ความหวานของหัวผักกาดที่ผสมผสาน รวมกันกลายเป็นรสชาติอันยอดเยี่ยมที่ยากจะลืมเลือน เศษขนมปังที่อุ้มน้ำซุปคือทีเด็ดที่สุดของอาหารจานนี้
สิ่งที่ลูเมี่ยนไม่คาดคิดก็คือ มีเนื้ออยู่จริงๆ ในจานซุปข้นๆ ราคาเพียงสามริกต์ มากพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่หนึ่งคนอิ่มท้องได้จริงๆ
จนกระทั่งจานสะอาดเกลี้ยงเกลา ลูเมี่ยนนำผ้าเช็ดมือออกมา เช็ดรอบปาก กลับไปนั่งยองๆ ข้างๆ เศษซากชิ้นส่วนอีกครั้ง ทำสิ่งที่ค้างคาไว้ให้เสร็จ
สิบนาทีถัดมา เขาวางเครื่องจักรอันหนึ่งลงบนเคาน์เตอร์บาร์
บนเครื่องจักรติดตั้งโหลแก้ว ด้านล่างเป็นชิ้นส่วนกลไกซับซ้อน เชื่อมต่อกับสายยางสองเส้น
ลูเมี่ยนสั่งน้ำเปล่ามาหนึ่งแก้ว รินอัปแซ็งต์แอนีซที่เหลือลงไป เปลี่ยนของเหลวใสๆ ให้กลายเป็นสีเขียวอ่อน
สุดท้าย เด็กหนุ่มสอดหนึ่งในสองสายยางลงในแก้วนั้น
บาร์เทนเดอร์ที่มัดหางม้า ผู้มีบรรยากาศของศิลปิน บรรจงจดจ้องมองดู แล้วจึงถามด้วยความฉงน
“นี่คือ?”
“สิ่งประดิษฐ์ของฉัน” ลูเมี่ยนวาดมือทำสัญลักษณ์สามเหลี่ยมบนหน้าอก “ฉันก็เป็นผู้ศรัทธาของเทพจักรกลไอน้ำเช่นกัน เคยประสบความสำเร็จมากมายในสาขาเครื่องจักร”
ต่อมา เด็กหนุ่มเหยียดมือซ้ายที่สวมถุงมือสีดำ ชี้ไปทางเครื่องจักรนั่น
“นี่คือเครื่องจักรที่จะเปลี่ยนยุคสมัย ประโยชน์ของมันมากมายเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้!”
“ทำอะไรได้บ้าง?” ชาร์ลี ผู้ต้องสงสัยว่าสวดวิงวอนกับโสเภณี เดินเข้ามาใกล้เคาน์เตอร์บาร์พร้อมกับขวดเบียร์ในมือ สีหน้าแววตาอยากรู้อยากเห็น
ลูเมี่ยนกล่าวเสียงขรึมปนตื่นเต้น
“มันเรียกว่าเครื่องวัดความโง่ สามารถวัดระดับความโง่ของคน ในทำนองเดียวกัน มันก็วัดความฉลาดของคนได้ด้วย”
“จริงหรือ?” ใบหน้าชาร์ลีกับบาร์เทนเดอร์มีแต่ความไม่เชื่อ
ลูเมี่ยนอธิบายลงลึก
“ใช้งานง่ายมาก แค่เป่าลมเข้าไปในท่อตรงนี้ จนกระทั่งของเหลวในแก้วถูกดันมาถึงโหลแก้วและเกิดฟอง”
“ลักษณะของฟองสามารถบ่งบอกความโง่หรือฉลาดของคนคนนั้น”
มองลูเมี่ยนหัวจรดเท้า ชาร์ลีกล่าวอย่างกระตือรือร้น
“น่าทึ่งจริงๆ … สมแล้วที่เป็นผู้ศรัทธาของเทพจักรกลไอน้ำ”
เขาหยิบท่อสายยางขึ้นมาทันที แล้วเริ่มเป่าลมเข้าไป
ผ่านเฟือง วาล์ว และชิ้นส่วนอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกัน ของเหลวสีเขียวอ่อนในแก้วถูกดูดเข้าไปในเครื่องจักร ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงโหลแก้วด้านบน จนสุดท้ายก็เกิดฟองเล็กๆ
“ฟองแบบนี้สื่อถึงอะไร?” ชาร์ลีถามอย่างคาดหวัง
ลูเมี่ยนยกมุมปากเล็กน้อย เผยรอยยิ้มร่าเริง
“สหายของฉัน… หลักการของเครื่องจักรนี้เรียบง่ายมาก”
“เมื่อนายเชื่อคำพูดของฉัน ใช้ปากเป่าลมเข้าไปจริงๆ จนเกิดฟอง นายก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็น ‘คนโง่ที่โง่จนฟองฟูม’”
ใบหน้าของชาร์ลีตึงไปทันที แววตาเจือความโกรธ
ส่วนบาร์เทนเดอร์ข้างๆ หัวเราะชอบใจ
“เป็นการอำที่ดีจริงๆ!” เขาชื่นชมจากใจ
ลูเมี่ยนยิ้มขณะมองไปทางชาร์ลี รอดูการระเบิดอารมณ์ของอีกฝ่าย
ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที ชาร์ลีหายโกรธอย่างน่าฉงน แต่เดินไปหากลุ่มแขกที่เพิ่งฟังเรื่องราวจากเขา แล้วก็พูดออกมาเสียงดัง
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ดูสิว่าฉันไปเจออะไรมา? นี่คือเครื่องจักรที่จะเปลี่ยนยุคสมัย! มันสามารถวัดระดับสติปัญญาของพวกคุณได้!”
……………………………………………………..