ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 110 คนต่างถิ่น
ตอนที่ 110 คนต่างถิ่น
กำแพงเมืองสีเทาขาวสูงราวสามเมตร ปักหลักเด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ขยายออกซ้ายขวายาวจนสุดลูกหูลูกตาลูเมี่ยน
รถม้าหลากชนิด เช่นรถม้าตู้ทึบ รถม้าสี่ที่นั่ง รถม้าเปิดประทุน รถม้าพ่วง และรถม้าลากสินค้า กำลังเรียงแถวรอผ่านเข้าประตูเมือง
เจ้าหน้าที่สรรพากรในเครื่องแบบสีน้ำเงิน กับตำรวจในเสื้อเชิ้ตขาวกั๊กดำกำลังตรวจสอบทีละคัน ให้คนสัญจรผ่านไปมาแสดงเอกสารพิสูจน์ตัวตนหรือเปิดกระเป๋าเดินทาง
ลูเมี่ยนที่ถือกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาล มองไปตรงนั้น บางคราวก็มองไปรอบๆ เพื่อสอดส่ายหาทางเลี่ยงจุดตรวจ
ผ่านไปสักพัก ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้หลังจากสังเกตเห็นพฤติกรรมของเด็กหนุ่ม
“เกิดอะไรขึ้น สหาย? หน้าตานายดูกังวลนะ” อีกฝ่ายเตี้ยกว่าลูเมี่ยนเล็กน้อย แต่บานกว่าสองเท่า แก้มย้อยจนดวงตาสีน้ำเงินตี่ลง
เพียงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ กลิ่นที่ผสมระหว่างเหงื่อกับน้ำหอมถูกๆ ก็ซึมซาบเข้ามาในโพรงนาสิกของลูเมี่ยน จนเผลอขมวดคิ้วอย่างมิอาจยับยั้ง
ลูเมี่ยนชี้ไปทางประตูเมือง ถามด้วยท่าทีงุนงง
“คนพวกนั้นกำลังทำอะไร?”
“ตามล่าตัวอาชญากร? แต่ทำไมถึงตรวจแค่ขาเข้าเมือง ไม่สนใจขาออกเลยล่ะ?”
ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเหลืองกระเซิง สวมแจ็กเกตสั้นสีน้ำเงินที่ดูแน่นตึง มองมาทางลูเมี่ยนหัวจรดเท้า
“สหาย… นายมาจากประเทศเล็ก เมืองเล็ก หรือไม่ก็หมู่บ้านเล็กๆ สินะ?”
พอเห็นลูเมี่ยนพยักหน้ารับ อีกฝ่ายพูดพร้อมกับถอนใจ
“นี่คือการเก็บภาษียังไงล่ะ! ภาษีเข้าตลาด!”
“ภาษีเข้าตลาดทรีอาร์?” ลูเมี่ยนถามกลับ
อีกฝ่ายพยักหน้ารับ
“ถูกต้อง กำแพงนี้ล้อมรอบทั้งเมืองทรีอาร์ไว้ มีประตูเข้าออกถึงห้าสิบสี่จุด ทุกจุดมีเจ้าหน้าที่สรรพากรกับตำรวจคอยคุม แน่นอนว่าตามจับคนร้ายหนีคดีด้วย”
ชายคนเดิมตอบพลางลูบแคนวาสแจ็กเกตสีน้ำเงิน
“เกือบทุกอย่าง ยกเว้นเมล็ดธัญพืชและแป้ง พวกนี้ไม่ต้องเสียภาษีเข้าเมือง”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะเสียอยู่ แต่ไม่นานมานี้เพิ่งมีสงครามใช่ไหมล่ะ ราคาขนมปังในทรีอาร์ก็เลยพุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่ง จนชาวเมืองออกมาก่อจลาจลประท้วง สุดท้ายรัฐบาลจึงต้องยอมยกเลิกภาษีเข้าเมืองสำหรับอาหารทั้งหมด”
“หึ… นายต้องไม่เชื่อแน่ว่าพวกขี้เหล้าน่ะทุ่มทุนมาก ช่วงนี้อัตราภาษีเหล้ากลั่น ไวน์ และแชมเปญแพงหูฉี่ใช่ไหมล่ะ ช่วงสุดสัปดาห์ก็เลยมีคนไม่น้อยลงทุนออกมาที่ผับเล็กๆ นอกเมือง เพื่อดื่มเหล้าปลอดภาษี หรือที่เรียกกันว่า ‘เหล้าข้ามเมือง’”
“งี้นี่เอง…” ลูเมี่ยนพยักหน้ารับ แววตาคล้ายกับคิดอะไรในใจ
ชายคนนั้นมองไปรอบๆ แล้วพูดเสียงต่ำ
“ถ้านายมีอะไรที่ไม่อยากเสียภาษี ฉันช่วยพาเข้าเมืองได้นะ แต่ต้องจ่ายค่าตอบแทนนิดหน่อย”
“นายจะติดสินบนพวกเขาหรือ?” ลูเมี่ยนชี้คางไปทางเจ้าหน้าที่สรรพากรกับตำรวจตรงประตูเมือง
อีกฝ่ายได้ยินก็หัวเราะทันที
“เจ้าหน้าที่พวกนี้กินจุเสียยิ่งกว่าช้าง…”
“ฉันจะพาเข้าเมืองผ่านเส้นทางเล็กๆ ที่ไม่มีด่านตรวจต่างหาก”
“ทรีอาร์ถูกล้อมด้วยกำแพงเมืองทุกด้านไม่ใช่หรือไง” ลูเมี่ยนไม่เก็บซ่อนความสงสัย
อีกฝ่ายยิ้ม
“เดี๋ยวก็รู้เอง”
ตามด้วยพูดติดตลก
“ท่านขุนนางที่เคารพ… ปรารถนาให้ข้ารับใช้ท่านหรือไม่?”
ลูเมี่ยนคิดสักพัก แล้วจึงตอบ
“ราคาเท่าไร”
“สามเฟลคิน” อีกฝ่ายยิ้มอย่างกระตือรือร้น “ถ้านายต้องการ ฉันพาเข้าไปได้ทันที ไว้ค่อยจ่ายหลังจากถึงข้างในเมืองแล้วก็ได้”
“ตกลง” ลูเมี่ยนจัดแต่งหมวกปีกกว้างสีเข้มบนหัว หิ้วกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาล เดินตามชายร่างท้วมออกห่างจากประตูเมืองไปเรื่อยๆ
ผ่านไปราวๆ สิบห้านาที ทั้งสองมาถึงเนินเขาแห่งหนึ่งซึ่งมีร่องรอยการขุดดินและพืช เผยให้เห็นก้อนหินสีเทาขาว
ใกล้ๆ กันมีนั่งร้าน หมอนคานไม้ผุพัง หลุมพรุนอีกนับไม่ถ้วน ดูคล้ายกับเหมืองเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานาน
ชายร่างท้วมเดินนำลูเมี่ยนผ่านกองหินระเกะระกะ จนมาถึงแถวๆ ทางเข้าเหมือง
“นี่คือทางที่ว่า?” ลูเมี่ยนถามด้วยท่าทีระแวง
ชายหุ่นท้วมในแจ็กเกตสีน้ำเงินพูดยิ้มๆ
“นายไม่ค่อยรู้จักทรีอาร์สินะ”
“ไม่เคยได้ยินคำพูดนี้หรือ? ทรีอาร์ใต้ดินน่ะ ใหญ่กว่าบนดินเสียอีก!”
“ไม่เคย” ลูเมี่ยนส่ายหัว
อีกฝ่ายช่วยอธิบายเรียบง่าย
“เมื่อก่อนทรีอาร์เล็กกว่าปัจจุบันมาก ล้อมรอบด้วยเหมืองหินที่ใช้เพื่อก่อสร้างเมือง แต่ในเวลาถัดมา ประชากรเริ่มเพิ่มจำนวน เมืองจึงต้องขยายออกรอบนอก ทำให้เหมืองพวกนี้ถูกผนวกเข้าไปในเขตเมืองด้วย ใต้ดินจึงเต็มไปด้วยอุโมงค์เหมืองที่ถูกขุดไว้”
“เมื่อนำไปรวมกับการทรุดตัวของทรีอาร์ในยุคสมัยที่สี่ รวมกับระบบบำบัดน้ำเสียที่รัฐบาลสร้างขึ้น รวมกับการขุดเจาะทำทางรถไฟใต้ดินและการฝังท่อก๊าซ แล้วจะไม่ให้ใหญ่กว่าบนดินได้ยังไง?”
ลูเมี่ยนทำท่าทางเหมือนเข้าใจ
“นายจะพาฉันเข้าทรีอาร์จากทางใต้ดินสินะ”
“ถูกต้อง” ชายคนนั้นหันร่างกลับไป ก้มตัวมุดเข้าไปในเหมืองพลางถามไถ่ “นายชื่ออะไร”
“ชาร์ล” ลูเมี่ยนลูบผมสีบลอนด์ข้างขมับ “แล้วนายล่ะ”
“เรียกฉันว่ารามายย์ก็ได้” ชายที่ตัวบานกว่าลูเมี่ยนเกือบสองเท่า ขลุกขลิกอยู่ตรงกองหินมุมเหมืองสักพัก แล้วหยิบโคมไฟเหล็กสีดำออกมา
โคมไฟนี้ทำจากโลหะ ผิวมีรอยสนิม ลักษณะเป็นทรงกระบอก ด้านบนแคบกว่าด้านล่างราวๆ หนึ่งนิ้ว ส่วนล่างสุดเป็นฐานยางสีดำ
ในจุดที่ทรงกระบอกแคบกับทรงกระบอกกว้างเชื่อมต่อกัน มีชิ้นส่วนโลหะทรงกรวยติดอยู่ มองผ่านๆ เห็นว่าถูกเช็ดจนสะอาด ถูกขัดจนเรียบเงา แต่ยังคงมีรอยสนิมในบางจุด
รามายย์หยิบกล่องไม้ขีดไฟออกมา ขยุกขยิกอยู่สักพัก จนกระทั่งมีแสงสีส้มอมน้ำเงินสว่างขึ้นจากแตรโลหะ มอบแสงสว่างให้กับเหมืองแร่ที่ค่อนข้างมืด
“นี่คือ?” ลูเมี่ยนถามอย่างไม่เข้าใจ
รามายย์ถือโคมไฟเหล็กเดินลงไปยังดินด้านล่าง พึมพำตอบเสียงแผ่ว
“โคมไฟคาร์ไบด์”
“คิดค้นโดยสมาคมถ้ำ นิยมใช้ในหมู่คนงานเหมือง ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันสว่างได้ยังไง แต่แค่ใส่หินไว้ด้านล่าง ใส่น้ำไว้ด้านบน พอจะใช้ก็กดตรงนี้แล้วจุดไม้ขีดตรงกลางแตร”
แคลเซียมคาร์ไบด์ทำปฏิกิริยากับน้ำจนเกิดอะเซทิลีน พออะเซทิลีนถูกเผาไหม้ก็เลยส่องแสง? ลูเมี่ยนระลึกถึงความรู้วิชาเคมีที่เพิ่งติวไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
เด็กหนุ่มเงียบไปพักใหญ่ คอยตามรามายย์ลงไปใต้ดิน มุ่งหน้าไปตามถนนในเหมืองร้าง จนกระทั่งเอ่ยปากถามขึ้นมา “สมาคมถ้ำ?”
“สมาคมถ้ำทรีอาร์คือกลุ่มคนที่ชอบสำรวจและศึกษาถ้ำ ดูเหมือนว่าจะลามมาถึงเหมืองด้วย” รามายย์หันไปมองลูเมี่ยนข้างๆ พลางถามยิ้มๆ “ทำไมนายถึงไม่นั่งรถไฟไอน้ำเข้าทรีอาร์ตรงๆ ล่ะ? ด่านตรวจสินค้าที่สถานีไม่ค่อยเคร่ง แค่สุ่มตรวจเท่านั้น”
ลูเมี่ยนนึกย้อนกลับไป แล้วจึงตอบ
“ฉันอยากสัมผัสมนต์เสน่ห์สุดท้ายที่ยังหลงเหลือจากยุคเก่า”
“รถม้าที่สถานีสินะ?” รามายย์ยิ้ม “มันแพงกว่ารถไฟไอน้ำเยอะเลยนะ… ฟังจากสำเนียงของนายคงมาจากแถวๆ รีมูหรือไรสตัน… จากใต้สุดขึ้นมาทรีอาร์คงราคาประมาณ 120 เฟลคินใช่ไหม? แถมยังกินเวลานานถึงสี่วันครึ่ง! แต่ถ้าเป็นรถไฟไอน้ำ ตู้ชั้นสามราคาไม่ถึงห้าสิบเฟลคินด้วยซ้ำ นั่งไม่เกินยี่สิบชั่วโมงก็ถึงเมืองหลวงแล้ว ฮะฮะ! มนต์เสน่ห์สุดท้ายที่ยังหลงเหลือจากยุคเก่าอะไรกัน มันก็แค่โฆษณาชวนเชื่อสำหรับหลอกคนอย่างนาย… เฮ้อ เสียเงินเสียทองไปเยอะเลยสินะ?”
ลูเมี่ยนตอบไปตามจริง
“ก็เยอะอยู่ ตอนนี้ฉันเหลือแค่ 267 เฟลคิน”
รามายย์เหล่กลับมามองเด็กหนุ่ม ก่อนจะถอนสายตากลับแล้วพูด
“สิ้นเปลืองแท้ๆ …”
เขาถือโคมไฟคาร์ไบด์ที่ทำจากโลหะ อาศัยแสงไฟสีส้มอมน้ำเงินจากปากแตรช่วยนำทาง พาเด็กหนุ่มเดินผ่านสิ่งที่คล้ายซุ้มโค้ง หักเลี้ยวเข้าถนนอีกเส้น
ลูเมี่ยนแหงนหน้ามองด้านบน เห็นก้อนหินแน่นิ่งท่ามกลางความมืด มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่ประปราย มีน้ำซึมออกมาจากหินแล้วหยดลงมาบ้าง
ถนนใต้ฝ่าเท้ามีลักษณะขรุขระ สองฝั่งซ้ายขวามีต้นเสาหินคอยค้ำจุนเพดานถ้ำ
ระหว่างเสาหินมีการเรียงก้อนหินหรือสิ่งที่คล้ายคลึงกัน จนมีลักษณะคล้ายผนังที่ขนานไปกับถนน
‘ถนน’ กว้างพอให้หกเจ็ดคนเดินเรียงหน้ากระดาน
อาศัยแสงจากโคมไฟคาร์ไบด์ ลูเมี่ยนพบว่าบนเสาต้นหนึ่ง มีป้ายที่ทำจากเหล็กติดอยู่ เขียนเป็นภาษาอินทิสว่า:
“ถนนขวา”
“มีชื่อถนนด้วยหรือไง…” ลูเมี่ยนถามเสียงฉงน
รามายย์ที่ถือโคมไฟคาร์ไบด์พูดไปขำไป
“ก็เคยบอกไป… ที่นี่คือ ‘ทรีอาร์ใต้ดิน’”
“แถวนี้ถูกปรับปรุงใหม่เมื่อหลายสิบปีก่อน พวกคนใหญ่คนโตที่ติดปกเสื้อปลอมไม่ค่อยชอบใต้ดินเพราะมันวุ่นวายยังกับเขาวงกต… ไม่ว่าจะเป็นกบฏ ฆาตกร คนค้าของเถื่อน หรือลัทธินอกรีต ต่างก็มากบดานอยู่ข้างล่างทั้งนั้น ทำให้จำเป็นต้องจัดระเบียบใหม่… นอกจากนั้น พวกอาคารบ้านเรือนก็เริ่มทรุดตัวเพราะการขุดถ้ำ เทศบาลเมืองจึงต้องมาช่วยเสริมความแข็งแรง โดยใช้เวลาราวๆ สิบปีในการสร้างต้นเสาและก่อรากฐาน เพื่อเชื่อมต่อระหว่างแต่ละเหมืองหิน โบราณสถานใต้ดิน สุสานใต้ดิน และท่อระบายน้ำเข้าด้วยกัน
“เพื่อไม่ให้คนงานหลงทาง พวกเขาจงใจสร้างให้สอดคล้องกับจุดสำคัญด้านบนพื้นดิน เช่นถนน ลานจัตุรัส และตรอกซอกซอย แล้วติดป้ายชื่อถนนที่ตรงกันไว้ด้านล่างด้วย ทีนี้เวลาจะซ่อมก็ง่ายแล้ว แค่บอกชื่อถนนด้านบนก็พอ”
“หรือก็คือ” ลูเมี่ยนใช้มือขวาที่ไม่ได้ถือกระเป๋า ชี้ขึ้นไปข้างบน “ด้านบนคือ ‘ถนนขวา’ ของจริง?”
“ใช่” รามายย์เริ่มเดินต่อ “นี่ล่ะทรีอาร์ใต้ดิน หึ… ข้างหน้ามีกำแพงป้องกันการลักลอบขนสินค้าอยู่ พวกตำรวจหินลงมาตรวจตราเป็นระยะ แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจะพานายเลี่ยงเข้าไปในอุโมงค์เล็กๆ หึหึ… พวกที่คนใหญ่คนโตที่ใส่ปกเสื้อปลอม ต่างก็เชื่อว่าตัวเองสามารถคุมทรีอาร์ใต้ดินไว้ได้เหมือนบนดิน แต่หารู้ไม่ว่า พวกมันรู้จักตรอกซอกซอยและถนนซ่อมใหม่ยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ…”
ขณะพูด เขานำทางลูเมี่ยนมาถึงทางตัน แล้วขยุกขยิกจนเจอช่องเล็กๆ สำหรับไปต่อ โดยที่ลูเมี่ยนตามหลังไปไม่ห่าง
แต่คราวนี้มีร่างเงาที่ดูบึกบึนกำยำ ยืนถือโคมไฟคาร์ไบด์อยู่ข้างเสาหินต้นใหญ่ อีกฝ่ายพูดกับรามายย์
“นี่คือแขกของเราสินะ”
รามายย์หันกลับมา พูดยิ้มๆ กับลูเมี่ยน
“คนต่างถิ่น ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ค่าจ้างในคราวนี้คือ 265 เฟลคิน… ฉันใจดีใช่ไหมล่ะ? ยังอุตส่าห์เหลือเงินให้นายซื้อขนมปังกับเข้าพักโรงแรมในวันนี้”
“แล้วถ้าฉัน… ไม่ให้ล่ะ?” ลูเมี่ยนถามด้วยใบหน้าเจือความหวาดกลัว แต่ก็แฝงความดื้อไว้ไม่เบา
รามายย์หัวเราะจนชั้นไขมันบนใบหน้าสั่นกระพือ
“ลองเดาดูสิ…”
“แม่ไม่เคยสอนบ้างหรือ เวลาออกจากบ้านอย่าไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายๆ?”
รามายย์กับชายร่างบึกบึนเดินเข้ามาหาลูเมี่ยนจากสองทิศทาง
เด็กหนุ่มอมยิ้ม โน้มตัวลงวางกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลไว้ข้างๆ
ตามด้วยย่างสามขุมเข้าหารามายย์กับพวกพ้อง
แสงจากโคมไฟไหววูบวาบอยู่สักพัก สิบกว่าวินาทีผ่านไปไวเหมือนโกหก จนกระทั่งโคมไฟคาร์ไบด์เปลี่ยนมาอยู่ในมือลูเมี่ยนแทน
เด็กหนุ่มคุกเข่าลงข้างๆ รามายย์ที่นั่งตัวสั่นเทิ้มด้วยใบหน้าฟกช้ำ แล้วดึงธนบัตรทั้งหมดออกจากกระเป๋าสตางค์ของอีกฝ่าย นับจำนวนอย่างรอบคอบภายใต้แสงสีส้มอมน้ำเงิน
ถัดมา เขาใช้ปึกธนบัตรตบแก้มขวาของรามายย์ แล้วพูดยิ้มๆ
“ตอนนี้เหลือแค่ 319 เฟลคินแล้ว”
กล่าวจบ ลูเมี่ยนเก็บธนบัตร เดินไปตามเส้นทางที่น่าจะพาไปยังพื้นผิวด้านบน
จนกระทั่งได้พบกับเสาหินที่แขวนป้าย บนป้ายมีตัวหนังสือภาษาอินทิสเขียนไว้สองแถว:
“ย่านตลาดคนซื่อ, ถนนกระโถน”
แต่คำว่า ‘ถนนกระโถน’ ถูกขีดฆ่าด้วยหิน แล้วเพิ่มชื่อใหม่ไว้ข้างๆ
“ถนนอลเวง”
……………………………………………………..