ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 105 คนคนนั้น
ตอนที่ 105 คนคนนั้น
ปงส์·เบเนต์เพิ่มแรงบีบ ดวงตาของมันแดงก่ำราวกับใกล้จะเหลือกถลน
ลูเมี่ยนคงพูดว่า ‘ขอบใจ’ ออกไปหากมิใช่เพราะการมองเห็นเริ่มมืดมัว และตนเริ่มเปล่งเสียงได้ยากลำบาก
ทันใดนั้น ฝ่ามือปริศนาโผล่มาจากที่ใดสักแห่ง ขยุ้มผมตรงท้ายทอยปงส์·เบเนต์พร้อมกับพยายามกระชากออกจากลูเมี่ยน
“คิดจะทำอะไร… จะฆ่ามันรึไง?”
“เป็นบ้าไปแล้วรึไง?”
ปิแยร์·แบรี คนเลี้ยงแกะ พยายามห้ามปรามปงส์·เบเนต์พร้อมกับสบถด่าเสียงทุ้ม
ปงส์·เบเนต์ยังคงทำหูทวนลม กระจกตาสีแดงก่ำสะท้อนเพียงภาพลูเมี่ยน ในหัวสมองที่ถูกครอบงำด้วยโทสะและความกระหายเลือด หลงเหลืออยู่เพียงความคิดเดียวเท่านั้น: ‘ฆ่าไอ้เวรนี่ซะ!’
ป้าบ!
คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีง้างเท้าขวาเตะผ่าหมากใส่ปงส์·เบเนต์ด้วยรองเท้าบูตหนังใหม่เอี่ยม
ปงส์·เบเนต์ปล่อยมือตามปฏิกิริยาตอบสนอง รีบเลื่อนลงมาเกาะกุมเป้ากางเกง สองเข่าหนีบเข้าหากันขณะทรุดลงไปกับพื้น
มันปล่อยเสียงโอดโอยอย่างมิอาจหักห้าม ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ราวกับไก่ตัวผู้ที่ถูกบีบคอ
คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีมองปงส์พร้อมกับกล่าวเสียงเย็น
“ถ้าหายเจ็บเมื่อไรก็พาลูเมี่ยนไปที่แท่นบูชา เราจะเริ่มพิธีกันแล้ว”
มันถอนสายตากลับ โน้มตัวลงตรวจสอบอาการของลูเมี่ยน
เมื่อเห็นว่าลูเมี่ยนได้สติกลับมาพร้อมกับค่อยๆ ลืมตา ปิแยร์·แบรีก็เหยียดตัวกลับไปยืนพลางผงกหัว
เมื่อการมองเห็นอันมืดมิดกลับมามีแสงอีกครั้ง รวมถึงความเจ็บปวดตรงคอที่ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งชัดเจน ลูเมี่ยนพลันผิดหวังเมื่อพบว่าสิ่งที่ตนเห็นมิใช่เพดานห้องนอนอันคุ้นเคย หากแต่เป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเส้นบาดแผลเปื้อนเลือดของคนเลี้ยงแกะ
เรายังไม่ตาย? เด็กหนุ่มพึมพำในใจตามนิสัย ขณะเดียวกันก็เห็นปงส์·เบเนต์นอนขดอยู่บนพื้น
“ไอ้ขยะ!” ลูเมี่ยนสบถด่าด้วยความเหยียดหยามอันเหลืออด “ผู้หญิงก็ดูแลไม่ได้ ผู้ชายก็ฆ่าไม่ตาย แกจะเกิดมาทำไมวะ!”
ปงส์·เบเนต์สัมผัสได้ว่าความโกรธแล่นขึ้นมาถึงหน้าผาก หากมิใช่เพราะยังเหลือความเจ็บตกค้างอยู่ตรงหว่างขา หากมิใช่เพราะคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรียังมองอยู่ มันคงสติแตกไปอีกครั้ง
…………
ณ บ้านอันทรุดโทรมของลูเมี่ยนกับโอลัวร์ที่หลังคาหายไปกว่าครึ่ง
ใต้แสงจันทร์และแสงดาว ไรอัน ลีอา และวาเลนไทน์แอบย่องกลับเข้ามา
หลังจากยืนยันว่ารอบๆ ไม่มีใคร ไรอันหันไปพูดกับลีอา
“ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในคืนนี้จะเลวร้ายกว่าที่คิด คุณลองทำนายดูหน่อยนะ”
ริมถนนไล่ตั้งแต่ชายขอบหมู่บ้านกอร์ตูจนมาถึงบ้านลูเมี่ยน ทั้งสามพบว่าในบ้านแต่ละหลังไม่มีใครอยู่เลย และไม่ทราบว่าไปไหน
นี่คือความผิดปกติที่น่าหวาดหวั่น!
“ตกลง” ลีอาพยักหน้า
ก่อนที่เธอจะนำปากกากับกระดาษออกมาเขียนประโยคทำนาย ไรอันเตือนเสริม
“เลือกทิศทางการทำนายให้ดี อย่าลองในสิ่งที่เธอคิดว่าอันตราย”
“เข้าใจแล้ว” ลีอาค่อนข้างชำนาญในศาสตร์นี้ ย่อมทราบดีว่าหมู่บ้านกอร์ตูเต็มไปด้วยอันตรายและความไม่ปกติ ความผิดพลาดในการทำนายแม้เพียงเล็กน้อยอาจสร้างความเสียหายแก่ตัวเอง หรือในกรณีเลวร้ายก็คงได้คลุ้มคลั่ง
หญิงสาวลังเลอยู่หลายวินาที เดินเข้าไปในห้องนอนโอลัวร์ที่ปราศจากผนังฝั่งทางเดิน รื้อค้นจนกระทั่งพบต้นฉบับนิยายสำหรับใช้เป็นสื่อกลาง
ระหว่างที่ลีอาเขียนประโยคทำนาย ไรอันกับวาเลนไทน์เดินเข้าไปในห้องนอนลูเมี่ยนที่พวกเขาใช้พักผ่อน
กระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลอ่อนของไรอันยังคงวางชิดกับโต๊ะอ่านหนังสือริมหน้าต่าง ถูกคลุมด้วยผ้าม่านอย่างมิดชิด
เมื่อเห็นว่ายังอยู่ ไรอันถอนหายใจโล่งอก แล้วหันไปพูดกับวาเลนไทน์
“เตรียมตัว”
ขณะกล่าว เขาลากกระเป๋าเดินทางออกมา วางราบไปกับพื้นแล้วเปิดล็อกที่ทำจากทองเหลือง
วาเลนไทน์กางแขนออกเล็กน้อย เสกเปลวไฟสีทองขึ้นจากความว่างเปล่าพร้อมกับมอบแสงสว่างให้ห้อง
อาศัย ‘แสงอาทิตย์’ ดังกล่าว ไรอันเจ้าของสีหน้าเคร่งขรึม ในที่สุดก็กล้าเปิดกระเป๋าเดินทาง
ข้างในไม่มีเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน ไม่มีหนังสือหรือเงินทอง มีเพียงหุ่นฟางประหลาดนอนนิ่งอย่างเงียบงัน
ตรงตาของหุ่นฟางถูกรัดด้วยผ้าสีดำผืนหนา
ตามใบหน้า ลำคอ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า แลน่อง ล้วนทำจากเส้นฟางสีน้ำตาลอมเขียว แต่บนท่อนแขน หน้าอก และต้นขาคลุมด้วยเนื้อหนังของจริงสีค่อนข้างซีด
นี่คือสมบัติวิเศษที่ ‘ทีมสืบสวนร่วม’ ได้รับจากวิหารสุริยันเจิดจรัสมุขมณฑลไรสตันก่อนออกเดินทาง
ทีมระดับพวกเขาสามารถทำเรื่องเบิกใช้สมบัติปิดผนึกเพื่อต่อกรกับความผิดปกติได้ตามสถานการณ์
ไรอันหลับตาลง ในห้วงความคิดผุดข้อมูลของสมบัติวิเศษชิ้นนี้อย่างเป็นธรรมชาติ
“รหัส: 217”
“ชื่อ: หุ่นฟางตานาโก”
“ระดับความอันตราย: ‘2’ , อันตราย, ใช้อย่างพอดีด้วยความระมัดระวัง สามารถเบิกใช้โดยกลุ่มที่มีสามคนขึ้นไป หรือสังฆานุกร หรือบิชอปขึ้นไปเท่านั้น”
“ระดับความลับ: บิชอป, หัวหน้าทีม หรือสูงกว่า”
“คำอธิบาย: หุ่นฟางตัวนี้ถูกพบครั้งแรกในตานาโก แคว้นไรสตัน ชายขอบหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งถูกทำลายโดยพิธีกรรมบูชาลัทธินอกรีต”
“ผู้ชำระสองคน ตำรวจสิบนาย และชาวนาเจ็ดสิบหกคนหายตัวไปหลังจากผ่านทุ่งนาที่ตั้งหุ่นฟางตัวนี้ไว้ และไม่มีใครพบเห็นอีกเลย”
“จากการศึกษาช่วยให้ทราบว่า หากใครเข้าไปในรัศมีสามสิบเมตรรอบหุ่นฟางตัวนี้และอยู่ในขอบเขตการมองเห็นของมัน จะสูญเสียการตระหนักรู้ในตัวเอง จะเดินเข้าหาหุ่นฟางอย่างมิอาจควบคุมและหายตัวไปภายในเวลาไม่กี่วินาที เหลือไว้เพียงเสื้อผ้าและสิ่งของที่พกพา”
“ในยามที่แสงอาทิตย์ร้อนแรงที่สุด การสัมผัสตัวหุ่นฟางหรือถูกหุ่นฟางเห็น จะไม่ทำให้หายไป”
“จากคำบอกเล่าของชาวนาหมู่บ้านอื่น หุ่นฟางตัวนี้เคยปกติและไม่ต่างจากหุ่นฟางตัวอื่น จนกระทั่งหมู่บ้านเจ้าของที่นาดังกล่าวถูกทำลาย”
“ทุกครั้งที่มีคนหายไป บางส่วนของหุ่นฟางจะปกคลุมด้วยเลือดเนื้อ คลุมด้วยผิวหนัง แต่กินพื้นที่ไม่มาก”
“สำหรับตอนนี้ ยังยืนยันไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากหุ่นฟางมีเนื้อหนังเต็มทุกส่วน ทำได้เพียงตั้งข้อสงสัยว่ามันอาจมีชีวิตขึ้นมา”
“วิธีผนึก: ปิดตาของมันด้วยผ้าสีดำผืนหนาจากด้านหลัง เก็บไว้ในมิติที่แคบและมืด”
“วิธีใช้: ต้องนำหุ่นฟางตัวนี้ออกมากลางแดดเท่านั้น จึงค่อยคลายผ้าปิดตา”
“ส่วนเสริม: 1. ไม่ว่ากรณีใดก็ห้ามถูกมันเห็นโดยเด็ดขาด แม้จะมีแสงแดดคุ้มครองอยู่ก็ตาม ไม่เช่นนั้นจะฝันร้ายเป็นเวลานานหรือเกิดความอ่อนเพลียทางจิตใจ”
“2. พยายามไม่ใช้หุ่นฟางตัวนี้นานเกินสองนาทีในแต่ละครั้ง ไม่เช่นนั้นมันอาจหลบหนีและต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ”
“3. คำเตือน: ผนึกมันเป็นการถาวรก่อนที่จะมีเลือดเนื้อในปริมาณที่มากพอ”
ระหว่างที่ไรอันกับวาเลนไทน์ตรวจสอบว่าสมบัติปิดผนึกยังอยู่ดีหรือไม่ ลีอาเข้าสู่ภาวะ ‘ทำนายด้วยฝัน’
เธอพึมพำประโยคทำนาย ‘ตำแหน่งของโอลัวร์’ กับตัวเอง นั่งลงบนเก้าอี้ เอนหลังพิงพนัก หลับตาลงแล้วผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
อาศัยความช่วยเหลือจากกระดิ่งเล็กสีเงินสี่ใบ ลีอาในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น มองเห็นโอลัวร์ในชุดคลุมยาวสีขาวท่ามกลางโลกมายาอันบิดเบี้ยว เห็นสิ่งที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นแท่นบูชา เห็นชาวบ้านยืนล้อมรอบ และเห็นกระจกสีกับผนังสีทองอร่ามอยู่ไกลออกไป
ลีอารีบเลิกเปลือกตา วิ่งออกจากห้อง พูดกับไรอันและวาเลนไทน์อย่างร้อนรน
“ทุกคนอยู่ที่โบสถ์!”
“กำลังประกอบพิธีกรรม!”
…………
ภายในโบสถ์สุริยันเจิดจรัส
ลูเมี่ยนที่ผิดหวัง ถูกปงส์·เบเนต์อุ้มไปวางบนแท่นบูชาที่เต็มไปด้วยกานพลูกับทิวลิป ข้างๆ มันมีคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีคอยจับตาดู
มองหน้าพี่สาวเจ้าของดวงตาว่างเปล่า ลูเมี่ยนหันไปแสยะยิ้มให้ปิแยร์·แบรี
“แกมันไอ้ขี้ขลาด! ไอ้ขี้แพ้!”
คนเลี้ยงแกะหันมามอง แต่ไม่ตอบโต้ และไม่เปลี่ยนสีหน้า
ลูเมี่ยนยังคงพูดต่อไปด้วยรอยยิ้ม
“ผู้หญิงของตัวเองตายไปทั้งคน แต่แกกลับไม่กล้าทำอะไรเลย เอาแต่ศรัทธาในเทพมาร”
“เธอตายเพราะอะไร? เพราะเจ้าของโรงงานไม่ยอมให้พัก แถมยังให้ค่าจ้างน้อย”
“ถ้าเป็นฉัน ป่านนี้คงไปหาเจ้าของโรงงานระยำนั่น แล้วแขวนคอมันทั้งตระกูลไว้กับปล่องไฟโรงงาน!”
“แกได้ทำไหม? ก็ไม่! เอาแต่กลัวจนหัวหด กลัวว่าตัวเองจะตาย ไอ้ขี้แพ้! ไอ้ขี้ขลาด!”
ลูเมี่ยนที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในตัวปิแยร์·แบรี แอบเสริมพลังนักยั่วยุไว้กับประโยคสุดท้าย
สีหน้าของปิแยร์·แบรี คนเลี้ยงแกะ เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวในทันที ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกลายเป็นเกรี้ยวกราด ราวกับผนึกอสุรกายภายในใจถูกคลายออก
“สงบสติหน่อย!” กิโยม·เบเนต์ หลวงพ่ออธิการโบสถ์ เงยหน้ามองพลางตะโกนอย่างดุดัน
ปิแยร์·แบรีสะดุ้งพร้อมกับเรียกสติคืนมา
มันรีบฉีกเศษผ้าที่ห้อยจากเสื้อขาดๆ ของตน ขยำเป็นก้อนกลมแล้วยัดใส่ปากลูเมี่ยน
หมับ! ลูเมี่ยนดิ้นรนสุดชีวิต แต่ก็หนีไม่รอด
เขาพยายามสบถด่าโดยเสริมพลัง ‘ยั่วยุ’ ลงไป แต่เนื่องจากเวลากระชั้นชิด พ่นไปได้เพียงไม่กี่พยางค์ ปากก็ถูกเศษผ้ายัดเข้าไปจนพูดไม่ได้อีก
ความร้อนใจและความสิ้นหวังบุกรุกจิตใจลูเมี่ยนพร้อมกัน ทำเอาเด็กหนุ่มเกือบจะแตกสลาย
เขาฝืนข่มอารมณ์ พลางกีดกันความคิด ‘ยอมแพ้’ ที่กำลังยึดครองจิตใจ
ขณะถูกอุ้มไปยังแท่นบูชา เด็กหนุ่มพยายามคิดหาวิธีฆ่าตัวตายทางอื่น
ไม่กี่อึดใจถัดมา เขาถูกพาตัวมาอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อ ห่างจากโอลัวร์โดยมีเพียงสัญลักษณ์หนามสีดำอันเขื่องคั่นกลาง
กิโยม·เบเนต์ส่งสัญญาณบอกให้คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีช่วยจัดท่าทางของลูเมี่ยน ก่อนจะหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มพร้อมกับพูดยิ้มๆ
“แกแก่งกว่าที่ฉันคิดนะ แต่ยังขาดไปอีกนิด…”
“โลกนี้อันตรายเกินไป ผู้ชายต้องการพ่อสองคน แต่แกไม่มีสักคน ไม่มีใครคอยมอบประสบการณ์ชีวิตให้”
คำว่า ‘โลกนี้อันตรายเกินไป ผู้ชายต้องการพ่อสองคน’ เป็นคำพังเพยของอินทิส ซึ่งหมายถึงพ่อในครอบครัว กับพ่อทางสังคม โดยอย่างหลังมักหมายถึง ‘พ่อทูนหัว’
นี่ยังเป็นเหตุผลที่ชาวอินทิสนิยมมีพ่อทูนหัวกับแม่ทูนหัว
หลวงพ่อใช้คำพังเพยนี้เพื่อเย้ยหยันลูเมี่ยนที่เป็นเด็กกำพร้า ผู้ไม่มีทั้งพ่อบังเกิดเกล้าและพ่อทูนหัว
ส่วนลูกของแกจะมีพ่อสามคน… ไม่สิ สี่ต่างหาก มีแก มีพ่อบังเกิดเกล้า มีพ่อทูนหัว และชู้ของแม่… หากมิใช่เพราะปากถูกอุดแน่น ลูเมี่ยนคงเย้ยหยันหลวงพ่อกลับไป ยั่วยุให้อีกฝ่ายสติแตกจนลงมือสังหารตนคาแท่นบูชา
น่าเสียดาย เขาพูดอะไรไม่ได้เลย
“เริ่มพิธีเลยไหม?” คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีถามกับกิโยม·เบเนต์
หลวงพ่อส่ายหน้า
“รออีกนิด”
“รออะไร?” ปิแยร์·แบรีไม่เข้าใจ
หลวงพ่อไม่ตอบ ส่วนลูเมี่ยนกำลังคิดหาวิธีฆ่าตัวตายรูปแบบอื่น
ไม่นานก็ผุดแนวคิดใหม่
เข้าฌานลึก อ้าแขนรับการจ้องมองจากสององค์ซ่อนเร้น เปิดหูรับฟังเสียงลึกลับอันน่าพรั่นพรึง ปล่อยให้ตัวเองคลุ้มคลั่ง!
มองไปด้านข้าง มองเข้าไปในดวงตาอันว่างหน้าและซึมกะทือของโอลัวร์ ลูเมี่ยนตัดสินใจหลับตาลง
ก่อนอื่นก็ร่างเค้าโครงของพระอาทิตย์สีแดงร้อนแรง และเมื่อจิตใจเริ่มสงบก็เปลี่ยนเป็นลูกบอลที่มีดวงตาและเส้นขีดเขี่ย
ท่ามกลางความเงียบงัน ลูเมี่ยน ‘เห็น’ หมอกจาง ‘เห็น’ สีสันฉูดฉาดซ้อนทับกันอย่างยุ่งเหยิง ‘เห็น’ อีกหลายสิ่งที่ยากจะนิยามและดูเหมือนจะไม่มีอยู่จริง
แต่ในหนนี้ เด็กหนุ่มกลับมิอาจสัมผัสถึงการจ้องมองของสิ่งที่อยู่ลึกในสายหมอกหรือตำแหน่งสูงอนันต์
ทำไมถึงไม่เหมือนเดิมล่ะ…? ลูเมี่ยนลืมตาด้วยความทึ่ง
ในเวลาเดียวกัน ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทางประตูหน้าของโบสถ์
สวมชุดคลุมสีดำพ่วงฮู้ดใหญ่ ใบหน้าซ่อนอยู่ในเงามืดทั้งหมด บอกได้เพียงว่าสูงเกือบหนึ่งเมตรแปด
เห็นอีกฝ่ายบรรจงย่างกรายเข้าหาแท่นบูชา หลวงพ่ออธิการโบสถ์รีบหันข้างเพื่อเปิดทางให้ ภาษากายเปี่ยมไปด้วยความสุภาพนอบน้อม
ใครกัน? ตัวการเบื้องหลังพวกหลวงพ่อ? ลูเมี่ยนมองอีกฝ่ายด้วยความฉงน
ยิ่งมองดู เด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
จนสุดท้ายก็นึกออก
นี่คือเงาที่ยืนหลบมุมอยู่ในห้องเก็บศพจอมเวทใต้สุสาน!
ชายในชุดคลุมดำเดินขึ้นมาบนแท่นบูชา หยุดอยู่ตรงหน้าลูเมี่ยน เอนตัวเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มพร้อมกับกล่าวเสียงทุ้มเจือรอยยิ้ม
“การเข้าฌานไม่มีประโยชน์ใช่ไหมล่ะ”
อะไรกัน… มันรู้ได้ยังไง? ลูเมี่ยนมองตาอีกฝ่ายด้วยอาการตกตะลึงพรึงเพริด
ด้วยระยะห่างเท่านี้ ภายใต้ฮู้ดคลุมหัว เขามองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ยังวัยรุ่น อายุราวสิบแปดสิบเก้า แขนขาเพรียวบาง ผมสั้นสีดำเข้ม นัยน์ตาสีฟ้าอ่อน เค้าโครงใบหน้าชัดลึก ถือว่าหล่อเหลาเอาการ
นี่มัน… ลูเมี่ยนทำตาแข็งค้าง
เขาคุ้นเคยกับใบหน้านี้ดี เพราะเห็นทุกวันเวลาส่องกระจก
เป็นตัวเขาเอง!
……………………………………………………..