ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 102 ย้ายถิ่น
ตอนที่ 102 ย้ายถิ่น
คั้งคั้งคั้ง!
ไรอันถอยหลังอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังต้านรับการโจมตีอันบ้าคลั่งของคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีไว้ได้
ยามนี้ปิแยร์·แบรีมีดวงตาแดงก่ำ แววตามิได้อ่อนโยนยิ้มแย้มเหมือนเคย คล้ายกับปลดปล่อยความดุร้ายจากก้นบึ้งจิตใจออกมาอย่างสมบูรณ์แล้ว
ขณะท่อนแขนที่แปลกประหลาด บ้างดำมืดบ้างขาวซีด ยื่นยาวออกจากเงามืด จับคว้าไปที่ไรอัน ก่อกวนการเคลื่อนไหวของเขา ปิแยร์·แบรีเงื้อขวานสูงอีกครั้ง แล้วเล็งสับใส่ศีรษะศัตรูเต็มแรง
คราวนี้ไรอันมิได้พยายามป้องกันตัวเพื่อลดแรงกระแทก ไม่แม้แต่จะยก ‘ดาบแสงแรก’ ขึ้นมาปัดป้องด้วยซ้ำ
เขาเพียงหันกายไปด้านข้าง ปล่อยให้ท่อนแขนอันน่าพรั่นพรึงหรือบิดเบี้ยวเหล่านั้น จับคว้าเข้าที่ขาของตน ปล่อยให้คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีสับขวานลงบนไหล่
คั้ง!
เกราะสีเงินวาวตรงไหล่เกิดรอยร้าวคล้ายใยแมงมุม แสงสว่างสีขาวหลุดลอกอย่างต่อเนื่องแล้วสลายไปในอากาศ
ไรอันกัดฟันข่มความเจ็บปวด ยอมจำนนต่อสถานการณ์ตรงหน้า เพียงแต่คุกเข่าลงหนึ่งข้าง ปักดาบแสงแรกลงไปบนพื้นชั้นสองของบ้าน
เขาเชื่อว่าตนแยกกับพวกพ้องนานเกินไปแล้ว ต้องทำทุกวิถีทางให้ได้กลับมารวมกันโดยเร็ว
อำนาจของทีมยิ่งใหญ่กว่าฝีมือเดี่ยวๆ ของแต่ละคน!
เพียงหนึ่งกะพริบตา ดาบยักษ์ที่เกิดจากการควบแน่นแสงก็ระเบิดออก
ดาบทั้งเล่มแปรเปลี่ยนเป็นอนุภาคแสงจำนวนนับไม่ถ้วน หมุนวนกลายเป็นพายุอันเกรี้ยวกราดซัดใส่คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีตรงหน้า
การโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวนี้ เปี่ยมล้นด้วยเจตจำนงแห่งการทำลายล้าง ทำเอาปิแยร์·แบรีตื่นตระหนกจนไม่อาจยับยั้ง
มันไม่แยแสท่อนแขนประหลาดที่ยื่นยาวจากเงามืด เพียงรีบหนีกลับเข้าไปในเงา
พายุอันแหลมคมที่ประกอบจากแสงสว่างบริสุทธิ์ กลืนกินมิติโดยรอบในพริบตา ฟาดฟันทุกสรรพสิ่งในเงามืดรวมถึงท่อนแขนประหลาดจนแหลกเป็นชิ้นๆ
‘พายุแสง’ ถือเป็นการโจมตีวงกว้าง แม้ไรอันจะพยายามควบคุมขอบเขตให้จำกัดเฉพาะศัตรูตรงหน้า แต่ก็เลี่ยงการสร้างความฉิบหายในทิศทางอื่นไม่ได้
ด้วยความเงียบงัน ผนังห้องนอนของลูเมี่ยนและห้องนอนของโอลัวร์ พังทลายลงอย่างพร้อมเพรียง กลายเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ท่ามกลางพายุอันน่าหวาดหวั่น
ใกล้กับระเบียง เมื่อเหล่าเถาวัลย์ที่ห้อยลงจากเพดานถูกฉีกเป็นชิ้นๆ พร้อมกับปลิวว่อนพริบตา กระทั่งหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก็ยังต้องรีบหนีอย่างทุลักทุเล
มันบินออกจากบ้านของโอลัวร์ ผิวกายเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนสีเลือด
ครืนนน!
ครึ่งหนึ่งของหลังคาถูกพัดปลิวไปแล้ว พื้นของชั้นสองเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หลายจุดสามารถมองเห็นเตาไฟบนชั้นหนึ่งได้โดยตรง
ลีอาก็ถูกพายุแสงกลืนกินเช่นกัน แต่ร่างของเธอเปลี่ยนไปในพริบตา กลายเป็นกระดาษคนที่ถูกป่นเป็นผง
เมื่อพายุอันน่าสะพรึงกลัวสงบลง หญิงสาวปรากฏตัวในห้องอ่านหนังสือที่เหลือจุดให้ยืนอยู่ไม่มาก
ไรอันทราบดีว่าอีกฝ่ายมี ‘กระดาษคนตัวแทน’ จึงกล้าที่โหมกระหน่ำโจมตีใส่คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีในสภาพแวดล้อมอันคับแคบนี้
ส่วนโอลัวร์และลูเมี่ยน สองพี่น้องในห้องด้านข้าง รวมถึงวาเลนไทน์ที่อยู่ตรงระเบียงด้านหลัง สองคนแรกอยู่ในห้องที่มีกำแพงหนาๆ ขวางกั้น คอยลดทอนความเสียหาย ส่วนอีกคนอยู่ห่างไกล และระหว่างลงมือ ไรอันพยายามควบคุมทิศทางของพายุอย่างเต็มที่แล้ว แม้ว่าจะสะกดวิถีได้ไม่มาก แต่ก็ยังพอส่งผลอยู่บ้าง
หลังจากชั่งน้ำหนักภาพรวมของเหตุการณ์ เขาจำเป็นต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด หวังพึ่งพาการโจมตีที่สามารถพลิกกระแสสงคราม
แสงจันทร์สีแดงเข้มและแสงดาวอันอ่อนโยน ส่องผ่านหลังคาที่พังทลายลงมา ไรอันรีบกวาดตามองรอบตัว แต่ก็ไม่พบโอลัวร์หรือลูเมี่ยน เห็นเพียงลีอาที่วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเซียวเขียวคล้ำ ส่วนวาเลนไทน์นอนหมดสติอยู่ตรงระเบียง เนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลที่เกิดจาก ‘พายุแสง’ แต่ไม่ถึงกับถึงชีวิต
เมื่อเห็นว่าสภาพของเพื่อนร่วมงานย่ำแย่ลงตามลำดับ ไรอันไม่มีเวลามัวมองหาคนอื่น รีบยื่นมือโอบไหล่ลีอา พาเธอกระโดดรวดเดียวไปถึงระเบียง
นักรบรายนี้ยกร่างวาเลนไทน์ด้วยมืออีกข้าง แล้วกระโดดลงจากบ้านของลูเมี่ยน
เขายังคงพึ่งพาเกราะ ‘รุ่งอรุณ’ สีเงินวาวที่ยังพังทลายไม่สมบูรณ์ ต้านรับการโจมตีที่เข้าหาจากมุมมืด พลางเร่งฝีเท้าวิ่งออกนอกหมู่บ้านกอร์ตู หนีไปยังทุ่งหญ้าราบสูงที่ใกล้ที่สุด
เมื่อไปถึงที่นั่น พวกเขาสามารถตั้งรับโดยอาศัยข้อได้เปรียบด้านภูมิประเทศ อีกทั้งยังสามารถถอยหลังลงจากหน้าผา เพื่อหลบหนีออกจาก ‘เขต’ พร้อมกับกระตุ้นให้วัฏจักรเริ่มใหม่
หลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ลอยอยู่กลางอากาศ หมดสิทธิ์ไล่ตามอัศวินรุ่งอรุณที่วิ่งหนีเต็มฝีเท้า
บนพื้นดินด้านล่างมัน จากเงาดำริมขอบบ้าน คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีย่างกรายออกมา
เสื้อคลุมยาวสีเข้มของมันชำรุดทรุดโทรมอย่างหนัก ไม่เหลือฮู้ดคลุมหัวแล้ว ตามใบหน้า หน้าอก และขาเต็มไปด้วยรอยบาดจากดาบ เลือดสดไหลซึมไม่หยุด ดูแล้วสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
หากมิใช่เพราะมันสลับเงาของตนกับเงาของชาวบ้านคนหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญ ป่านนี้แม้แต่ศพก็เกรงว่าคงไม่เหลือ
แน่นอน ชาวบ้านที่ถูกสลับกับเงาของมัน กลายเป็นเศษชิ้นเนื้อบดอย่างไม่ต้องสงสัย
………
เนื่องจากบุปผามารนรกถูกทำลายอย่างรวดเร็วโดย ‘พายุแสง’ ของไรอัน วาเลนไทน์จึงไม่ได้รับฤทธิ์ ‘ยาชา’ มากนัก ยังไม่ทันออกจากหมู่บ้านกอร์ตูก็ฟื้นคืนสติกลับมา
“สถานการณ์เป็นยังไง?” เขาถามขณะถูกลมพัดเข้าปาก
ไรอันที่กำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ไม่อาจอธิบายอย่างละเอียด เพียงแต่ตอบสั้นๆ ว่า
“ช่วยลีอาก่อน!”
วาเลนไทน์รีบหันไปมองลีอาที่ถูกไรอันพยุงไหล่ และเห็นใบหน้าอันซีดเซียวเขียวคล้ำ ภาษากายดูไม่ดีเอาเสียเลย
โดยไม่ลังเล วาเลนไทน์เหยียดมือข้างหนึ่งอย่างยากลำบาก ใช้มันกดลงบนหัวไหล่ลีอา
“สุริยัน!”
เขาตะโกนด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ
หยาดของเหลวสีทองกึ่งโปร่งใส ควบแน่นจากอากาศว่างเปล่า หยดลงบนตัวลีอา
ใบหน้าของลีอาบิดเบี้ยวเหยเกทันที ร่างกายปล่อยควันสีเขียวออกมา
ไม่เกินสองวินาที ร่างอันโปร่งใสของฌิบริลก็ถูก ‘สกัด’ ออกมา สีหน้าแววตาท่วมท้นด้วยความประหลาดใจเจือหวาดผวาโดยไม่พยายามเก็บซ่อน
คล้ายกับไม่อยากเชื่อว่าตนถูกปัดเป่าออกจากร่างลีอาแล้ว
วินาทีถัดมา เปลวไฟมายาสีทองอุบัติขึ้นจากความว่างเปล่า แผดเผาวิญญาณแปลกปลอมนี้จนกลายเป็นหยดของเหลวคล้ายเทียนไข
ฌิบริลกรีดร้องพลางสาปแช่งด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากชะตากรรมการถูกชำระล้าง
หนนี้เธอไม่สามารถ ‘เกิดใหม่’ ในร่างของวาเลนไทน์
“สิ่งสกปรก!” วาเลนไทน์คำรามต่ำสาปแช่ง
………
“ไล่ตามไปไหม?” คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีเงยหน้าถามหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ถึงแม้สภาพร่างกายจะไม่สู้ดีนัก แต่มันยังฮึกเหิม
กิโยม·เบเนต์ครุ่นคิดหลายวินาที แล้วจึงให้คำตอบ
“ไม่ต้องหรอก ที่นี่สำคัญกว่า…”
“พวกมันไม่มีทางทำอะไรได้ในระยะเวลาสั้นๆ อย่างมากแค่สอดแนมและยืนยันสถานการณ์ สำหรับเราแล้ว แค่นั้นไม่ถือเป็นปัญหา”
พูดจบ คิ้วของมันพลันขมวด ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงต่ำ
“ฌิบริลตายแล้ว”
“ไม่ใช่ว่าเธอ ‘เกิดใหม่’ ได้หรือไง?” ปิแยร์·แบรีถามอย่างประหลาดใจ
มันมิได้เสียใจกับการตายของพี่สาวร่วมสายเลือดสักเท่าไร
กิโยม·เบเนต์สบถอย่างอดไม่ได้
“ฉันคอยเน้นย้ำปากเปียกปากแฉะว่าไม่ให้เล่น ‘เกิดใหม่’ ต่อหน้าพวกผู้วิเศษของทางการ… พลัง ‘เกิดใหม่’ ที่ลำดับแค่นี้ยอมถูกอำนาจของ ‘สุริยัน’ ต่อต้านได้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ยอมฟังกันบ้างเลย…”
“เสียของ! สิ้นเปลืองพรของพระองค์จริงๆ!”
………
ลูเมี่ยนรีบเลิกเปลือกตา และได้พบกับหมอกสีเทาบางๆ รวมถึงเพดานอันคุ้นเคย
หลังจากหมดสติไป เขาตื่นขึ้นมาในดินแดนความฝันซากปรักหักพัง
ลูเมี่ยนบรรจงลุกนั่งบนเตียง หายใจเข้าออกเป็นจังหวะลึก
ย้อนกลับไปตอนที่ถูกโอลัวร์โจมตีใส่ เด็กหนุ่มรู้สึกผิดหวังและสิ้นหวังอย่างแท้จริง ความท้อแท้และยอมจำนนเอ่อล้นในหัวใจ
ชีวิตอันสวยสดงดงามที่เธอมอบให้ ช่วงชีวิตดีๆ ตลอดห้าปีหลัง
ถ้าอยากจะเอาคืน ก็เชิญนำกลับไปได้เลย
ฟู่ว… ลูเมี่ยนหายใจออกเฮือกยาว ในใจผุดสองเรื่องอย่างแจ่มชัด
“นั่นมิใช่โอลัวร์ แต่เป็นร่างที่ถูกสัตว์ประหลาดควบคุม!”
“ถ้าเรายอมแพ้ตอนนี้ ก็เท่ากับเป็นการส่งพี่ไปให้กับสัตว์ประหลาด… เท่ากับเป็นการทำลายความหวังสุดท้ายที่พี่ฝากไว้กับเรา!”
ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน ความมุ่งมั่นกลับมาแน่วแน่อีกครั้ง
เด็กหนุ่มมองไปทางหน้าต่าง เห็นขวดเหล้ากลั่น ดอกสายน้ำผึ้ง บางส่วนของเถาองุ่น และผงแหนแดงวางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ
มาดามคนนั้นส่งวัตถุดิบเข้ามาให้? เธอเห็นเราถูกโจมตีเมื่อครู่ไหม? แล้วทำไมถึงไม่… ลูเมี่ยนส่ายหน้า สลัดความคิดส่วนที่เหลือทิ้งไป
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ตนพึ่งพาได้เพียงตัวเองกับพวกพ้องเท่านั้น คนอื่นแม้จะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่อาจทำอะไรได้มาก!
ลูเมี่ยนไม่มัวลีลา นำอุปกรณ์ที่ใช้ผสมโอสถ ‘นักล่า’ คราวก่อนออกมา เทเหล้ากลั่น 50 มิลลิลิตรลงในแก้วเบียร์
ดอกสายน้ำผึ้ง ผงเถาองุ่น และผงแหนแดงถูกหยิบใส่ตามลงไป และสุดท้ายคือ ‘หิน’ ที่ส่งกลิ่นเหม็นบรรลัย พื้นผิวดูคล้ายกับมีของเหลวสีดำไหลเวียน
ท่ามกลางเสียงซู่ซ่า ตะกอนพลังของนักยั่วยุเริ่มละลาย ส่วนดอกสายน้ำผึ้งละลายไปก่อนแล้ว
ในแก้วเบียร์ ของเหลวที่เดิมไร้สีกลายเป็นสีดำ หนืดข้นมากขึ้น ลูเมี่ยนเพียงแค่มองโอสถก็รู้สึกอยากเททิ้งแล้วใช้เท้ายีซ้ำ
เด็กหนุ่มรวบรวมสติ อาศัยการเข้าฌานผิวเผินเพื่อทำให้ใจสงบ ปรับปรุงสติสัมปชัญญะของตน
ผ่านไปไม่กี่วินาที ลูเมี่ยนยกแก้วเบียร์ขึ้นโดยปราศจากความลังเล กระดกดื่มโอสถนักยั่วยุที่มีรสชาติหมาไม่แดกซ้ำยังส่งกลิ่นสุดระยำ
เพียงวางแก้วลง อวัยวะภายในเริ่มหนักอึ้ง ยังกับว่าพวกมันกำลังหล่นลง
ลูเมี่ยนที่เคยมีประสบการณ์มาแล้ว นั่งขัดสมาธิบนพื้นห้อง หลับตาสนิทมิดชิด เฝ้ารอการเปลี่ยนแปลงในระลอกถัดไป
จังหวะการหายใจกลายเป็นร้อนแรงเร่งรีบ ห้วงอารมณ์เริ่มขาดเสถียรภาพ บ้างก็โกรธจัด บ้างก็เศร้าซึม บ้างก็ผิดหวัง และบ้างก็ตื่นเต้น
ขณะเดียวกัน เสียงที่คล้ายดังมาจากไกลอนันต์แต่ก็ใกล้มหันต์ดังขึ้นตามคาด มอบความเจ็บปวดแสนสาหัสปานประหนึ่งถูกเหล็กแทงใส่ขมับโดยตรง
ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยดี เข้าครอบงำสมองลูเมี่ยนทุกภาคส่วน แต่ก็ยังหลงเหลือเจตจำนงบางอย่างที่ไม่มีวันถูกลบเลือน
“เราต้องทำให้สำเร็จ!”
“เราต้องไขปริศนาของความฝัน!”
“เราต้องช่วยโอลัวร์ให้ได้!”
“เราต้องยุติวัฏจักรของหมู่บ้านกอร์ตู!”
ความรู้สึกคล้ายถูกเผาทั้งเป็น คล้ายร่างกายถูกฉีก รวมถึงภาพหลอนของอาการคลุ้มคลั่ง คอยวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด
ลูเมี่ยนยังคงกัดฟันทนไว้โดยไม่ลืมตา ไม่เปลี่ยนท่านั่งขัดสมาธิ
เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเรือเล็กท่ามกลางมรสุม ถูกคลื่นและพายุกระโชกโยกไปโยนมา ทรงตัวได้ยากลำบากยิ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับจมลงไป
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ความเจ็บปวดเริ่มซาลง ความกระหายเลือดและความบ้าคลั่งถูกขับไล่ออกจากหัวสมองของลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้น รับรู้ได้ว่าตนกลายเป็นลำดับ 8 ‘นักยั่วยุ’ เรียบร้อยแล้ว
……………………………………………………..