ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 10 เลือด
ตอนที่ 10 เลือด
พอก้าวออกจากประตู ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนได้เข้ามายังโลกอีกใบ
แทนที่จะเป็นหมู่บ้านกอร์ตูที่คุ้นเคย เด็กหนุ่มเห็นภูเขาฉาบไปด้วยสีโทนแดงเข้ม ล้อมด้วยวงแหวนซากปรักหักพังอาคารที่ดูพิลึกพิลั่น
หมอกซีดๆ บนท้องฟ้าสูงกระจุกตัวหนาแน่นอย่างยิ่ง จนแสงส่องทะลุลงมาแทบไม่ได้ ผืนดินแตกระแหงและเต็มไปด้วยหิน ลูเมี่ยนถือขวานเยื้องย่างอย่างระมัดระวัง ตลอดทางไม่พบที่กำบังสำหรับซ่อนตัว
ไม่มีแม้กระทั่งวัชพืชหรือร่องรอยของต้นไม้
ลูเมี่ยนเดินหลังงอด้วยท่าทีประหวั่น คอยปลอบตัวเองด้วยความคิดทำนองว่า หากมีอันตรายใดรุกล้ำเข้ามา มันก็ต้องแจ่มแจ้งจนตรวจพบได้ง่ายดาย
เมื่อมาถึงซากปรักหักพัง เด็กหนุ่มเดินเข้าใกล้ตึกที่ไหม้ไปกว่าครึ่ง
เฝ้าสังเกตอยู่สักพักจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นด้านใน ลูเมี่ยนขยับเข้าไปอย่างรอบคอบ หลีกเลี่ยงท่อนไม้ไหม้เกรียมที่พร้อมจะตกใส่กบาลทุกเมื่อ พลางเริ่มลงมือค้นหา
สายตากวาดไปทั่วห้องจนกระทั่งพบว่า ตรงมุมหนึ่งด้านในไหดินเผาใบที่แตก มีประกายสีทองวิบวับออกมา
ลูเมี่ยนค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ จนพบว่ามันคือเหรียญทอง
…ของจริง? ขุมทรัพย์ในซากปรักหักพังแห่งความฝัน? เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองขณะหยิบเหรียญขึ้นมาถูกับเสื้อผ้า
จนกระทั่งเห็นลวดลายบนผิวเหรียญทอง
ฝั่ง ‘หัว’ แกะสลักศีรษะผู้ชายหน้าเรียว ผมหวีแสกอัตราส่วนสามต่อหนึ่ง เหนือริมฝีปากมีหนวดฝั่งละแถบ แววตาแน่วแน่
ฝั่ง ‘ก้อย’ มีพวงดอกโกฐสอเทศรายล้อมตัวเลข ‘20’
ลูเมี่ยนจำชายคนนี้ได้ เขาคือเลวองก์ ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐอินทิส
“ลูอิดอร์จริงๆ …” ลูเมี่ยนค่อนข้างประหลาดใจ
ประการแรก เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับเหรียญที่ใช้กันจริงๆ ในสาธารณรัฐอินทิส จากซากปรักหักพังของความฝันพิสดาร
ประการที่สอง เขาอึ้งที่บังเอิญค้นพบของมีค่าอย่างเหรียญทองลูอิดอร์
สกุลเงินหลักของสาธารณรัฐอินทิสในปัจจุบันคือ ‘เฟลคิน’ กับ ‘โกเปต์’ โดยหนึ่งเฟลคินมีค่าเท่ากับหนึ่งร้อยโกเปต์
โกเปต์มีอยู่สองรูปแบบ—เหรียญทองแดงและเหรียญเงิน เหรียญทองแดงจะมีหนึ่งโกเปต์ ห้าโกเปต์ และสิบโกเปต์ ส่วนเหรียญเงินจะมียี่สิบโกเปต์และห้าสิบโกเปต์
เฟลคินสามารถอยู่ในรูปแบบของเหรียญเงิน เหรียญทอง และธนบัตร เหรียญเงินประกอบด้วยหนึ่งเฟลคิน ห้าเฟลคิน และสิบเฟลคิน ส่วนเหรียญทองจะมีห้าเฟลคิน สิบเฟลคิน ยี่สิบเฟลคิน สี่สิบเฟลคิน และห้าสิบเฟลคิน
ธนบัตรยิ่งมีหลากหลาย ไล่ตั้งแต่ห้า ยี่สิบ ห้าสิบ หนึ่งร้อย สองร้อย ห้าร้อย จนถึงหนึ่งพันเฟลคิน
ในชีวิตประจำวัน ชาวอินทิสยังเคยชินกับการใช้สกุลเงินเก่าอยู่ เช่นเหรียญที่ถูกใช้บ่อยที่สุดอย่างเหรียญทองแดงห้าโกเปต์ จะถูกเรียกว่า ‘ริกต์’
ในทำนองเดียวกัน เหรียญทองที่มีค่ายี่สิบเฟลคินจะถูกเรียกว่า ‘ลูอิดอร์’
ในสกุลเงินแบบเก่า ลูอิดอร์ถูกเรียกว่า ‘โรซายล์ดอร์’ แต่หลังจากเปลี่ยนระบบการปกครองของอินทิสให้เป็นสาธารณรัฐ เพื่อที่จะขจัดอิทธิพลของจักรพรรดิโรซายล์ คำเรียกของเหรียญยี่สิบเฟลคินจึงถูกเปลี่ยนเป็น ‘ลูอิดอร์’ แทน
เท่าที่ลูเมี่ยนทราบ แม้มันจะไม่มากมายอะไรสำหรับคนเมือง แต่ในแถบชนบทอย่างหมู่บ้านกอร์ตู หนึ่งลูอิดอร์สามารถเลี้ยงครอบครัวจนๆ ได้นานนับเดือน
หากมิใช่เพราะโอลัวร์มีรายได้ค่อนข้างมั่นคง ลูเมี่ยนคงไม่เคยเห็นหน้าตาของลูอิดอร์มาก่อน ทั่วทั้งหมู่บ้านกอร์ตู ถ้าไม่นับเขากับพี่สาว มีเพียงครอบครัวของหลวงพ่อและครอบครัวเจ้าหน้าที่ปกครองเท่านั้นที่เคยเห็นหรือครอบครองเหรียญลูอิดอร์
สำหรับชาวบ้านทุกคน ลูอิดอร์เหรียญนี้เปรียบดังขุมทรัพย์ที่ควรค่าแก่การหวงแหน
“น่าเสียดาย…ดันเป็นแค่ความฝัน” ลูเมี่ยนถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพลังเหนือธรรมชาติ คง ‘นำ’ ออกจากฝันไม่ได้
แม้จะทราบเช่นนั้น ลูเมี่ยนยังคงเก็บลูอิดอร์ไว้อย่างทะนุถนอม อดีตสมัยที่เคยเร่ร่อนสอนให้เขาเห็นคุณค่าของทุกโกเปต์
หนึ่งลูอิดอร์มีค่าเท่ากับสองพันโกเปต์ เทียบได้กับหนึ่งทองปอนด์ของอาณาจักรโลเอ็นหรืออาจน้อยกว่าเล็กน้อย อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ ต้องใช้ราวๆ ยี่สิบสี่เฟลคินถึงจะแลกได้หนึ่งทองปอนด์โลเอ็น
ลูเมี่ยนยังคงเดินหน้าค้นหา
เขาอยากหาสิ่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อยืนยันถิ่นที่ตั้งของซากปรักหักพัง จะได้ทราบว่าที่นี่สอดคล้องกับสถานที่จริงหรือไม่ หรือเป็นหมู่บ้านในสาธารณรัฐอินทิสที่ถูก ‘ย้าย’ เข้ามาในความฝันอย่างสมบูรณ์กันแน่ การได้เห็นลูอิดอร์ช่วยจุดประกายแนวคิดดังกล่าวให้ลูเมี่ยน
ระหว่างเดินไปทีละก้าว ลูเมี่ยนสังเกตเห็นคราบจางๆ สีแดงเข้มรอบๆ สิ่งที่น่าจะเป็นเตาถ่าน
“เลือด?” รูม่านตาเด็กหนุ่มขยายกว้างพร้อมกับตั้งสมมติฐาน
จากนั้นก็ใช้ดุลพินิจ
แม้จะไม่ใช่เลือดสดๆ แต่ก็ไม่เก่าเช่นกัน ยังไม่เปลี่ยนเป็นสีดำ ราวกับเพิ่งหยดเมื่อสองถึงสามวันก่อน
หรืออาจจะน้อยกว่านั้น!
ขณะรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด ลูเมี่ยนพบว่าแสงรอบๆ ตัวสลัวลงเล็กน้อย
คล้ายกับมีบางสิ่งลอบเร้นเคลื่อนไหวบนหลังคาที่ถล่มไปกว่าครึ่ง สิ่งนั้นกีดขวางแสงจางๆ ที่อุตส่าห์เล็ดลอดผ่านหมอกหนาลงมา!
ประสบการณ์เมื่อครั้งถูกลอบจู่โจมสมัยยังเร่ร่อน ถาโถมห้วงความคิดของลูเมี่ยนดุจดังคลื่นยักษ์ กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองตามสัญชาตญาณ
เขากระโดดพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิด เก็บคองอเข่ากลางอากาศ แล้วกลิ้งไปบนพื้นด้วยแรงส่ง
ตุบ!
บางสิ่งที่มีน้ำหนักมากหล่นลงมาจากด้านหลัง
ลูเมี่ยนกลิ้งไปทางซ้ายของเตาถ่านที่ชำรุด แล้วใช้มือยันไว้กับก้อนหินเพื่อสร้างจุดหมุนให้กับร่างกาย
เด็กหนุ่มยกขวาน ตาแลเห็นอีกหนึ่งร่างยืนอยู่ตรงตำแหน่งเมื่อสักครู่ของตน
ท่ามกลางแสงสลัว ลูเมี่ยนไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์
‘เขา’ หลังค่อม ไม่ใส่เสื้อผ้าหรือรองเท้า ผิวหนังคล้ายถูกลอกจนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีแดง เส้นเลือด และพังผืดสีเหลือง ของเหลวข้นๆ ไหลไปตามพื้นผิวโดยไม่หยดลงพื้น
สัตว์ประหลาด!
ตาของ ‘เขา’ มีสีขาวมากกว่าฟ้า คล้ายฝังแน่นไปกับใบหน้า ในปากที่อ้ากว้างมีฟันไม่สม่ำเสมอ น้ำลายไหลย้อยยืดยาว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ลูเมี่ยนแต่งเรื่องผีมานับไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยคิดว่าวันนี้จะได้พานพบกับสิ่งที่สามารถพรรณนาว่าเป็นผีร้าย!
สายลมเหม็นคาวเลือดพัดปะทะเด็กหนุ่ม เสียงหายใจหนักๆ แทรกซึมมาถึงโสตประสาท
ลูเมี่ยนรีบฉากหลบไปด้านข้างตามสัญชาตญาณ หวังหลบการโจมตีของสัตว์ประหลาดตัวสีแดงปานเลือดสด
หากมิใช่เพราะได้รับ ‘คำแนะนำ’ จากโอลัวร์อยู่เป็นประจำ หากไม่มีประสบการณ์ต่อสู้ทั้งตอนซ้อมและข้างถนน เขาคงตอบสนองได้ไม่ทันท่วงที โดยเฉพาะด้วยร่างกายและจิตใจที่กำลังหวาดผวา
หลังจากคืนความเยือกเย็น ลูเมี่ยนถลันเข้าหาสัตว์ประหลาดที่โจมตีเป้าหมายพลาด ยกขวานขึ้นแล้วสับใส่แผ่นหลังของมันเต็มแรง
เฉาะ!
สัตว์ประหลาดที่เตรียมหันหลังกลับ ถูกกระแทกจนล้มลง เลือดและหนองสาดกระจายไปตามพื้น
โดยไม่ลังเล ลูเมี่ยนคุกเข่าลงหนึ่งข้างแล้วยกขวานอีกครั้ง
ฉ่อก! ฉ่อก! ฉ่อก!
เด็กหนุ่มสับรัว แต่ละดอกฝังลึกเข้าไปในเนื้อจนเกิดรอยแยกลึกและกว้าง ไม่นานท้ายทอย ลำคอ และแผ่นหลังของมันต้องพินาศยับเยิน
ในที่สุดสัตว์ประหลาดก็เลิกดิ้นรน เพียงนอนแน่นิ่ง
“แฮ่ก…แฮก! ไม่เจ๋งเหมือนหน้าตาเลยนี่หว่า…” ลูเมี่ยนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ปากกระซิบกระซาบเยาะเย้ย
เด็กหนุ่มเช็ดใบหน้าด้วยมือซ้าย ปาดเลือดจำนวนหนึ่งทิ้งไป
“ของเหลวจากไอ้เวรนี่มีพิษไหมนะ…ตอนนี้ยังไม่รู้สึกว่าถูกกัดเซาะ…ยังไม่เจ็บปวด…” ลูเมี่ยนเริ่มกังวลกับปัญหาอื่น
ระหว่างที่รวบรวมความกล้าเพื่อค้นตัวซากศพ สิ่งมีชีวิตสีเลือดสดไร้หนัง พลันใช้มือดันตัวเองเพื่อดีดตัวกลับขึ้นมายืนอีกครั้ง!
มันยังไม่ตาย?
สภาพเละเทะขนาดนี้ยังมีชีวิตอยู่ได้?
ลูเมี่ยนทั้งผวาและตกใจ
จำเป็นต้องยอมรับว่า ตอนนี้เขากำลังขวัญหนีดีฝ่อสุดๆ
หากเผชิญหน้ากับมนุษย์ปกติ สัตว์ร้าย หรือสัตว์ประหลาด ต่อให้ชนะไม่ได้ แต่เขาคงไม่หวาดกลัวเท่านี้
สิ่งมีชีวิตตรงหน้าทำตัวราวกับไม่มีวันตาย ความพยายามทั้งหมดต้องกลายเป็นหมัน!
ฉวยโอกาสระหว่างที่สัตว์ประหลาดยังสับสนและหาศัตรูของมันไม่เจอ ลูเมี่ยนคิดไวทำไว ถีบเท้าสุดแรงเกิดพร้อมกับส่งพลังไปที่หัวเข่าเพื่อสับตีนแตก!
ตึก! ตึก! ตึก!
เด็กหนุ่มวิ่งเต็มฝีเท้า แต่กลับยังสัมผัสถึงลมหายใจจางๆ รดต้นคอ และเสียงหายใจหนักแน่นดังก้องอยู่ในโสตประสาท
สัตว์ประหลาดกำลังไล่หลังมาติดๆ
กัดกรามจนแทบแตก ลูเมี่ยนพบว่าความกลัวช่วยมอบพละกำลังเหนือธรรมมาให้ชั่วคราว
เขาวิ่งเร็วกว่าเดิม ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมของตัวเอง
เด็กหนุ่มโล่งใจเมื่อพบว่าสัตว์ประหลาดไม่ได้อยู่ใกล้ๆ อีกต่อไป
ตึก! ตึก! ตึก!
ในที่สุดลูเมี่ยนก็กลับถึงบ้านสองชั้นครึ่งรวมใต้ดินของตน
เขาเปิดประตูที่ไม่ได้ล็อกแล้วรีบปรี่เข้าไป
โครม!
เด็กหนุ่มรีบกระแทกประตูปิด
ไม่คิดจะหยุดพักเหนื่อย ลูเมี่ยนรีบวิ่งไปที่เตาแล้วหยิบส้อมเหล็กยาวที่พิงอยู่กับกำแพง
จากนั้นก็เพ่งสายตาไปที่ประตูบ้าน
เสียงวิ่งของสัตว์ประหลาดยังคงได้ยินเบาๆ จากด้านนอก แต่ผ่านไปหลายวินาทีกลับไม่มีสัญญาณการพังประตู
“มันรู้ว่าเราดักรออยู่?” ลูเมี่ยนไม่อยากยอมรับว่าสัตว์ประหลาดจะฉลาดขนาดนั้น
เด็กหนุ่มบรรจงขยับเข้าใกล้หน้าต่างใกล้ประตูหน้า แอบชะโงกออกไปอย่างลับๆ
ทันใดนั้น มีใบหน้าโผล่ขึ้นบนกระจก!
ใบหน้าปราศจากผิวหนัง ชุ่มไปด้วยเลือดเนื้อ และฟันที่ไม่สม่ำเสมอ!
หัวใจลูเมี่ยนแทบหยุดเต้น ร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะ
ทว่า สัตว์ประหลาดกลับไม่พยายามทุบกระจกหรือโจมตีเข้ามา เพียงจ้องลูเมี่ยนกลับ
ได้สติกลับมา ลูเมี่ยนรีบก้าวถอยหลัง ยกส้อมยาวๆ ขึ้นด้วยสองมือ
สัตว์ประหลาดเห็นดังนั้นจึงถอยออกจากแถวหน้าต่าง
ลูเมี่ยนยังคงรอบคอบสุดขีด ตาสอดส่องไม่หยุดพัก
เขาเห็นสัตว์ประหลาดเดินเอ้อระเหยท่ามกลางหมอกจางๆ อยู่สักพัก ก่อนจะถอยออกจากเขตบ้านแล้วตรงกลับไปทางซากปรักหักพัง
“…” ลูเมี่ยนพูดไม่ออกเป็นเวลานาน
เด็กหนุ่มเตรียมใจจะหาทางตรึงมันแล้วรีบหนีออกจากฝัน แต่อีกฝ่ายกลับหนีไปดื้อๆ…
ไตร่ตรองอยู่สักพัก เขาคำนึงถึงความเป็นไปได้
“สัตว์ประหลาดนั่นไม่กล้าเข้าบ้านเรา?”
“ไม่ผิดแน่…รอบๆ บ้านไม่มีร่องรอยความเสียหาย…”
“บ้านหลังนี้คือสถานที่ปลอดภัยในความฝัน?”
สันนิษฐานเสร็จ ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
วินาทีถัดมา เขาถูกความเมื่อยล้าเล่นงานอย่างแสนสาหัส
การวิ่งไล่จับในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้เด็กหนุ่มลิ้นห้อยยิ่งกว่าการฝึกวิชาต่อสู้ในตอนบ่าย
ถือส้อมยาวกับขวาน ลูเมี่ยนเดินขึ้นชั้นสอง เข้าห้องนอนและพยายามข่มตาหลับ
…
ในสภาพสะลึมสะลือ ลูเมี่ยนเลิกเปลือกตาขึ้น
นอกหน้าต่างยังมืดอยู่ แสงในห้องยังคงสลัว
หากมิใช่เพราะหมอกสีเทาหายไป หากมิใช่เพราะเสื้อผ้าเปลี่ยนกลับเป็นชุดนอน ลูเมี่ยนคงบอกไม่ได้ว่านี่คือความจริงหรือฝัน
“ตกใจจนตื่นแต่เช้า…?” เด็กหนุ่มล้วงกระเป๋าชุดนอนตามจิตใต้สำนึก แต่ก็ไม่พบลูอิดอร์
ผลลัพธ์สร้างความผิดหวังให้เล็กน้อย แต่ก็ช่วยยืนยันข้อเท็จจริง
เอาเงินออกมาจากความฝันไม่ได้!
หลังจากจัดระเบียบความคิด ลูเมี่ยนเริ่มไตร่ตรองถึงปัญหาสำคัญ
จะจัดการกับสัตว์ประหลาดอมตะนั่นยังไง?
แม้จะเลี่ยงเขตดังกล่าวแล้วเข้าไปสำรวจเงียบๆ ได้ แต่เขาก็ต้องคำนึงถึงโอกาสในการปะทะกับสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงกันในอนาคต จำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือล่วงหน้า ห้ามทำเหมือนชีวิตเป็นของเล่นเด็ดขาด
…………………………………………………….