รักของเรา เริ่มต้นจากคืนนั้น - ตอนที่ 46คุ้มค่าพอที่จะหมายปอง
เฉิงอี้เฉินเดินมาที่โต๊ะทำงานของฉันแล้วเอื้อมมือมาจับมือฉันไว้ ใช้สายตาเย็นชามองสวีเฟยเฟยแล้วบอกว่า
”ไม่ใช่เรื่องของเธอที่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องของฉันกับยียี”
“พี่อี้เฉิน ฉันก็แค่….”
สวีเฟยเฟยรีบอธิบาย สีหน้าแสดงออกว่าเธอกำลังกังวล แต่ว่าเฉิงอี้เฉินจับมือฉันแล้วก็เดินออกจากห้องทำงานฉันเลย ปล่อยให้สวีเฟยเฟยอยู่คนเดียว
“มันคุยอะไรกับเธอบ้าง?”เขาลากฉันขึ้นลิฟต์ไป
“ไม่อะไรนิ ก็แค่ให้ฉัน….เลิกกับนาย”ฉันทำเป็นส่ายหัวอย่างชิวให้เขา เพื่อไม่ให้เขาเป็นห่วงฉัน แต่กลับดูถูกความกังวลของเขามากเกินไป
เขาถอนให้ใจเหมือนโล่งอกแล้วโอบไหล่ฉัน”ไม่ต้องไปสนใจส่งที่คนรอบข้างบอกหรอกนะ”
”
“อื้ม.”
ฉันตอบกลับเขาไปอย่างเบาเบา เพราะเขาเป็นห่วงเป็นใยจนฉันรู้สึกไม่สบายใจ ฉันเลยยิ้มตอบกลับไป แต่ใจกลับวุ่นวายเป็นโจ๊ก
อยากจะคบกับเฉิงอี้เฉินมันต้องเจอปัญหามากมาย แต่การหนีไม่ใช่วิธีแก้ไขที่ดีที่สุด ยังไงก็ต้องเผชิญกับมันให้รู้ไป
“ทางฝั่งแม่นาย…. ”ฉันทำไปเม้มริมฝีปากไป “ท่านโกรธมากเลยใช่ไหม?”
“อืม”เขาพยักหน้าตอบ “เธอไม่จำเป็นต้องไม่สนเรื่องพวกนี้ คนที่จะแต่งงานกับเธอคือฉัน อีอี”
“แต่ฉันไม่อยากให้นายมีปัญหากับคนในครอบครัวนาย”
สวีเฟยเฟยบอกว่าซ่งเสวี่ยเหมยป่วย ฉันไม่รู้ว่าท่านป่วยจริงหรือแค่แกล้งป่วย แต่ฉันเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกท่าน มันคงไม่ดีเท่าไหร่
การที่จะคบกับเฉิงอี้เฉิน อันดับแรกฉันจัดต้องการคนบ้านเฉิงให้ได้ก่อน ถึงแม้ซ่งเสวี่ยเหมยจะไม่ชอบฉันมากแค่ไหน ฉันก็ต้องทำให้ท่านยอมรับฉัน ไม่งั้นจะทำให้เฉิงอี้เฉินที่อยู่ระหว่างกลางอึดอัด ฉันและเขาก็คงไม่สงบสุขสักที
“รออีกไม่กี่วันฉันจะพาเธอกลับบ้าน ตอนนี้ท่านกำลังโกรธอยู่”
ฉันได้แต่พยักหน้า ไม่มีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
เฉิงอี้เฉินจงใจอยากให้คนในบริษัทรู้ว่าเรา “รักกัน” อาหารกลางวันเราสองคนเลยมากินที่ร้านอาหารในบริษัท
เมื่อกินข้าวเสร็จเขาบอกอนุญาตให้ฉันลาครึ่งวัน ฉันเอะใจว่าทำไมอยู่ดีดีเขาถึงให้ฉันหยุดครึ่งวัน แต่เขากลับบอกว่าให้ฉันไปเจอแม่ฉันบ้าง
ก่อนหน้านี้ถูกเขาลากกลับมา ไม่ได้จัดการย้ายโรงพยาบาลให้แม่ฉัน
แม่ฉันไม่รู้มาโดยตลอดว่าฉันคบกับเฉิงอี้เฉิน รู้แค่ว่าฉันอยู่ที่นี้มีงานมีดารที่ดีในเมืองไฮ้ ถึงแม้อาการของแม่จะปลอดภัยแล้ว แต่แม่ยังพักอยู่ที่โรงพยาบาลอำเภอเล่อ หนึ่งคือมีคนดูแลแม่ฉัน และสองก็ป้องกันอาการหนักขึ้นกะทันหัน
ช่วงนี้ฉันเอาแต่ยุ่งกับโปรเจ็กต์กวางหมิงติ้ง เลยไม่มีเวลาไปเยี่ยมแม่สักที ฉันละคิดถึงเขาจริงๆ และเฉิงอี้เฉินยังบอกอีกว่า มันถึงเวลาที่ฉันต้องพูดเรื่องเขาให้แม่ฉันฟังแล้ว
ในเมื่องานแต่ของเราสองคนก็เริ่มว่างแผนกันแล้ว คงใช้เวลาไม่มากก็จะจัดขึ้นแล้ว ตาม
ใจของเฉิงอี้เฉิงเขาอยากจะจัดงานให้อลังการ พอถึงเวลาแม่ของฉันอาจไม่รู้เรื่อง เลยต้องบอกให้แม่ก่อนเพื่อให้แม่ฉันเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน
ฉันเห็นด้วยกันเขาอยู่แล้ว เขาให้คนขับรถพาฉันไปที่อำเภอเล่อ แม่ดีใจมากเมื่อเห็นฉันมา ตอนที่ฉันไปแม่กำลังเดินเล่นในสวน แม่จับมือฉันแล้วถามเรื่องมากมาย แต่สายตาของแม่ในวันนี้กลับดูแปลกๆ
“แม่ ฉันมีอะไรจะบอกกับแม่”
“อืม พูดมาสิ ”แม่ฉันพยักหน้า
ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด จับมือแม่ไว้แน่นๆ ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
”ฉันจะแต่งงานแล้วนะ แม่”
ฉันทายว่าเวลาแม่ได้ยืนคงจะดีใจมากแน่ๆ แต่กลับไม่มีรอยยิ้มบนหน้าแม่เลย สายตาเขากลับดูกระวนกระวาย
“อีอี บอกแม่มา เธอไปทำเรื่องไม่ดีมาใช่ไหม ”แม่จับมือฉันแน่นขึ้น เสียงฟังดูกังวลและสั่นเล็กน้อย
ฉันอึงกับคำพูดแม่”เรื่องไม่ดีอะไร”
“เธอ…เธอกับผู้ชาย…….” แม่ขมวดคิ้ว อย่ากังวล และแม่ก็ไม่ได้พูดลงไปอีก ฉันก็พอจะเดาออก
“อีอี ถึงแม้แม่จะเรียนมาน้อย แต่แม่ไม่ได้โง่นะ เธอกับฉินจวิ้นเฟยพึ่งหย่ากัน แถมยังตกงานอีก เธอไปเอาเงินมาจากไหนมาให้ฉันอยู่ในโรงพยาบาลดีดีแบบนี้?!”
“ถึงแม้ก่อนหน้านี้คุณเฉิงจะช่วยพวกเราไว้ จากเมืองไห่มาอำเภอเล่อเธอมาได้ง่ายๆ และช่วงก่อนหน้านี้เธอกลับเมื่อไฮ้กะทันหัน ตอนนี้เสื้อผ้าที่ใส่ เครื่องประดับที่ใส่ แม่อาจไม่รู้ว่าแบรนด์อะไร แต่แม่ดูออกว่ามันไม่ใช่ของถูกๆเลยนะ บ้านเราจน แต่เราจะไม่ดูถูกร่างกายตัวเองเพราะเงินแน่นอน ”
แม่มองฉันด้วยสายตาที่เป็นห่วง ฉันแอบอึ่งกับสิ่งที่แม่พูด
เฉิงอี้เฉินกับฉันอยู่ด้วยกันเพราะเรื่องงาน พอพูดแบบนี้ฉันกับเขาก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่จริงใจระหว่างชายหญิง
ฉันแอบรู้สึกผิด ตอนนี้เฉิงอี้เฉิงขอฉันแต่งงานแล้ว ฉันก็รักเขามากๆ อยู่กับเขามีอะไรไม่ดีละ
“ไม่ใช่อย่างที่แม่คิดนะ ”ฉันพูดออกมาด้วยความตลก
ฉันไม่ได้สังเกตชัดเจนแบบแม่ เสื้อผ้าที่ฉันใส่มันไม่ถูกจริงๆ เสื้อที่ใส่และนาฬิกาข้อมือคือ Chanel ส่วนรองเท้าเป็นของ jimmychoo และมือก็สวมแหวนเม็ดใหญ่ไว้
ว่าด้วยความสามารถของฉัน คงซื้อของพวกนี้ไม่ได้จริงๆ แม้ก่อนที่จะรู้จักกับเฉิงอี้เฉินฉันก็ยังไม่เคยรู้จักแบรนด์พวกนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำไป
ฉันก็เคยปฏิเสธเรื่องเสื้อผ้าราคาแพงพวกนี้กับเขาเหมือนกัน แต่เขาบอกว่าฉันเป็นถึงผู้จัดการกลุ่มบริษัทเฉิง การที่จะใส่เสื้อผ้าธรรมดามันจะไม่ดีต่อบริษัท ทุกอย่างไม่ได้เพื่อฉันแต่เพื่อบริษัทต่างหาก
การใส่เสื้อผ้าราคาฟุ่มเฟือยแบบนี้ มันไม่ได้ทำให้ฉันดูสูงขึ้นหรอก แต่เส้นทางธุรกิจ สิ่งพวกนี้มันเป็นหน้าเป็นตาเป็น “หินเคาะประตู”เลยนะ อย่างน้อยฉันก็เป็นตัวแทนภาพลักษณ์บริษัท และก็ง่ายต่อการยึดใจลูกค้าและทำให้ลูกค้าเชื่อใจในบริษัทเรา
เฉิงอี้เฉิงบอกว่าพวกนี้แหละคือ”ชุดทำงาน”ของฉัน ฉันคิดว่าเขาพูดถูก ดังนั้นเวลาทำงานฉันใส่มันตลอด วันนี้ฉันมาอำเภอเล่อจากบริษัทเลยไม่ได้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า คิดไม่ถึงว่ามันจะทำให้แม่ไม่สบายใจ
แม่ฉันไม่ไว้ว่างใจอยู่ดี จับมือฉันแล้วบอกอีกว่า“อีอี สุขภาพแม่ไม่ค่อยดี เป็นภาระให้เธอตลอด การแต่งงานเป็นเรื่องทั้งชีวิต เธอห้ามหาใครที่ไหนแล้วแต่งงานเลยนะ ”
ฉันไม่ว่าควรจะซาบซึ้งหรือขำดี ฉันลังเลไปแปบหนึ่งก่อนที่เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้แม่ฟัง
ฉันบอกกับแม่ว่า คู่ที่จะแต่งงานด้วยก็คือคนที่เคยช่วยเหลือเราไว้คนนั้น ตอนแรกเขาเป็นเพราะรู้สึกผิดเลยช่วยเรา แต่พออยู่ไปอยู่มาฉันมีความรู้สึกกับเขามากขึ้น
แน่นอนว่าไม่ได้คุยเรื่องจดทะเบียนสมรสกับแม่ฉัน และก็ไม่ได้บอกเรื่องที่ซ่งเสวี่ยเหมยไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานด้วย ร่างกายของแม่ไม่สบายฉันกลัวพูดไปแล้วเขาอาจกระทบกระเทือน
“เรื่องมันก็คือแบบนี้คะแม่ เมื่อวานเขาขอฉันแต่งงาน นี้เป็นแหวนเพชรที่เขาให้ฉัน ”ฉันยื่นมือไปให้แม่ดูแหวน แม่ยิ้มจนตาปริบ
แม่อึงกับแหวนเพชรจนพูดอะไรไม่ออก
ฉันเอนหัวซบไหล่แม่ไว้แล้วพูดกับแม่ว่า “บางครั้งฉันก็คิดว่าฉันกำลังฝันนะเเม่ เคยรู้สึกว่าเขาไม่มีทางมาชอบเราเด็ดขาด แต่ว่าฉันไม่มีอะไรในตัวให้เขาหมายปองหรอกนะ นอกจากว่าเชื่อใจที่เขารักฉันแล้ว ฉันหาเหตุผลที่เขาคบกับฉันไม่ได้จริงๆ”
ฉันพูดไปหัวเราะไป แต่ฉันกลับคิดไม่ถึง เมื่อไม่นานนี้ฉันรู้ว่าเหตุผลที่เขาคบกับฉันเพราะอะไร เหตุผลที่พอให้ฉันใจสลายได้