รักของเรา เริ่มต้นจากคืนนั้น - ตอนที่ 36 ไปจากอี้เฉิน
ในรูปถ่ายเป็นภาพคู่ระหว่างเฉิงอี้เฉินกับสวีเฟยเฟย สวีเฟยเฟยจับมือถือแขนเฉิงอี้เฉินอย่างสนิทสนมมาก แล้วยังมีภาพเฉิงอี้เฉินกำลังคุยกับสวีเฟยเฟยด้วยรอยยิ้ม……
จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนโลกหมุน พักนี้เฉิงอี้เฉินงานยุ่งตลอด หรือจะยุ่งกับการนัดเจอสวีเฟยเฟยกันแน่?
แล้วฉันเป็นอะไร? ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกว่าเขารักฉันมันหมายความว่าอะไร? ใจฉันเหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่มากดทับไว้ อึดอัดราวกับขาดอากาศหายใจ
ฉันกำหมัดแน่น เตือนสติตัวเองตลอดไม่ให้คิดอะไรที่ไม่เป็นเรื่องออกมา
แต่ความแสบร้อนบริเวณฝ่ามือทำให้ฉันตาสว่างมากขึ้น ฉันไม่อาจมองข้ามความแตกต่างระหว่างฉันกับเฉิงอี้เฉินได้อีกต่อไป อีกทั้งยังมองเห็นความภาคภูมิในตนเองที่ลดลงอย่างไม่หยุดยั้งหลังจากได้พบกับสวีเฟยเฟยอีกด้วย
ซ่งเสวี่ยเหมยมองฉันด้วยสีหน้าที่รังเกียจ “สะใภ้บ้านสกุลเฉิงจะต้องเป็นผู้หญิงแบบสวีเฟยเฟยที่มาจากภูมิหลังที่ดีและมีความสามารถเท่านั้น เธอเลิกคิดเพ้อฝันไปได้แล้ว”
“เร็วๆ นี้อี้เฉินก็จะต้องจัดเตรียมงานแต่งกับเฟยเฟยแล้ว เธอกับอี้เฉินนั้นราวกับเป็นคนที่อยู่กันคนละโลกเลย เธอคิดว่าเธอจะเข้าใจสังคมของอีเฉินได้หรือ? เธอจะช่วยจัดการธุรกิจของอีเฉินได้มั้ย? แล้วเธอสามารถช่วยเหลืออะไรอีเฉินได้บ้างล่ะ?
“สิ่งเหล่านี้เฟยเฟยล้วนทำได้หมด หรืออี้เฉินหาผู้หญิงคนอื่นมาก็ทำได้เช่นกัน แต่ไม่ใช่สำหรับเธอ เธอมีแค่ญาติกลุ่มใหญ่ที่พอเห็นเงินเข้าหน่อยก็ตาลุกวาว ตกต่ำจนต้องเข้าไปนอนอยู่ในคุก ตอนนี้พวกเขาลักพาตัวเธอ อีกหน่อยจะไม่ลักพาตัวฉัน อี้เฉิน หรือคุณย่าของอีเฉินไปหรือ?”
ใจฉันเหมือนถูกมีดสับเป็นชิ้นๆ เจ็บปวดจนรู้สึกมึนชา ฉันอยากจะถามเฉิงอี้เฉินว่ารูปถ่ายเหล่านี้มันคืออะไร แต่คำพูดของซ่งเสวี่ยเหมยได้ทำลายความกล้าที่จะเอ่ยปากถามไปจนหมดสิ้น
“เธอรีบรับเงินแล้วไปซะ อย่ามาสร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเราอีก ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาที่เธอถูกไล่ออกไป เธอจะไม่ได้เงินแม้แต่แดงเดียว”
ฉันกัดริมฝีปากแน่น จากนั้นก็พยักหน้าในที่สุด
ไม่ผิด ฉันกับเฉิงอี้เฉินเหมือนอยู่กันคนละโลก ความสวยสดงดงามก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ตอนนี้ความฝันได้จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่ควรจะไปคิดถึงสิ่งที่ไม่ใช่ของๆ ตนเองอีกต่อไป
ซ่งเสวี่ยเหมยเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก เธอให้ฉันย้ายออกวันนั้นเลย ฉันเจ็บปวดเหลือแสนแต่ก็ไม่ขัดข้อง ในเมื่อตัดสินใจที่จะไป แล้วจะอยู่ให้นานกว่านี้อีกซักหน่อยไปเพื่ออะไร?
ทุกสิ่งอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นภายใต้การจัดการของซ่งเสวี่ยเหมย ฉันย้ายออกจากบ้านพักตากอากาศ แล้วพาคุณแม่ย้ายโรงพยาบาลไปด้วยโดยไม่ได้บอกเฉิงอี้เฉิน
ฉันบอกปฏิเสธซ่งเสวี่ยเหมยที่จะไม่รับบ้านและรถ แต่ขอให้เธอช่วยจ่ายค่ารักษาและยาของคุณแม่ฉันก็พอ ซ่งเสวี่ยเหมยไม่มีความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นก็ติดต่อโรงพยาบาลให้หักค่าใช้จ่ายผ่านบัญชีธนาคารของเธอ พร้อมกำชับฉันไม่ให้มาปรากฏตัวต่อหน้าเฉิงอี้เฉินอีก
ส่วนขั้นตอนการหย่า ซ่งเสวี่ยเหมยบอกว่าเธอย่อมมีวิธีที่จะจัดการโดยไม่จำเป็นต้องให้ฉันมาได้
แล้วฉันก็หายไปจากโลกของเฉิงอี้เฉินไปแบบนี้ โชคดีมากที่ฉันไม่ได้บอกเรื่องการแต่งงานกับเฉิงอี้เฉินให้คุณแม่ได้รับรู้ แล้วก็ไม่ได้บอกเรื่องที่ฉันตั้งครรภ์แล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะต้องมาอธิบายให้เธอฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นแน่
แค่เรื่องที่คนในบ้านพ่อเลี้ยงมาก่อกวนจนเกิดเรื่องแบบนั้นฉันก็กลัวแล้ว ฉันกับคุณแม่จึงไม่ได้กลับบ้านเกิด แต่มาหาที่พักอยู่ใกล้ๆ อำเภอเล่อแทน แม่ของฉันนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเหมือนอย่างเก่า ฉันได้งานที่คลินิกเล็กๆ แห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว แล้วก็จองห้องชุดแบบสองห้องนอน รอคุณแม่ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วค่อยมาอยู่ด้วยกัน
ฉันไม่ค่อยได้เข้าเนต ไม่ดูโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ด้วยกลัวว่าจะได้ข่าวการแต่งงานของเฉิงอี้เฉินกับสวีเฟยเฟย ราวๆ หนึ่งเดือนกว่าฉันก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับความเป็นอยู่ของที่นี่ได้ แม้บางครั้งจะมีคิดถึงเฉิงอี้เฉินอยู่บ้าง แต่พองานยุ่งขึ้นมาก็ช่วยกลบทับความคิดถึงนี้ไปได้
สิ่งที่น่าดีใจก็คือ อาการของคุณแม่ฉันดีขึ้นทุกวันๆ อีกไม่นานก็คงได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว สิ่งนี้นับเป็นการปลอบใจเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดมนของฉันเลยก็ว่าได้
คืนนั้นมีผู้ป่วยมาให้ยาทางสายน้ำเกลือด้วยอาการไข้ รอจนเขากลับไปก็สามทุ่มกว่าแล้ว ฉันรู้สึกกลัวที่จะเดินกลับคนเดียวบนถนนตอนกลางคืน จึงรีบๆ เดินจนใกล้จะถึงเขตชุมชนก็มีแสงไฟส่องเข้ามา ส่องจนตาพร่ามัว ฉันไม่ทันระวังจึงเท้าพลิกตกลงไปที่พื้นเต็มๆ
แล้วรถคันนั้นก็จอดทันที คนขับรถเดินมาข้างตัวฉัน “คุณไม่เป็นไรนะครับ?”
ฉันกดลงไปที่ข้อเท้าจากนั้นก็ส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไรค่ะ……”
พอฉันเงยหน้าขึ้นมามองท่าทางของเขาก็อึ้งไปชั่วขณะ เขาเองก็ทำสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน
“คุณหมอลั่ว ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้ครับ?” เขาพูดด้วยสีหน้าทั้งดีใจและประหลาดใจ แล้วรีบพยุงฉันให้ลุกขึ้น
ฉันไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไรดีไปชั่วขณะ ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะได้มาเจอเฉินตงหลีที่นี่
เฉินตงหลีคือคนไข้ที่เคยมารักษากับฉันตอนฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาลเทศบาลเมืองไห่ วันนั้นฉันเข้าเวร ส่วนเขามาที่แผนกฉุกเฉินด้วยอาการปวดท้อง หลังจากตรวจดูอาการแล้วก็ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วยโรคกระเพาะลำไส้อักเสบเฉียบพลันนั่นเอง
เขาไม่ใช่คนเมืองไห่ ตอนอยู่โรงพยาบาลจึงไม่มีคนคอยดูแล ผู้ป่วยที่เกี่ยวกับกระเพาะลำไส้จำเป็นจะต้องระวังในเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม ไม่ควรทานอาหารนอกบ้านตามอำเภอใจ ฉันจึงช่วยเขาส่งอาหารอยู่สองสามครั้ง และต้มโจ๊กไปให้เขาทาน ไปๆ มาๆ ก็จัดว่าคุ้นเคยกันไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาลไปแล้วพวกเราก็ยังติดต่อกันอยู่ แต่หลังจากที่ฉันมาอยู่กับเฉิงอี้เฉินแล้วก็ติดต่อเขาน้อยลงเรื่อยๆ
“คุณหมอลั่ว ก่อนหน้านี้ผมโทรหาคุณแต่ทำไมมันกลายเป็นเบอร์เปล่าไปแล้วหรือครับ? พอผมไปหาคุณที่โรงพยาบาลนั่นก็บอกว่าคุณไม่ได้ทำงานที่โรงพยาบาลแล้ว นี่คุณมาตั้งรกรากอยู่ที่อำเภอเล่อแล้วหรือครับ?”
ฉันเม้มริมฝีปากแล้วพยักหน้า เนื่องจากกลัวว่าเฉิงอี้เฉินจะหาฉันเจอ ซ่งเสวี่ยเหมยจึงปิดเบอร์ของฉันและของคุณแม่ฉัน เบอร์ที่พวกเราใช้กันอยู่ตอนนี้เป็นเบอร์ที่เธอหาคนมาจัดการให้ สรุปก็คือไม่ได้ใช้ข้อมูลประจำตัวของฉันนั่นเอง
“เบอร์ใหม่ของคุณคือเบอร์อะไรหรือครับ? ผมขอเมมซักหน่อย” เฉินตงหลีพูด พอฉันบอกเบอร์ไปเขาก็รีบโทรหาฉันทันที
“คุณไม่บาดเจ็บนะครับ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่เดินไม่ดี เท้ามันเลยพลิกค่ะ” ฉันรู้สึกเจ็บลึกๆ ที่ข้อเท้า แต่รถเขาไม่ได้แตะโดนฉัน น่าจะแค่เคล็ดขัดยอกนิดหน่อยเท่านั้นเอง
“ไม่ได้นะครับ ไปตรวจที่โรงพยาบาลดีกว่า คุณเป็นหมอ น่าจะรู้อยู่ว่าการเอ็กเรย์น่าเชื่อถือที่สุดครับ”
“นี่ไม่เป็นไรเลยคะ……คุณดูซิคะฉันยังเดินได้……อา……” ฉันโบกมือให้เขาแล้วลองเดินไปข้างหน้าดู แต่พอเดินปุ๊บข้อเท้าก็ปวดมาก
เฉินตงหลีรีบมาพยุงฉันเอาไว้ “ปวดซะขนาดนี้ งั้นก็รีบไปโรงพยาบาลกันเถอะครับ”
เขาใช้แรงเล็กน้อยจูงฉันมาที่รถ จากนั้นก็พาฉันไปโรงพยาบาล ติดต่อแผนกฉุกเฉินและรับบัตรคิว ฉันรู้สึกกังวลอยู่บ้างจึงไม่ได้ปฏิเสธ เขาวุ่นวายนั่นนี่อยู่พักหนึ่ง พอออกจากโรงพยาบาลมาก็จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว
ฉันปวดมากจริงๆ แต่เอ็กซเรย์มาดูกลับพบว่ากระดูกไม่ได้รับบาดเจ็บ แค่ต้องรักษาตัวให้ดีๆ อยู่ช่วงหนึ่งก็พอ
เฉินตงหลีมีสีหน้าเหมือนจะตำหนิตัวเอง “วุ่นวายจนดึกซะขนาดนี้คุณคงหิวอีกรอบแล้วใช่มั้ยครับ? ผมพาคุณไปทานมื้อดึกซักหน่อยจากนั้นค่อยส่งคุณกลับบ้านดีมั้ยครับ?”
ฉันกะจะปฏิเสธ แต่ท้องของฉันก็ดันร้อง “จ๊อกๆ” ให้ความร่วมมือดีมาก
แก้มฉันร้อนฉ่าด้วยอาการเขินอายน้อยๆ: “คืนนี้ยุ่งมากไปหน่อยเลยไม่ได้ทานข้าวน่ะค่ะ”
“ไม่ได้ทานข้าว?” เฉินตงหลีหันข้างมามองฉันแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คุณหมอลั่วครับ สมัยก่อนคุณคอยกำชับผมตลอดให้ผมทานข้าวตรงเวลา ทำไมคุณกลับไม่ใส่ใจตัวเองอย่างนี้ล่ะครับ?”
ไม่รอให้ฉันตอบเฉินตงหลีก็พูดอย่างขำๆ ว่า “แต่งานของคุณก็จริงๆ เลยนะ คุณหมอต่างก็เสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นกันทั้งนั้น พอยุ่งขึ้นมาจะไปมีเวลาทานข้าวได้อย่างไรกัน……”
“อยากทานอะไรหรือครับ? คืนนี้ผมขอเป็นตัวแทนคนไข้ทั้งหลายเพื่อขอบคุณนางฟ้าในชุดขาวของพวกเรานะครับ”
“นางฟ้าในชุดขาวหมายถึงนางพยาบาลต่างหากล่ะคะ” ฉันอดไม่ได้ที่จะขำออกมาแล้วเอาตัวพิงพนักเก้าอี้ในรถ ในใจรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน
พอออกจากเมืองไห่มายังสภาพแวดล้อมที่แปลกหน้า ฉันก็รู้สึกโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพิง อีกทั้งยังต้องตัดขาดจากการติดต่อกับเพื่อนที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อไม่ให้เฉิงอี้เฉินตามหาฉันพบ ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนกว่านี้ฉันได้แต่ทำงานเพื่อทำให้ตัวเองด้านชา จะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวมากขนาดนั้น
การปรากฏตัวของเฉินตงหลีนับเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายสำหรับฉัน แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นและสบายใจอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว