ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 614 ลอบสังหารหลางเหยี่ย
บทที่ 614 ลอบสังหารหลางเหยี่ย
…………….
บทที่ 614 ลอบสังหารหลางเหยี่ย
“ระวัง! พวกมันคือนักรบโลกอสูร!” อูหย่าที่อยู่ข้าง ๆ อู๋ฝานตะโกนเตือนเสียงดัง
หลังได้ยินคำพูดดังกล่าว ทั้งลั่วเยวี่ยและลั่วหยางก็เผยสีหน้าตึงเครียด
สองพี่น้องไม่เคยได้เห็นทหารโลกอสูรมาก่อน ทว่าอูหย่าเคยเห็น ดังนั้นตอนที่นักรบโลกอสูรปรากฏตัวขึ้น นางจึงสามารถจำแนกพวกมันได้ในทันทีว่าเป็นฝ่ายไหน
พวกเขาที่กำลังถูกทหารกองทัพกบฏปิดล้อม ถือว่าสถานการณ์อันตรายมากพอแล้ว ตอนนี้ยังมีนักรบโลกอสูรปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลอีก มันเปรียบเสมือนบ้านหลังคารั่วกลางพายุอันรุนแรง เรื่องราวมีแต่จะยิ่งแย่ลง
แม้จำนวนของนักรบโลกอสูรจะมีแค่เล็กน้อย แต่พลังการต่อสู้ของพวกมันไม่อาจปรามาส อูหย่าไม่คาดว่าจะพบพวกมันอย่างกะทันหันที่นี่ เพราะสถานการณ์กำลังจะบีบบังคับให้พวกเขาไปถึงทางตัน
“ไม่ต้องแตกตื่น นักรบโลกอสูรเหล่านี้ไม่โจมตีพวกเรา เป้าหมายของพวกมันเหมือนจะเป็นพวกทัพกบฏ” อู๋ฝานตอบกลับมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
มีเพียงชายหนุ่มที่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของนักรบโลกอสูรเหล่านี้ เพราะเขาเป็นคนอัญเชิญพวกมันออกมาเอง ดังนั้นพวกมันจึงไม่มีทางโจมตีพวกเขาเป็นอันขาด
“อย่าประมาท นักรบโลกอสูรเป็นพวกโหดเหี้ยม พวกเราทุกคนที่เป็นคนของโลกมนุษย์คือศัตรูในสายตาของพวกมัน การที่ตอนนี้พวกมันโจมตีทัพกบฏ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่โจมตีพวกเราทีหลัง” อูหย่ายังคงระแวดระวังและเตือนด้วยความหวังดี
“พูดได้ถูกต้อง ยังไงก็ควรต้องระวังเอาไว้” ชายหนุ่มไม่คิดโต้แย้งอีก เนื่องจากตนไม่อาจบอกความจริงออกไปได้
แม้นักรบโลกอสูรที่อู๋ฝานอัญเชิญมาจะแข็งแกร่ง แต่ฝั่งหลางเหยี่ยก็มีคนจำนวนมาก รวมถึงมีกองทหารม้าที่ติดอาวุธพร้อมรบ ดังนั้นหากอาศัยเพียงนักรบโลกอสูรยี่สิบคนเพื่อพิชิตกองทัพกบฏของอีกฝ่ายคงยากจะเป็นไปได้
ทว่าอู๋ฝานเองก็ไม่ได้คิดแต่จะพึ่งพานักรบโลกอสูรเพื่อเอาชนะกองทัพของหลางเหยี่ย ที่อัญเชิญออกมาก็เพราะพวกมันคือนักรบโลกอสูร มันสามารถโจมตีได้อย่างรุนแรง และสามารถดึงความสนใจได้
ส่วนเรื่องจัดการกับหลางเหยี่ย อู๋ฝานมีแผนเตรียมเอาไว้แล้ว
แผนนั้นก็ง่ายดาย นั่นคือการตัดหัวผู้นำ!
อู๋ฝานเคยตัดหัวผู้นำมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นเป็นกองทัพกบฏที่ไม่ได้รับการฝึกซ้อมมาอย่างจริงจัง พวกมันจึงแทบจะล้มยวบลงในพริบตา เมื่อคนจำนวนมากตายหรือผู้นำถูกสังหาร พวกมันก็พังทลายลงเพราะเดิมก็ไม่มีโครงสร้างอย่างกองทัพควรจะเป็น
การสังหารผู้นำคือการพิชิตทั้งสมรภูมิ หากเป็นกองทัพประจำการคงเป็นเรื่องที่ยากจะทำได้ แต่สำหรับกองทัพกบฏนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย เพราะพวกมันไม่ได้ผูกพันอะไรกับผู้นำที่ดีแต่ใช้กำลังหรืออำนาจข่ม หากมีที่อื่นเป็นที่พึ่งพวกมันก็พร้อมจะไป กฎเกณฑ์และลำดับการบัญชาการก็ไม่มี ดังนั้นจึงยิ่งพังทลายลงได้ง่าย ๆ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเล็งการลอบสังหารหลางเหยี่ย
สถานการณ์ปัจจุบันคือพวกอู๋ฝานกำลังถูกทหารกบฏปิดล้อม ภายใต้สถานการณ์นี้ หากเป็นคนธรรมดาคงไม่มีทางฝ่าวงล้อมไปลอบสังหารหลางเหยี่ยได้ ต่อให้ไม่ใช่การฝ่าวงล้อมแต่เป็นการบุกออกไปก็ยังทำไม่ได้ หลางเหยี่ยที่อยู่ไกลย่อมไม่โง่พอจะมองคนอื่นบุกมาสังหารตนเองแล้วยังนิ่งเฉย
ดังนั้นคนธรรมดาจึงไม่อาจหาทางสังหารหลางเหยี่ยในสถานการณ์ปัจจุบันได้ มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลางเหยี่ยกล้าที่จะส่งทหารทั้งหมดข้างกายมาปิดล้อมพวกอู๋ฝาน
แต่นั่นเป็นกรณีของคนธรรมดา มันไม่ได้หมายความว่าอู๋ฝานไม่สามารถทำได้ เพราะเขามีวิชาดำดิน!
ชายหนุ่มมองหาตำแหน่งที่อยู่ของหลางเหยี่ย หลังออกคำสั่งให้นักรบโลกอสูรคุ้มครองพวกอูหย่า เขาก็เริ่มถอยกลับไปยังรถลากก่อนจะใช้งานวิชาดำดิน
“หือ? ไอ้คนเมื่อกี้หายไปไหนแล้ว? เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้นี่?”
“ไอ้คนที่มันใช้ธนูไปไหนแล้ว? ทำไมมันถึงหายตัวไปในพริบตาได้?”
“บัดซบ มันเป็นผีล่องหนหายตัวรึไง?”
เพราะอู๋ฝานและคณะถูกกองทัพกบฏล้อมเอาไว้ แม้จะพยายามหาตำแหน่งที่ซ่อนการมองเห็นแล้ว แต่การหายตัวไปอย่างกะทันหันของเขายังถูกพบอยู่ดี กลุ่มคนที่เห็นสถานการณ์ซึ่งไม่เคยเผชิญถึงกับต้องนิ่งไปพักหนึ่ง
แม้คนที่อยู่ใกล้จะชะงัก แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่อยู่ด้านหลังจะชะงักตาม การบุกยังคงดำเนินต่อไป พวกเขายังต้องรุกคืบบุก เพราะสงสัยตอนนี้ไปก็ไม่ได้อะไร ดังนั้นพวกเขาจึงต้องปล่อยให้เรื่องราวผ่านไป
ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร ยังไงก็ต้องสังหารคนพวกนี้ให้หมดเสียก่อน
“ไอ้พวกสารเลว กล้าดียังไงถึงยิงข้าคนนี้? วันนี้ข้าต้องถลกหนังพวกมันออกมาให้ได้!” หลางเหยี่ยที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้น ยังคงมองลูกธนูที่ปักไหล่ของตนเองด้วยสีหน้าเคียดแค้น
“หนังเหรอ? หนังใครกันล่ะ?” ทันใดนั้นเองที่เสียงหนึ่งเอ่ยถามจากด้านหลังของหลางเหยี่ย
“ก็ต้องถลกหนังไอ้พวกเวรนั่นออกมาไงล่ะวะ!” หลางเหยี่ยตอบกลับไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ขณะนี้เองที่เขาหันไปมองมาพร้อมระบายโทสะ “ข้าสั่งให้พวกเจ้าบุกออกไปหมดแล้วไม่ใช่รึไง? เพราะอะไรถึง…”
หลางเหยี่ยที่ยังพูดไม่ทันจบ สีหน้าโกรธแค้นกลับกลายเป็นแตกตื่นในชั่วพริบตา “แกมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกัน?!”
“แล้วทำไมจะมาไม่ได้ล่ะ?” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ
“ทำไมแกถึงมาอยู่ตรงนี้ได้?” หลางเหยี่ยกะพริบตาราวกับต้องการจะยืนยันให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นถูกต้อง ก่อนจะตะโกนถามด้วยสีหน้าแตกตื่น
เมื่อครู่เขาคิดว่าเป็นหนึ่งในลูกน้องที่เอ่ยถาม ขณะกำลังจะหันไปตะโกนด่าทอก็ไม่ได้คาดว่าจะบุคคลที่ปรากฏด้านหลัง แท้จริงแล้วจะเป็นคนเดียวกับที่ยิงธนูเล่นงานตนเอง
เพราะอะไรคนที่ควรจะถูกปิดล้อมอยู่ด้านนั้น ถึงมาอยู่ตรงนี้อย่างกะทันหันได้?
หลางเหยี่ยไม่อาจทราบ
ทว่าด้วยนิสัยโหดเหี้ยมของหลางเหยี่ย เขาใช้ชีวิตท่ามกลางกองซากศพและแม่น้ำเลือดมาโดยตลอด ดังนั้นจึงมีประสบการณ์มากและพร้อมรับมือกับอันตรายที่เข้ามาหา แม้ไม่ทราบว่าเพราะอะไรชายหนุ่มถึงมาปรากฏที่ด้านหลังตนเองอย่างกะทันหัน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฝีมือของเขาตกลงอย่างแน่นอน
ขณะหลางเหยี่ยถามอู๋ฝานด้วยท่าทีตื่นตกใจ มืออีกข้างหนึ่งที่ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ลอบจับยังดาบใหญ่ที่อยู่ข้างกาย
“ตึง!”
อู๋ฝานเตะหน้าอกหลางเหยี่ย เรี่ยวแรงมหาศาลทำให้ทั้งร่างของอีกฝ่ายไถลไปกับพื้นหลายจั้ง
หลางเหยี่ยแผดร้องออกมาขณะพยายามดิ้นรนลุกขึ้นนั่งจากพื้น แต่ขณะกำลังจะสบถออกมานั้น เขากลับเห็นอู๋ฝานเตะเท้าขวาใส่ มันแรงจนดาบใหญ่ที่ร่วงอยู่กับพื้นลอยเข้ามาหาตนเอง
“ฟึ่บ!”
“อ๊าก!”
ด้วยระยะที่กระชั้นชิดกับอาวุธที่ลอมมาด้วยความเร็วสูง ต่อให้หลางเหยี่ยอยากจะหลบก็ไม่อาจหลบทัน ดังนั้นดาบยักษ์จึงพุ่งเข้ามาปักร่าง เพราะเรี่ยวแรงอันมหาศาลของอู๋ฝาน หลังดาบใหญ่แทงร่างของหลางเหยี่ย มันก็พาร่างนั้นกระเด็นลอยไปไกลเกือบหนึ่งจั้งก่อนจะปักลงกับพื้น
ส่วนหลางเหยี่ยที่ถูกปักร่างลงกับพื้นโดยดาบเล่มใหญ่ ดวงตานั้นเบิกกว้าง เลือดกำลังไหลหลั่งออกมาจากปากและบาดแผลที่เกิดขึ้น ร่างที่ไร้สติกระตุกหลายครั้ง ก่อนสุดท้ายแน่นิ่งไป
อู๋ฝานเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะมองเพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายตายแล้ว หลังตัดศีรษะอีกฝ่ายและเก็บขึ้นมาจากพื้น เขาก็ย่อตัวลงและดำดินลงไปอีกครั้ง
ปฏิบัติการลอบสังหารหลางเหยี่ยของอู๋ฝานเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาสั้น ๆ ขณะนี้เขากำลังกลับเข้าไปในวงล้อม คนของหลางเหยี่ยที่มุ่งเน้นแต่จะจัดการกับพวกอูหย่าและนักรบโลกอสูรจึงไม่ได้ตระหนักว่าทางด้านหลังเกิดเรื่องใดขึ้น
…………….