ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 330 การตัดสินใจ
บทที่ 330
การตัดสินใจ
ทันทีที่เกาซุ่นพูดเช่นนี้ออกมา เหยียนเสียอวิ๋นที่ก็ได้ตกตะลึงเพราะคำพูดเมื่อสักครู่ของเขา ทันทีที่ตั้งสติได้ก็ได้หันไปมองที่เกาซุ่นด้วยสายตาที่เคร่งขรึมในดวงตาของเขา
ถึงแม้ว่าเกาซุ่นนั้นจะดูเหมือนเรียกร้องอะไรไร้เหตุผล แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาอาจจะเป็นต้องการที่จะรู้จากวังสมบัติให้ได้ว่าใครกันที่เป็นคนขายซากมังกรสองหัวนี้ตั้งแต่แรก
เพราะวังสมบัตินั้นยึดมั่นในนโยบายรักษาความลับของลูกค้ามาโดยตลอด ถ้าหากว่าถามออกไปตรงๆแล้วเกาซุ่นก็คงจะต้องถูกเหยียนเสียอวิ๋นปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่ทว่าเกาซุ่นได้เริ่มอย่างอ้อมค้อมเสียก่อนแล้วปล่อยให้เหยียนเสียอวิ๋นนั้นรู้สึกเป็นหนี้เขามากขึ้นเรื่อยๆก่อน จากนั้นก็ค่อยตะล่อมถามหาข้อมูลของผู้ที่นำมังกรสองหัวมาขาย ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะได้ข้อมูลมาจากเหยียนเสียอวิ๋นนั้นก็จะสูงขึ้นมาก
ถึงแม้ว่าเมื่อสักครู่เหยียนเสียอวิ๋นนั้นจะเริ่มหมดความอดทนกับเกาซุ่น แต่ตัวเขาก็ไม่ได้ลดการป้องกันของเขาเลยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงท่าทีต่างๆของเกาซุ่นหลังจากที่เข้ามาในวังสมบัติแล้ว เหยียนเสียอวิ๋นก็รู้สึกได้ว่าคนคนนี้นั้นไม่ธรรมดา
ถ้าหากเป็นคนอื่นมาขายมังกรสองหัวที่วังสมบัติแล้ว เหยียนเสียอวิ๋นก็อาจจะเผยข้อมูลบางส่วนให้เกาซุ่นไปแล้วเพื่อเห็นแก่ที่เขาเป็นถึงศิษย์ก้นกุฏิของสำนักแก้วหลากสีและอนาคตที่ก้าวไกลของเขา แต่น่าเสียดายที่ซากมังกรสองหัวตัวนี้ถูกนำมาขายโดยเหยียนลี่หยาง ด้วยเหตุนี้เหยียนเสียอวิ๋นจึงไม่สามารถที่จะขายเหยียนลี่หยางเพื่อสร้างความสนิทสนมกับเกาซุ่นได้!
“ต้องขอโทษด้วยคุณชายเกาซุ่น! ท่านก็น่าจะรู้กฎของวังสมบัติของเราดี พวกเรานั้นจะปิดปากเรื่องข้อมูลของลูกค้าเราอย่างแนบสนิทเสมอ ต้องเสียใจด้วยจริงๆข้าช่วยอะไรคุณชายไม่ได้!”
ดวงตาของเหยียนเสียอวิ๋นที่ได้สติคืนมานั้นก็ได้กล่าวตอบปฏิเสธเกาซุ่นไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและฟังชัด ซึ่งได้ทำให้ใบหน้าของเกาซุ่นนั้นเย็นยะเยือกมากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านประมุขวังเหยียนข้าจะบอกอะไรท่านให้อย่างหนึ่ง! เพื่อเห็นแก่ความร่วมมือกันของสำนักแก้วหลากสีของเรากับตระกูลเหยียนของท่านแล้ว ไม่ใช่ว่าท่านควรที่จะประนีประนอมสักหน่อยหรอกเหรอ? หรือว่าท่านไม่เห็นหัวข้าเกาซุ่นคนนี้อยู่ในสายตาตั้งแต่แรก?”
ในเวลานี้เกาซุ่นนั้นดูเหมือนจะเลิกปิดซ่อนตัวเองแล้ว ดวงตาของเขาที่มองมายังเหยียนเสียอวิ๋นนั้นทั้งคุกคามและเย็นยะเยือก และใบหน้าของเขาก็ได้ปรากฏซึ่งแรงกดดันและ ความโกรธ
แต่ทว่าเหยียนเสียอวิ๋นนั้นกลับไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นภัยมาจากคำพูดของอีกฝ่ายเลย จึงได้ตอบเกาซุ่นไปด้วยใบหน้าที่แน่วแน่ “นั่นมันก็จริงอยู่ แต่ก็ต้องขอโทษด้วย! การที่พวกเราตระกูลเหยียนนั้นยังสามารถยืนหยัดอยู่ในแผ่นดินเทียนหนานมานานหลายปีนั้นก็เพราะพวกเราเข้มงวดกับกฎระเบียบของเรา ขอให้คุณชายเกาได้โปรดเข้าใจด้วย”
ถึงแม้ว่าเหยียนเสียอวิ๋นนั้นจะตอบอย่างสุภาพ แต่เขาก็ไม่ช่องว่างให้เกาซุ่นได้ตอบโต้เลย
เหล่ายอดฝีมือทั้ง 4 จากสำนักแก้วหลากสีที่อยู่ด้านหลังของเกาซุ่นนั้นก็ได้โกรธจัด และในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้เดินออกมาอยู่ข้างหน้าเกาซุ่นและล้อมเหยียนเสียอวิ๋นเอาไว้ ดูเหมือนว่าขอเพียงเกาซุ่นออกคำสั่ง พวกเขาก็พร้อมที่จะโจมตีใส่เหยียนเสียอวิ๋นทันที
สิงเทียนหมิงเองก็ได้เดินออกมานำหน้าเกาซุ่นด้วยเช่นกัน ราวกับพร้อมที่จะรักษาความปลอดภัยให้เกาซุ่น และรอคำสั่งของเกาซุ่นทุกเมื่อ
“คุณชายเกาทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? แม้ว่าสำนักแก้วหลากสีนั้นความแข็งแกร่งเหนือกว่าตระกูลเหยียนของเราก็ตามที แต่ตระกูลเหยียนก็ไม่ยอมให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ หากว่าพวกเราตอบโต้เมื่อใด ข้าเกรงว่าจะเป็นสำนักแก้วหลากสีของท่านเองที่จะเป็นฝ่ายล่มสลายก่อน! ยิ่งไปกว่านั้นตัวท่านเพียงคนเดียวไม่สามารถเป็นตัวแทนของคนทั้งสำนักแก้วหลากสีได้!”
เหยียนเสียอวิ๋นที่เห็นว่าตัวเขานั้นถูกล้อมโดยเหล่ายอดฝีมือของสำนักแก้วหลากสีแล้ว แต่ใบหน้าของเขานั้นกลับไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกใดๆ
ถึงแม้ว่าตระกูลเหยียนของพวกเขาจะไม่ได้เข้าร่วมกับการแก่งแย่งกันภายในดินแดนเทียนหนาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขานั้นจะไม่ได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของดินแดนเทียนหนานเลย เดิมทีสำนักแก้วหลากสีนั้นก็ตกอยู่ภายใต้การคุกคามของสำนักต่างไฟอยู่แล้ว ถ้าหากพวกเขาต้องกลายมาเป็นศัตรูกับตระกูลเหยียนอีก ตระกูลเหยียนก็คงจะไปเข้าร่วมอยู่ในอ้อมก่อนของสำนักต่างไฟเป็นแน่ แล้วการล่มสลายของสำนักแก้วหลากสีก็จะเรียกได้ว่าอยู่อีกไม่ไกลแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเกาซุ่นนั้นเป็นแค่เพียงศิษย์ก้นกุฏิของสำนักแก้วหลากสีเท่านั้น ซึ่งยังมีคู่แข่งอีกมากมายในสำนักแก้วหลากสี ไม่อย่างนั้นเกาซุ่นคงไม่กระตือรือร้นถึงเพียงนี้เพื่อที่จะทำภารกิจให้สำเร็จและเอาชนะใจของเหล่าศิษย์ระดับสูงๆในสำนัก ถ้าเกิดว่าตระกูลเหยียนจะต้องกลายมาเป็นศัตรูของสำนักแก้วหลากสีเพราะเกาซุ่นแล้ว ต่อให้สำนักแก้วหลากสีไม่ล่มสลายไป ตัว เกาซุ่นเองก็คงจะถูกลงโทษอย่างหนักโดยที่ไม่มีโอกาสกลับมาตั้งตัวได้อีกเลย
แล้วบรรยากาศในห้องนั้นก็ได้หนักอึ้งขึ้นมาอีกหนและไม่มีฝ่ายไหนที่พูดอะไรออกมาเลย ราวกับเวลาได้หยุดลง
แน่นอนว่าเมื่อเกาซุ่นได้ยินคำขู่ที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดของเหยียนเสียอวิ๋นแล้ว ก็ได้โมโหเหยียนเสียอวิ๋นและวังสมบัติอย่างสุดๆ ตัวเขานั้นไม่คิดว่าแผนการที่รอบคอบของเขานั้นก็ยังไม่ส่งผลอะไรตอบกลับมาเลย กลับกันตัวเขากลับรู้สึกได้ถึงความอัปยศอดสูแทน
ถ้าหากไม่ใช่เพราะผลที่ตามมาหากว่าแตกหักกับวังสมบัติแล้วนั้น เกาซุ่นนั้นคงได้สั่งให้ยอดฝีมือทั้ง 4 ของสำนักแก้วหลากสีนั้นสังหารเหยียนเสียอวิ๋นไปแล้ว แต่ในท้ายที่สุดเกาซุ่นก็ได้ระงับอารมณ์โกรธและลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะหันหน้ากลับแล้วเดินออกจากประตูไป
แล้วศิษย์คนอื่นๆของสำนักแก้วหลากสีก็ได้จับจ้องมาที่เหยียนเสียอวิ๋นแล้วจากนั้นก็ได้จากไปพร้อมกับเกาซุ่นและ สิงเทียนหมิง
“ฮึ! กล้าที่เป็นศัตรูกับทุกฝ่ายในขณะที่ปกป้องตัวเองก็ยังไม่ได้ ดูเหมือนสำนักแก้วหลากสีนั้นคงจะหมดหวังแล้วจริงๆ!”
เหยียนเสียอวิ๋นนั้นไม่ได้หวาดกลัวต่อแรงกดดันของอีกฝ่ายเลย หลังจากที่เกาซุ่นกับพรรคพวกได้จากไปตัวเขาก็ได้พ่นลมออกทางจมูกออกมา
แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง ภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาพบกับเหยียนลี่หยางเมื่อครั้งก่อนก็ได้ปรากฏขึ้นมาในหัวของเหยียนเสียอวิ๋น แล้วหัวใจของเขาก็ได้เต็มไปด้วยความสงสัยถึงที่อยู่ของเหยียนลี่หยาง แต่ทว่าในท้ายที่สุดแล้วเหยียนเสียอวิ๋นก็ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆและตัดสินใจปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปและเลิกสนใจเรื่องที่อยู่ของเหยียนลี่หยางอีก
อีกทางด้านหนึ่งเกาซุ่นกับพรรคพวกที่ออกมาจากวังสมบัตินั้นก็ได้หยุดยืนหลังจากที่เดินออกมาจากหุบเขาหลิ่วชวาน
เกาซุ่นไม่ได้หันหน้ากลับมาแต่ได้เงยหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าที่มืดหม่นแล้วถามสิงเทียนหมิงที่อยู่ข้างหลังเขาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “เจ้าเมืองสิง เจ้าคงจะเข้าใจถึงสถานการณ์ในปัจจุบันในดินแดนเทียนหนานดีสินะ ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดเจ้าคิดว่าโอกาสที่เมืองหลงเจียงของเจ้าจะรอดจากความวุ่นวายที่จะมาถึงนี้เท่าไร?”
สิงเทียนหมิงก็ได้ตกตะลึงและสงสัยว่าทำไมจู่ๆเกาซุ่นถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เขาก็ได้ทำสีหน้าเคร่งเครียดและกล่าวตอบเกาซุ่นไปอย่างระมัดระวัง “อย่างเต็มที่ก็ 50-50!”
มีความหมดหนทางแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา แต่สถานการณ์ในเมืองโบราณในละแวกริมชายฝั่งทะเลนั้นต่างก็ใกล้เคียงกันหมด เขาจึงได้รีบปรับอารมณ์ของเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเกาซุ่นด้วยสีหน้าสงสัย
เกาซุ่นก็ได้หันหน้ามาหาสิงเทียนหมิงแล้วกล่าวกับเขาด้วยสีหน้าที่จริงจังมาก “ถ้าหากในเวลานี้มีโอกาสเจ้าเลือกที่เมืองหลงเจียงของเข้าจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในละแวกริมชายฝั่งทะเลแห่งนี้ โดยที่เจ้าจะต้องคอยเป็นหูเป็นตาในละแวกนี้แทนสำนักแก้วหลากสีของเราแล้ว เจ้ายังจะเลือกอยู่ไหม?”
เมื่อได้ยินที่เกาซุ่นกล่าว ไม่เพียงแค่สิงเทียนหมิงแต่ยอดฝีมือของสำนักแก้วหลากสีทั้ง 4 ที่มาที่นี่พร้อมกับเกาซุ่นต่างก็พากันตกใจเช่นกันและมองไปที่เกาซุ่นด้วยสายตาที่จริงจัง
แต่เกาซุ่นนั้นไม่คิดที่จะเปลี่ยนท่าทีของเขา และยังมองไปที่สิงเทียนหมิงอย่างแน่วแน่ ราวกับจะบอกว่าอย่าให้เขาพูดเป็นหนที่สอง
สิงเทียนหมิงก็ได้มีสีหน้าลังเลอยู่สักพักหนึ่ง แต่ไม่นานนักตัวเขาก็ได้ตัดสินใจ เขาได้ก้มลงคุกเข่าต่อหน้าเกาซุ่นและทำมือคารวะด้วยความนับถือ “เมืองหลงเจียงของเรายินดีที่จะขอสวามิภักดิ์เข้ากับสำนักแก้วหลากสี และหวังให้คุณชาย เกาซุ่นจะมอบหนทางรอดให้กับเมืองหลงเจียงด้วย!”
ตอนแรกสิงเทียนหมิงที่พบกับเกาซุ่นในหุบเขาหลิ่วชวานโดยบังเอิญนั้น ก็แค่คิดที่จะใช้เกาซุ่นกดดันเมืองโม่ไห่และกำจัดเย่เย่เท่านั้นจึงได้เข้ามาตีสนิท แต่ทว่าในระหว่างที่ติดสอยห้อยตามเกาซุ่นอยู่นั้นสิงเทียนหมิงก็พบว่าเกาซุ่นนั้นไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เขาคิดนัก นอกจากนี้ยังมีพรสวรรค์และความมุ่งมั่นที่ไม่ธรรมดาอย่างดูถูกไม่ได้ด้วย การที่มาติดตามเกาซุ่นนั้นไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเลย
อีกอย่างหนึ่งคือหลังจากที่เย่เย่ได้ประกาศเข้าร่วมกับเมืองโม่ไห่แล้ว ความเป็นภัยของเมืองหลงเจียงนั้นก็ได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวเขาจึงได้คิดที่จะกำจัดเย่เย่เพื่อที่จะฟื้นคืนสมดุลระหว่างทั้งสองเมืองนี้กลับมา ซึ่งจากที่ผ่านมาเป็นเพราะข้อมูลที่เย่เย่ให้มานั้นถูกต้องทำให้เกาซุ่นนั้นต้องตกรางวัลเขาไปด้วยขวดยาขี่มังกร ซึ่งหลังจากที่เย่เย่ที่มีความสามารถอันไร้ขีดจำกัดได้ยาขี่มังกรไปแล้ว วรยุทธ์ของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน ทำให้เมืองหลงเจียงต้องระแวดระวังมากยิ่งขึ้นไปอีก
ด้วยสองเหตุผลนี้จึงได้ทำให้สิงเทียนหมิงคิดที่จะยอมสวามิภักดิ์ต่อสำนักแก้วหลากสี ดังนั้นหลังจากที่ออกมาจากเมืองโม่ไห่พร้อมกับพวกของเกาซุ่นแล้ว ตัวเขาจึงยังคงติดตามเกาซุ่นไปต่อและรอคอยโอกาส จนกระทั่งเกาซุ่นพูดออกมาเมื่อสักครู่ จึงได้ทำให้สิงเทียนหมิงตัดสินใจในทันที และเลือกที่จะให้เมือง หลงเจียงยอมสวามิภักดิ์ต่อเกาซุ่นและสำนักแก้วหลากสี
แน่นอนว่าหลังจากที่ได้รับประสบการณ์พ่ายแพ้จากเมืองโม่ไห่และวังสมบัติแล้ว เกาซุ่นนั้นก็ได้รู้สึกหงุดหงิดอย่างสุดๆ แล้วตัวเขาก็ได้คิดที่จะใช้กำลังออกค้นหาแก่นภายในของมังกรสองหัวทั่วทั้งละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้ เพื่อการนี้แล้วการเข้าควบคุมกองกำลังใหญ่ๆในละแวกริมชายฝั่งทะเลทั้งหมดนั้นจะให้ผลดีที่สุด
ซึ่งเกาซุ่นนั้นไม่ต้องการที่จะเสียเวลามากนักจึงได้ตัดสินใจที่จะทำให้กองกำลังหนึ่งยอมเข้าสวามิภักดิ์และให้เข้าครอบครองละแวกริมชายฝั่งทะเลทั้งหมด แล้วจากนั้นก็ออกค้นหาผู้ที่ขายมังกรสองหัวโดยไวที่สุด ในเวลานี้ถ้าหากว่า สิงเทียนหมิงนั้นไม่ยอมตกลง เกาซุ่นก็แค่ออกไปหากองกำลังอื่นที่ยินดีจะเข้าร่วมแทน เมืองหลงเจียงนั้นมีชะตากรรมต้องถูกยึดครองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ดังนั้นสิงเทียนจึงได้แน่วแน่ที่จะยอมสวามิภักดิ์ต่อเกาซุ่น และตัดสินใจที่จะพาเมืองหลงเจียงทั้งหมดไปรับความเสี่ยงนี้!
เกาซุ่นก็ได้มองไปที่สิงเทียนหมิงที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ จึงได้ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก หลังจากที่ได้รับการคารวะจากสิงเทียนหมิงก็ได้กล่าวกับ สิงเทียนหมิง “ดี! จากวันนี้ไปเมืองหลงเจียงของเจ้าจะเข้าร่วมกับสำนักแก้วหลากสีของเราอย่างเป็นทางการ! ขอเพียงเมืองหลงเจียงสร้างผลงานในการขยายอิทธิพลให้กับสำนักแก้วหลากสีของพวกเราแล้ว ทางสำนักจะไม่ทอดทิ้งพวกเจ้าอย่างแน่นอน!”
“ขอบพระคุณคุณชายเกามาก! เมืองหลงเจียงของพวกเราจะพยายามให้สมกับความเชื่อมั่นและความคาดหวังของคุณชายเกา!”
แล้วสิงเทียนหมิงก็ได้มีใบหน้ายินดีขึ้นมา แล้วลุกขึ้นยืนและคารวะให้กับเกาซุ่นด้วยน้ำเสียงที่นับถือ
แล้วเหล่ายอดฝีมือทั้ง 4 ของสำนักแก้วหลากสี่ที่ติดตามเกาซุ่นก็ได้หันหน้ามามองกันเองและไม่ได้พูดอะไรออกมา ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นจะเหนือกว่าเกาซุ่น แต่ฐานะของพวกเขาในสำนักแก้วหลากสีนั้นก็ไม่ได้ดีกว่าเกาซุ่น พวกเขาจึงทำได้แค่เชื่อฟังคำสั่งของเกาซุ่นเท่านั้น
นอกจากนี้ถึงแม้ว่าประวัติศาสตร์ของเหล่าเมืองโบราณในละแวกริมชายฝั่งทะเลนั้นจะไม่ได้สั้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะปะทะเข้ากับสำนักแก้วหลากสี ขอเพียงแค่เกาซุ่นนั้นลงมืออย่างระมัดระวังและเข้าครอบครองละแวกนี้ภายใต้ชื่อของสำนักแก้วหลากสีแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากมากนัก ดังนั้นทั้งสี่คนจึงไม่ได้โต้แย้งอะไรและยอมตามเกาซุ่นพาพวกเขาไปยังเมืองหลงเจียงเพื่อหารือเรื่องของศึกนี้
ในขณะที่พวกของเกาซุ่นได้แอบหารือกันเรื่องเข้าครอบครองทั่วทั้งละแวกริมชายฝั่งทะเลอยู่นั้น ผู้คนในเมืองโม่ไห่ก็ได้เริ่มวางแผนและตัดสินใจที่จะก่อตั้งพันธมิตรร่วมกันกับเมืองโบราณอื่นๆเพื่อตอบโต้อิทธิพลของสำนักแก้วหลากสีที่แผ่มาในละแวกนี้
ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่รู้ถึงแผนการของเกาซุ่น แต่พวกเขาก็ได้เตรียมการรับมือกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดเอาไว้แล้ว ซึ่งซ่างกวานจ้งก็ได้พาเย่เย่ไปที่เมืองโบราณเสียหยางทันที ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองโม่ไห่มากที่สุดและหารือกันเรื่องที่จะจับมือเป็นพันธมิตรกันกับเมืองเสียหยาง