ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 317 ผลที่ตามมาหลังจากจบศึก
บทที่ 317
ผลที่ตามมาหลังจากจบศึก
“เป็นโชคร้ายของเจ้าที่มาเจอกับข้าเย่เย่ เมื่อเจ้าลงไปในนรกก็จงไปสำนึกผิดกับคนที่ถูกเจ้าเล่นสกปรกใส่ก็แล้วกัน!”
เมื่อเย่เย่ปรากฏตัวออกมาอีกหน ตัวเขาก็ได้ปรากฏอยู่ด้านหลังของเจี่ยงหลีเซิ่งด้วยความเร็วที่น่ากลัว
เมื่อเจี่ยงหลีเซิ่งได้ยินเสียงของเย่เย่ที่ดังมาจากข้างหลังแล้วก็ได้หันหลังกลับด้วยความกลัวและฟาดฟันด้วยกระบี่ทันที
“กระบี่สวรรค์เสี้ยวเมฆา!”
นี่คือโอกาสสุดท้ายของเขาที่จะได้ใช้กระบี่สวรรค์เสี้ยวเมฆาแล้ว ถ้าหากกระบวนนี้ไม่สามารถสังหารเย่เย่ได้ เจี่ยงหลีเซิ่งก็คงหมดแรงและกลายเป็นเพียงลูกแกะที่รอถูกเชือดเท่านั้น
ดังนั้นตัวเขาจึงได้รีดเร้นพลังทั้งหมดในกายของเขาไปกับกระบวนนี้ และหวังว่าพลังของกระบี่สวรรค์เสี้ยวเมฆานั้นจะสามารถช่วยเขาสังหารเย่เย่ได้
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
กระบี่ก็ได้พุ่งขึ้นฟ้า และมีแรงลมผ่านมาจากบนก้อนเมฆพร้อมด้วยปราณกระบี่ที่พุ่งลงมาทำลายเวทีประลองยุทธจนเหี้ยน ทำให้เวทีประลองยุทธถล่มทันทีต่อหน้าต่อตาทุกคน
ตูม!
เวทีประลองยุทธถล่มลงมา พร้อมด้วยฝุ่นและควันที่คละคลุ้งไปทั่ว เหล่าผู้ชมที่อยู่รอบๆเวทีประลองก็ได้พากันถอยร่นออกมาอีก พวกเขานั้นไม่สามารถมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งเย่เย่และเจี่ยงหลีเซิ่ง
กระบวนกระบี่สวรรค์เสี้ยวเมฆาครั้งสุดท้ายของ เจี่ยงหลีเซิ่งนั้น ได้ปล่อยพลังออกมาอย่างรุนแรงเหนือกว่าปกติ ซึ่งรุนแรงมากแม้แต่ซ่างกวานจ้งที่ดูอยู่ไม่ไกลนั้นก็ยังต้องรู้สึกตื่นเต้น
แต่ทว่าหลังจากที่ควันได้จางหายไปบริเวณที่เย่เย่เคยอยู่นั้นกลับว่างเปล่า กระบวนท่ากระบี่สวรรค์เสี้ยวเมฆาครั้งสุดท้ายของเจี่ยงหลีเซิ่งนั้นไม่ได้ทำความเสียหายให้เย่เย่เลยแม้แต่น้อย!
ตูม!
ในขณะที่เจี่ยงหลีเซิ่งนั้นกำลังตกใจและตกตะลึงอยู่นั้น ก็ได้มีหมัดสังหารต่อยถูกตัวของเขา หลังจากที่เย่เย่ปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ได้จัดการสังหารเจี่ยงหลีเซิ่งอย่างไร้ปรานี!
“อุ่ฟ!”
เจี่ยงหลีเซิ่งที่สูญเสียไปอย่างมากนั้นทำให้การป้องกันนั้นตกลงไปอย่างมาก แล้วหมัดของเย่เย่นั้นก็ได้ทะลวงเข้าไปที่กลางตัวของเขา แล้วทั้งตัวของเขาก็ได้กระอักเลือดออกมาคำโต
และในขณะเดียวกันที่ตัวของเขาลอยขึ้นสู่ฟ้านั้น กระบี่ในมือก็ได้หล่นลงสู่พื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
แกร๊ง!
พร้อมด้วยเสียงของกระบี่ที่ตกลงสู่พื้น เจี่ยงหลีเซิ่งหรือที่รู้จักกันในนามผู้สังหารสวรรค์นั้นก็ได้ตกลงสู่พื้นและตายลง หมดโอกาสที่จะลุกขึ้นมาวางแผนทำร้ายใครได้อีก
เหล่าผู้ชมที่เห็นบทสรุปของการต่อสู้ในครั้งนี้ต่างก็เงียบสนิท แล้วหลังจากนั้นสักพักก็ได้ระเบิดเสียงดังออกมา
“นี่ นี่มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม?”
“ผู้สังหารสวรรค์ตาย? เขาถูกฆ่าโดยผู้มาจุติอย่างนั้นเหรอ?”
“โอ้! อย่างที่คิดเอาไว้ ผู้มาจุตินั้นเป็นที่รักของแผ่นดินว่านหลิงจริงๆด้วย!”
คนเหล่านี้ต่างก็มองไปที่เย่เย่ที่ยืนอยู่ตรงซากเวทีประลองด้วยความตกใจและอิจฉา และพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงที่บอกไม่ถูก
เหล่าผู้คนในจวนของเจ้าเมืองโม่ไห่นั้นต่างก็ตื่นเต้นมาก และมองไปที่เย่เย่ด้วยสายตาที่เร่าร้อนกว่าเดิม แม้แต่ซ่างกวานจ้งผู้ที่วางแผนจะรอดูการเปลี่ยนแปลงของเขาอยู่อีกสักพัก ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนความคิดของเขาทันที
เมื่อเขากลับมาที่จวนเจ้าเมืองพร้อมกับเย่เย่ ซ่างกวานจ้งก็ได้พูดเชิญเย่เย่อย่างจริงจังทันที “ท่านเย่เย่ ในเวลานี้ข้าอยากที่จะเชิญท่านให้มาเข้าร่วมกับเมืองโม่ไห่ของเราอย่างเป็นทางการ! ขอเพียงแค่ท่านผงกหัว ข้าจะแต่งตั้งให้ท่านเป็นรองเจ้าเมืองโม่ไห่ทันที แล้วในเมืองโม่ไห่แห่งนี้ท่านไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งของใครนอกจากข้า แล้วสิ่งของในการฝึกวิชาจำนวนมากที่อยู่ในเมืองนั้นจะเป็นของท่าน ตราบเท่าที่ท่านไม่ทรยศเมืองโม่ไห่ของเรา ข้าก็ขอสาบานว่าเมืองโมไห่ของเราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังโดยเด็ดขาด!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา แม้แต่หลิ่วซื่อหมิงและ ซ่างกวานอวี่ที่รู้จักนิสัยของซ่างกวานจ้งดีก็ยังต้องตกใจ
เดิมทีพวกเขาคิดว่าต่อให้เย่เย่นั้นเข้าร่วมกับเมืองโม่ไห่ ซ่างกวานจ้งก็คงอย่างมากก็คงให้แค่ตำแหน่งผู้นำกิตติมศักดิ์เท่านั้น แต่ไม่คิดว่าซ่างกวานจ้งนั้นจะยอมยกตำแหน่งรองเจ้าเมืองเพื่อดึงดูดใจเย่เย่เช่นนี้
อย่างไรก็ดีถึงแม้ตำแหน่งผู้นำกิตติมศักดิ์นั้นก็มีฐานะที่สูงมากซึ่งจำเป็นต้องเชื่อฟังแค่ซ่างกวานจ้งเท่านั้นแต่ไม่ได้มีอำนาจอยู่ในมือจริง แต่รองเจ้านั้นกลับต่างออกไป นอกจากจะถูกปฏิบัติแบบเดียวกันกับผู้นำกิตติมศักดิ์แล้ว อำนาจในมือนั้นก็ยังไร้ขอบเขตอีกด้วย เป็นตำแหน่งที่อยู่ต่ำกว่าคนคนเดียวและอยู่เหนือกว่าคนเป็นหมื่นในเมืองโม่ไห่ แม้แต่ซ่างกวานอวี่ที่มีตำแหน่งเป็นนายน้อยนั้นก็ยังอยู่ต่ำกว่า
ดังนั้นสายตาของผู้คนที่จ้องมองมาที่เย่เย่นั้นก็ได้เต็มไปด้วยความอิจฉา และก็ต้องตกใจและชื่นชมในความใจกว้างของซ่างกวานจ้ง
เย่เย่ก็ได้มองไปที่ความจริงใจในดวงตาของซ่างกวานจ้ง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง ตัวเขาก็ได้ผงกหัวแล้วกล่าว “ในเมื่อท่านเจ้าเมืองซ่างกวานชวนข้าอย่างจริงใจขนาดนี้ ข้าเย่เย่ก็คงต้องขอน้อมรับอย่างเชื่อฟัง ต่อจากนี้ไปข้าก็ต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับท่านเจ้าเมืองและทุกคนด้วย หากว่าเย่เย่ทำสิ่งใดผิดไปก็ได้โปรดขอให้ช่วยชี้แนะ ข้าเย่เย่จะยอมรับความคิดเห็นของทุกคนอย่างแน่นอน!”
ผลจากการต่อสู้ในครั้งนี้เป็นไปตามที่เย่เย่นั้นคาดการณ์เอาไว้ และแม้แต่เรื่องที่ซ่างกวานจ้งชวนเขานั้นก็ไม่ได้ทำให้เย่เย่นั้นประหลาดใจแต่อย่างใด แต่เย่เย่นั้นก็ไม่คิดว่าซ่างกวานจ้งนั้นจะใจกว้างขนาดที่ยอมมอบตำแหน่งรองเจ้าเมืองให้กับเขาทันทีเช่นนี้ ซึ่งไม้นี้ของซ่างกวานจ้งนั้นทำให้เย่เย่รู้สึกชื่นชมในความกล้าของซ่างกวานจ้ง
จากการต่อสู้เมื่อสักครู่นั้น ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของ เย่เย่นั้นแม้จะยังแข็งแกร่งไม่สู้หลิ่วซื่อหมิงกับคนอื่นๆ แต่หากดูจากอายุของเย่เย่และเป็นผู้มาจุติด้วยแล้ว ได้ทำให้ซ่างกวานจ้งนั้นเห็นในความสำคัญของเย่เย่มากกว่าหลิ่วซื่อหมิงและราชันย์เทพคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าซ่างกวานจ้งนั้นจะรู้ดีว่าการทำเช่นนี้อาจจะทำให้หลิ่วซื่อหมิงที่อยู่กับเขามาเป็นเวลานานนั้นอาจจะกินแหนงแคลงใจกับเขาก็ตามที แต่ซ่างกวานจ้งนั้นก็ยังหนักแน่นในความคิดนี้ของเขา และยังชวนเย่เย่ให้เข้าร่วมกับเมืองโม่ไห่ด้วยความนอบน้อมอย่างสุดๆ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะหนักแน่นขนาดนี้ได้ การที่ซ่างกวานจ้งนั้นมีความสามารถที่จะทำเช่นนี้ได้นั้นเหนือความคาดหมายของเย่เย่ไปไกลมาก ทำให้เย่เย่ไม่ปฏิเสธและยอมรับคำเชิญของ ซ่างกวานจ้งและเข้าเป็นสมาชิกของเมืองโม่ไห่อย่างเป็นทางการ
เมื่อเห็นว่าซ่างกวานจ้งกับเย่เย่นั้นมีรอยยิ้มที่พึงพอใจ หลิ่วซื่อหมิง, ซ่างกวานอวี่และคนอื่นๆต่างก็ได้ยอมรับในการตัดสินใจของซ่างกวานจ้ง แม้ว่าในใจของพวกเขานั้นจะพูดไม่ออกเล็กน้อยก็ตามที
เพราะอีกไม่นานข่าวเรื่องการต่อสู้ของเย่เย่กับ เจี่ยงหลีเซิ่งนั้นก็คงจะได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งดินแดนเทียนหนานในไม่ช้า หลังจากศึกนี้ไปความแข็งแกร่งของเย่เย่นั้นก็จะต้องตกเป็นที่สนใจของขุมกำลังที่แข็งแกร่งกว่าเมืองโม่ไห่มากมายมาชวนเย่เย่ให้ไปเข้าร่วมกับพวกเขาเป็นแน่ ถ้าหากซ่างกวานจ้งนั้นไม่รีบแสดงความจริงใจออกมาให้เย่เย่ได้เห็น แล้วปล่อยให้เย่เย่ตัดสินใจแล้วนั้น ก็เกรงว่าคงอีกไม่นานก่อนที่คนเหล่านั้นจะมาที่หน้าประตูจวนเจ้าเมืองโม่ไห่เพื่อมาชวนเย่เย่ไปเข้าร่วมกับพวกเขา
เมื่อถึงเวลานั้นเมืองโม่ไห่ก็จะไม่มีต้นทุนใดๆมาใช้สู้กับพวกขุมกำลังใหญ่ๆเป็นแน่ และถ้าเกิดไม่ระวังตัวแล้วตกกลายเป็นเป้าหมายของขุมกำลังใหญ่ๆให้พวกเขาแสดงอำนาจหรือระบายความโกรธแล้วล่ะก็ ผลที่ตามมานั้นก็อาจจะเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้ แต่ทว่าซ่างกวานจ้งนั้นได้ใช้ไม้นี้ในการทำให้ได้เย่เย่มาอยู่ในครอบครองก่อน ต่อให้มีขุมอำนาจอื่นๆที่ยังหมายตาเย่เย่อยู่แต่ส่วนใหญ่ก็คงจะต้องยอมถอยและเมืองโม่ไห่ก็จะรอดวิกฤตินี้ไปได้โดยปริยาย
หลังจากศึกนี้แล้ว บรรยากาศในจวนเจ้าเมืองนั้นก็ได้ค่อยๆเปลี่ยนไป
ซ่างกวานจ้งเองก็ได้อารมณ์ดีเพราะการยอมเข้าร่วมของเย่เย่ และงานเลี้ยงเพื่อฉลองให้เหล่ายอดฝีมือของเมืองโม่ไห่ก็ได้ถูกจัดขึ้นอีกหน และประกาศให้พวกเขารับทราบเรื่องที่เย่เย่จะกลายมาเป็นรองเจ้าเมืองอย่างเป็นทางการ ไม่นานนักทั่วทั้งเมืองโม่ไห่นั้นต่างก็ได้พากันยินดีที่ได้รองเจ้าเมืองที่มีความสามารถ แล้วทั่วทั้งเมืองต่างก็ได้เต็มไปด้วยความคึกคัก
แต่ทว่าอิทธิพลของการที่เย่เย่เอาชนะเจี่ยงหลีเซิ่งได้ในการประลองนั้นห่างไกลจากคำว่าจะสงบลงได้ง่ายๆ
ไม่เพียงแต่เหล่าเมืองโบราณที่อยู่ติดชายฝั่งจะตกใจกับข่าวนี้แล้ว แต่ยังรวมถึงผู้นำขุมกำลังต่างๆในดินแดนเทียนหนานที่จดจำชื่อของเย่เย่ได้อีกหน
ก่อนหน้านี้ในสายตาของพวกเขานั้นเย่เย่นั้นเป็นเพียงผู้มาจุติที่มีพรสวรรค์ไร้ขีดจำกัดเท่านั้น แต่ในเวลานี้เย่เย่ได้กลายเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงที่อยู่ได้ด้วยตัวเองได้ ด้วยการฝึกอีกนิดหน่อยพวกเขาก็มั่นใจว่าเย่เย่นั้นจะต้องกลายมาเป็นขุมพลังขนาดใหญ่ให้กับกองกำลังของพวกเขาเป็นแน่ ทำให้ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ให้พวกเขาในยามที่อยู่ในช่วงเวลาวิกฤติเป็นแน่
ดังนั้นต่อให้คนเหล่านี้ทราบข่าวเรื่องที่เย่เย่เข้าร่วมกับเมืองโม่ไห่แล้วก็ตาม พวกเขาต่างก็ยังคิดที่จะเอาเย่เย่เข้ามาอยู่ภายใต้การสั่งการของพวกเขาอยู่ดี
ภายใต้แรงกดดันของสำนักต่างไฟนั้น ความต้องการผู้มีความสามารถของพวกเขานั้นอยู่ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ความสนใจของพวกเขาที่มีต่อเย่เย่นั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป แต่ทว่าท่าทีของสำนักต่างไฟที่เป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งในดินแดนเทียนหนานที่มีต่อผู้มาจุตินั้นไม่ได้เข้มงวดหรือเด็ดขาดอย่างที่คนภายนอกคิด
“จ้งหมิง ข้าเชื่อว่าเจ้าคงเคยจะได้ยินข่าวลือเรื่องของผู้มาจุติในเมืองโม่ไห่มาบ้าง? เจ้าคิดว่าสำนักต่างไฟของพวกเราควรที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ไหม?”
ภายในห้องโถงใหญ่ของสำนักต่างไฟ ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนโดยเอามือไขว้หลังอยู่นั้น ในขณะที่กำลังมองดูท้องฟ้าข้างนอกห้องโถงอย่างสุนทรีย์อยู่นั้น เขาก็ได้ถามคนที่อยู่ข้างหลังของเขาอย่างใจเย็น
ซึ่งชายวัยกลางคนที่ยืนเอามือไขว้หลังอยู่นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเซี่ยงหวา เจ้าสำนักต่างไฟผู้ที่ยืนอยู่จุดสูงสุดในดินแดนเทียนหนาน ถึงแม้ว่าเซี่ยงหวานั้นจะดูเหมือนอายุยังไม่ถึง 40 แต่อายุที่แท้จริงของเขานั้นก็เกิน 300 ไปแล้ว และกลายมาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักต่างไฟ
ส่วนชายที่ยืนอยู่ข้างหลังเซี่ยงหวานั้นก็ดูเหมือนจะอายุน้อยกว่าเซี่ยงหวาแค่ปีสองปีเท่านั้น แต่ทว่าเขานั้นคือ เสิ่นจ้งหมิงลูกศิษย์คนสนิทที่กลายมาเป็นที่ยอมรับของเซี่ยงหวาเมื่อ 100 ปีก่อน เพราะเสิ่นจ้งหมิงนั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา แม้ว่าตัวเขานั้นจะไม่ใช่ผู้มาจุติ แต่ก็ไม่มีใครในดินแดนเทียนหนานที่รู้สึกว่าอนาคตของเสิ่นจ้งหมิงนั้นจะด้อยไปกว่าของผู้มาจุติเลย
แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่วรยุทธ์ของเสิ่นจ้งหมิงที่อยู่ในระดับสูงสุดของจักรพรรดิเทพด้วยอายุเพียงแค่ 100 ปี ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในดินแดนเทียนหนานที่สามารถเทียบเคียงกับเขาได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเสิ่นจ้งหมิงนั้นไม่สนใจเรื่องของพลังอำนาจแล้วอุทิศตนอย่างเต็มที่ในการฝึกวิชาแล้ว เกรงว่าตัวเขานั้นคงได้ถูกเซี่ยงหวาเลือกให้เป็นเจ้าสำนักต่างไฟคนต่อไป
ในเวลานี้ข่าวเรื่องที่เย่เย่ได้สังหารเจี่ยงหลีเซิ่งนั้นได้แพร่จากเมืองโม่ไห่มาถึงสำนักต่างไฟแล้ว ซึ่งเซี่ยงหวาก็ได้เรียนเสิ่นจ้งหมิงให้มาพบ และถามความคิดเห็นของเซิ่นจ้งหมองโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
“เรียนท่านเจ้าสำนัก ข้าคิดว่าสิ่งสำคัญของสำนักต่างไฟของพวกเราในเวลานี้คือการรวมดินแดนเทียนหนานให้กลายเป็นหนึ่งเดียว และพวกเราก็ไม่ควรที่จะไปสนใจเรื่องอื่นๆในช่วงเวลานี้ ต่อให้ผู้มาจุตินั้นเข้าร่วมกับเมืองโม่ไห่ ก็ยังไม่นับเป็นอันตรายกับพวกเราในช่วงเวลานี้อยู่ดี เพราะยิ่งเรื่องของความล้มเหลวในการก่อตั้งพันธมิตรร่วมของสำนักแก้วหลากสีนั้น การหลอมรวมหรือทำลายกันเองของขุมกำลังเล็กๆทั้งหลายนั้นก็คงจะเกิดขึ้นในไม่ช้า บางทีต่อให้พวกเราไม่ตั้งเมืองโม่ไห่เป็นศัตรู เมืองโม่ไห่ก็คงจะถูกเผาจนราบเป็นหน้ากลองโดยศัตรูของพวกเขาเองอยู่ดี!”
เซิ่นจงหมิงก็ได้ตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของ เซี่ยงหวา แล้วจากนั้นก็ได้เสนอความคิดเห็นของเขาออกไปตามตรง
เพราะด้วยนิสัยของเขาที่ชอบยืนดูอยู่วงนอก และเลือกที่จะไม่เข้าร่วมกับศึกใดๆที่ไม่เกี่ยวข้อง ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาเช่นนี้แล้ว เซิ่นจ้งหมิงก็ได้เลือกที่จะรอดูการเปลี่ยนแปลง และเสนอให้เซี่ยงหวานั้นทุ่มกำลังของเขาไปกับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของสำนักต่างไฟแทน
แต่เซี่ยงหวานั้นกลับยิ้มอย่างเงียบๆเมื่อได้ยินคำตอบของเสิ่นจ้งหมิง และได้ส่ายหัวของเขาและกล่าวกับเสิ่นจ้งหมิง “จ้งหมิง เจ้ายังประเมินค่าของผู้มาจุติต่ำเกินไปนะ!”
น้ำเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์และบรรยากาศที่หนักอึ้ง ราวกับว่าตัวเขานั้นมีความทรงจำที่ฝังลึกบางอย่างอยู่ และดวงตาของเขานั้นก็ได้สูญเสียความเยือกเย็นไปชั่วขณะ
ถึงแม้ว่าตัวเขานั้นจะยืนอยู่ข้างหลังเซี่ยงหวา แต่ตัวเขานั้นก็ไม่อาจที่จะมองเห็นสีหน้าของเซี่ยงหวาในเวลานี้ได้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างตัวเขาก็รู้สึกได้ถึงความขึงขังและส่วนลึกในใจของเซี่ยงหวาในเวลานี้ แล้วสีหน้าบนใบหน้าของเขานั้นก็ได้จริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ และมีท่าทีรับฟังการสั่งสอนของเซี่ยงหวาด้วยความเคารพ
แต่ทว่าเซี่ยงหวานั้นก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้เสิ่นจ้งหมิงฟัง แต่กลับถามเสิ่นจ้งหมิงต่อ “จ้งหมิง ถ้าหากว่าข้ามีความคิดที่จะส่งคนไปที่เมืองโม่ไห่เพื่อไปชวนเย่เย่แล้วทำให้เขาเข้ามาเป็นศิษย์สำนักต่างไฟของพวกเราแล้ว เจ้าคิดว่าคนภายนอกจะคิดกับสำนักของพวกเราอย่างไร?”