ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 310 เมืองโบราณหลงเจียง
บทที่ 310
เมืองโบราณหลงเจียง
เมืองโบราณหลงเจียงนั้นตั้งอยู่ในทางทิศเหนือของเมืองโบราณโม่ไห่ ซึ่งไม่เพียงแต่จะอยู่ใกล้กันกับเมืองโม่ไห่แล้วแต่ยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเมืองโม่ไห่อีกด้วย
เมื่อข่าวเรื่องที่ผู้มาจุติปรากฏตัวในเมืองโม่ไห่นั้นได้แพร่กระจายมาถึงเมืองหลงเจียงแล้ว สิงเทียนหมิงเจ้าเมืองโบราณหลงเจียงเองก็ได้ไปหารือเรื่องของการรับมือสำนักต่างไฟที่สำนักแก้วหลากสีด้วย ซึ่งเรื่องจัดการในเมืองทั้งใหญ่น้อยนั้นล้วนถูกจัดการโดยลูกชายของเจ้าเมืองสิงอู๋เจียง
เมื่อสิงอู๋เจียงได้ทราบข่าวนี้ เขาก็ได้เรียกเฉินจิ้นคนสนิทของเขาให้มาพบและบอกการตัดสินใจครั้งใหญ่ของเขาให้รู้
“เฉินจิ้น ในเวลานี้เจ้ารีบไปขี่อินทรีทองหกปีแล้วไปยังสำนักแก้วหลากสีเพื่อไปรับท่านเจ้าเมืองกลับมาโดยด่วน และจากนั้นก็พาไปบุกเมืองโม่ไห่เพื่อชิงเอาตัวผู้มาจุติมาให้ได้! ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมให้ความร่วมมือดีๆแล้วล่ะก็ต่อให้ต้องฆ่าเขาให้ตายคาที่ ก็อย่าให้เขาทำงานให้เมืองโม่ไห่เด็ดขาด!”
เมื่อสิงอู๋เจียงนั้นเห็นเฉินจิ้นปรากฏตัวออกมา ตัวเขาก็ได้ออกคำสั่งออกไปทันทีด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่
“เรียนนายน้อย อินทรีทองหกปีกนั้นเป็นเหมือนไพ่ตายของเมืองหลงเจียงของพวกเรา ถ้าเกิดเปิดเผยออกมาตอนนี้ที่พวกเราปิดซ่อนมาตลอดนั้นมันจะไม่สูญเปล่าเหรอขอรับ?”
เฉินจิ้นก็ได้ตกใจเมื่อได้ยินคำสั่งของสิงอู๋เจียง แล้วจากนั้นก็ได้ถามสิงอู๋เจียงด้วยน้ำเสียงที่ไม่ชัดเจน
เพราะว่าอินทรีทองหกปีกนั้นเป็นสัตว์อสูรที่เร็วที่สุดในบรรดาสัตว์อสูรต่างๆ ซึ่งเรียกได้ว่าล้ำค่ามาก ทุกขุมอำนาจใหญ่ๆที่เลี้ยงอินทรีทองหกปีกเอาไว้นั้นมักจะเก็บเอาไว้ใช้เป็นไพ่ตาย ซึ่งเมืองหลงเจียงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เพียงแต่ค่าใช้จ่ายในการจับอินทรีทองหกปีกนั้นมีราคาที่สูงมาก จึงมีน้อยคนนักที่จะคิดว่าเมืองเล็กๆอย่างหลงเจียงนั้นจะเลี้ยงอินทรีทองหกปีกเอาไว้ ซึ่งทางเมืองหลงเจียงเองก็ได้เก็บอินทรีทองหกปีกนั้นไว้เป็นความลับสุดยอดมาโดยตลอด ซึ่งนอกจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงไม่กี่คนในจวนเจ้าเมืองแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นที่รู้เรื่องนี่อีก
ในเวลานี้สิงอู๋เจียงนั้นได้ตัดสินใจที่จะเปิดเผยความลับของเมืองหลงเจียง ซึ่งจะต้องส่งผลกระทบอย่างมากกับแผนในอนาคตของเมืองหลงเจียงอย่างแน่นอน ดังนั้นเฉินจิ้นจึงได้ถามยืนยันจากสิงอู๋เจียงอีกหน
แต่ทว่าสิงอู๋เจียงกลับส่ายหัว แล้วจ้องมองไปท่เฉินจิ้นแล้วกล่าว “ถึงแม้ว่าอินทรีทองหกปีกนั้นเดิมทีจะเอาไว้ใช้จัดการกับตาเฒ่าซ่างกวานจ้งก็ตามที แต่เรื่องของผู้มาจุตินั้นก็มีค่ามากพอให้เปิดเผยไพ่ตายนี้ก่อนเช่นกัน ตราบเท่าที่เมืองหลงเจียงของพวกเรานั้นสามารถได้รับการสวามิภักดิ์ของผู้มาจุติได้ เมืองโบราณโม่ไห่นั้นก็จะไม่ใช่ศัตรูของพวกเราอีกต่อไป”
ในตอนที่เขาได้รับทราบถึงเรื่องของผู้มาจุติในเมืองโมไห่นั้น สิงอู๋เจียงก็ทั้งกระวนกระวายและตื่นเต้น เพราะเมืองโม่นั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเมืองหลงเจียง ซึ่งบุญคุณความแค้นระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นยากที่จะสะสางได้ ถ้าหากว่าเมืองโม่ไห่นั้นได้รับความสวามิภักดิ์จากผู้มาจุติแล้วล่ะก็ มันคงเป็นเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆของเมืองหลงเจียงเป็นแน่
โชคยังดีที่ในเวลานี้ซ่างกวานจ้งเจ้าเมืองโม่ไห่นั้นไม่ได้อยู่ในเมือง ถึงแม้ว่าลำพังสิงอู๋เจียงคนเดียวนั้นไม่มั่นใจว่าจะฝ่าเข้าไปในเมืองโม่ไห่และชิงตัวผู้มาจุติออกมาได้ แต่เมืองหลงเจียงก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นหากว่าก่อนที่ซ่างกวานจ้งจะกลับมาถึงเมืองโม่ไห่ ตัวเขาจะสามารถพาตัวเจ้าเมืองของพวกเขากลับมาได้ก่อนและบุกโจมตีเมืองโม่ไห่พร้อมกัน
สิงอู๋เจียงนั้นไม่เชื่อว่าลำพังซ่างกวานอวี่กับหลินฉีนั้นจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของพ่อของเขาสิงเทียนหมิงได้ หากว่าพวกเขานั้นไปถึงเมืองโม่ไห่ได้ก่อนซ่างกวานจ้งแล้ว การบุกชิงตัวผู้มาจุตินั้นก็จะง่ายเหมือนกับหยิบของออกมาจากกระเป๋าของพวกเขา
แต่ทว่าสีหน้ากังวลของเฉินจิ้นนั้นก็ยังคงไม่หายไปอยู่ดี ตัวเขารู้สึกลังเลอยู่สักพักหนึ่งแล้วจากนั้นก็ได้รวบรวมความกล้าขึ้นมาแล้วกล่าวเตือนสิงอู๋เจียงอีกหน “เรียนนายน้อย ถ้าหากพวกเราสามารถชิงตัวหรือสังหารผู้มาจุติในเมืองโม่ไห่ได้สำเร็จ แต่เมืองโม่ไห่นั้นยังไม่ยอมแพ้และบุกเข้ามาเพื่อทำศึกตัดสินกับพวกเราแล้วล่ะก็ เมื่อถึงเวลานั้นจำนวนของผู้บาดเจ็บล้มตายของทั้งสองฝ่ายก็อาจจะประเมินค่ามิได้ เมืองหลงเจียงของพวกเรานั้นพร้อมแล้วจริงๆหรือขอรับ?”
คำพูดของเฉินจิ้นนั้นก็ได้ทำให้สิงอู๋เจียงนั้นอ้ำอึ้งในทันที และมีสีหน้าละอายใจบนใบหน้าของเขา
อย่างไรเสียพวกเขาเองก็ได้ข่าวมาจากสำนักแก้วหลากสีมาก่อนแล้ว และรู้ว่าอีกไม่นานดินแดนเทียนหนานนั้นจะเข้าสู่ช่วงโกลาหล ถ้าหากเมืองหลงเจียงนั้นสูญเสียความแข็งแกร่งไปจากการทำศึกกับเมืองโม่ไห่แล้ว โอกาสที่พวกเขาจะรอดจากความโกลาหลนี้ไปได้ก็จะลดลงไปอย่างมาก ซึ่งปัญหานี้นั้น สิงอู๋เจียงนั้นจะประมาทไม่ได้เลย
แต่ในท้ายที่สุดคำว่า“ผู้มาจุติ”นั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของสิงอู๋เจียง หลังจากที่ลังเลอยู่สักพักตัวเขาก็ได้กล่าวกับ เฉินเจี้ยนด้วยใบหน้าที่น่ากลัว “เจ้าช่วยเตือนสติข้าไว้! เดิมทีข้านั้นคิดแค่ว่าจะให้ท่านพ่อนั้นไปที่เมืองโม่ไห่เพื่อชิงตัวผู้มาจุติให้ได้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฉวยโอกาสนี้ทำศึกตัดสินกับเมืองโม่ไห่ได้! แต่เอาเป็นว่าตอนนี้เจ้าทำตามที่ข้าสั่งเมื่อสักครู่ก่อน รีบไปขี่อินทรีทองหกปีกแล้วมุ่งหน้าไปที่สำนักแก้วหลากสีเพื่อไปรับท่านเจ้าเมืองกลับมาก่อน แล้วเดี๋ยวข้าจะจัดการที่เหลือเอง!”
“ขอรับ!”
เมื่อเห็นสิงอู๋เจียงทำการตัดสินใจได้แล้วนั้น เฉินจิ้นก็ได้หยุดพูดและรีบทำตามคำสั่งทันที
ไม่นานเสียงร้องของนกอินทรีทองคำก็ได้ดังไปทั่วทั้งเมืองหลงเจียง เมื่อผู้คนในเมืองหลงเจียงได้เห็นอินทรีทองหกปีกขนาดยักษ์ได้พุ่งทะยานออกมาจากจวนเจ้าเมืองแล้ว สีหน้าของพวกเขาก็ได้เต็มไปด้วยความตกใจ, ภูมิใจและตื่นเต้นเมื่อเห็นว่ามีอินทรีทองหกปีกอยู่ในเมืองหลงเจียงของพวกเขา
แต่ในบรรดาผู้คนที่กำลังตื่นเต้นนั้น ก็มีคนมากมายที่พอจะเดาได้รางๆว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่ๆเกิดขึ้นในเมืองหลงเจียงเป็นแน่ ในใจของพวกเขาก็ได้ค่อยๆหนักอึ้งและเริ่มคิดที่จะวางแผนหนีไป
อีกทางด้านหนึ่ง ตัวตนที่ถูกเปิดเผยของเย่เย่นั้นก็ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงขึ้นในเมืองโม่ไห่เช่นกัน โดยเฉพาะเหล่าผู้ที่เห็นเย่เย่ตกลงมาจากท้องฟ้านั้นต่างก็คิดว่าเย่เย่นั้น มีบางคนที่คิดว่าเย่เย่นั้นคือสิ่งที่สวรรค์ประทานมาช่วยเมืองโม่ไห่
แต่ทว่าผิดกับผู้คนในเมืองโม่ไห่ที่กำลังพากันตื่นเต้นกันอยู่นั้น ในจวนเจ้าเมืองโม่ไห่นั้นกลับตกอยู่ในความตึงเครียดและบรรยากาศนั้นก็ได้ตึงเครียดอย่างสุดๆอีกด้วย
“ตรวจสอบเร็วเข้า! พวกเราจะหาให้ได้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องตัวตนของเย่เย่ออกไป! พวกเราอุตส่าห์มีโอกาสที่จะพลิกวิกฤติของเมืองโม่ไห่แล้วทั้งที แต่ในเวลานี้ต้องผิดพลาดไปหมดก็เพราะคนที่ปล่อยข่าว ทางจวนเจ้าเมืองจะไม่ยอมปล่อยคนคนนั้นรอดไปเฉยๆแน่นอน!”
เมื่อซ่างกวานอวี่ได้รับทราบเรื่องที่ตัวตนของเย่เย่ได้รั่วไหลออกไปแล้วนั้น ตัวเธอนั้นก็ได้โกรธจัดจนนอนไม่หลับทั้งคืน ในวันต่อมาเธอจึงได้เรียกรวมทุกคนในจวนเจ้าเมืองให้มารวมกันและประกาศว่าเธอจะทำการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วน
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้คนในจวนเจ้าเมืองนั้นเห็นซ่างกวานอวี่นั้นโกรธขนาดนี้ ทำให้พวกเขาต่างก็พากันอ้ำอึ้งและไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป มีเพียงเย่เย่ที่ยังคงนั่งจิบชาด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยราวกับเป็นคนนอก
ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้นั้น ถึงแม้ว่าเย่เย่จะรู้จักอยู่แค่ไม่กี่คนแต่ในใจของเขานั้นก็พอจะรู้ว่าใครกันที่เป็นคนปล่อยข่าวออกไป
แม้ว่าหลังจากที่ออกมาจากคุกแล้วหลินฉีนั้นจะเป็นเหมือนกับผู้คนในจวนเจ้าเมืองและมีความสนใจในตัวเย่เย่ แต่เย่เย่นั้นก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความมุ่งร้ายแผ่ออกมาจากตัวของหลินฉีได้จางๆอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าความมุ่งร้ายนี้จะถูกเก็บซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหลินฉีก็ตามที แต่เย่เย่ก็เชื่อว่าความรู้สึกของเขานั้นไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน
นอกจากนี้มีคนอยู่ไม่มากนักทั่วทั้งเมืองโม่ไห่ที่รู้ว่าเขานั้นเป็นผู้มาจุติ ดังนั้นหลินฉีจึงเป็นคนที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะปล่อยข่าวเรื่องของเขาออกไป ดังนั้นก่อนที่ซ่างกวานอวี่จะพบหลักฐาน เย่เย่ก็จะยังไม่แสดงจุดยืนของเขาออกไปง่ายๆเพื่อที่ว่าจะได้ไม่ตกลงไปในหลุมพรางของหลินฉีและทำให้ตัวเองต้องเสียเปรียบ
ในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ตัวเขานั้นหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้บอกออกไปว่าจะเข้าร่วมกับ เมืองโม่ไห่หรือไม่หรือจะทำงานให้จวนเจ้าเมืองเป็นการชั่วคราวดี ซึ่งซ่างกวานอวี่เองก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรเขา เธอทำได้แค่สั่งให้คนไปเสริมการป้องกันเมืองโม่ไห่ แล้วในขณะเดียวกันก็ได้ส่งคนออกไปค้นหาที่อยู่ของมังกรสองหัวต่อ
แต่ทว่าเรื่องของตัวตนของเย่เย่ที่รั่วไหลออกไปนั้นได้ทำให้การส่งคนออกไปของซ่างกวานอวี่นั้นต้องหยุดชะงัก ทำให้เมืองโม่ไห่นั้นต้องตกกลายเป็นเป้าเล่นงานของขุมอำนาจทั้งใหญ่น้อยในดินแดนนี้ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมซ่างกวานอวี่นั้นถึงได้โกรธจัดและเป็นครั้งแรกเลยที่เธอโกรธต่อหน้าทุกคนในจวนเจ้าเมืองเช่นนี้
“คุณหนูขอรับ อย่าเพิ่งโมโหไปเลยขอรับ ทันทีที่ข่าวรั่วไหลออกไปนั้น ข้าได้รีบทำการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว เพียงแต่ข้าไม่นึกว่าคนไม่นึกว่าคนเพียงไม่กี่คนที่ทำหน้าที่อยู่ในคุกนั้นจะปฏิเสธที่จะยอมรับ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรวมกลุ่มกันจนมีความสามารถมากพอที่จะต่อต้านการตรวจสอบได้ ข้าจึงได้ทำการสังหารพวกเขาทั้งหมดเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างไปเรียบร้อยแล้วขอรับ!”
หลังจากที่นิ่งเงียบกันอยู่สักพัก หลินฉีก็ได้ถือโอกาสเดินเข้าไปหาและเข้ามารายงานผลการตอบสอบให้ซ่างกวานอวี่ฟังด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง
ซึ่งหลังจากที่ได้ยินที่เขาพูดแล้วก็ได้มีสีหน้าตกใจปรากฏบนใบหน้าของทุกคนในห้องโถงนี้
“พี่หลิน เจ้า!”
ซ่างกวานอวี่ก็ได้มองไปที่หลินฉีด้วยความตกใจ ในชั่วขณะนั้นเองตัวเธอนั้นไม่รู้ว่าจะโทษหรือจะชมเขาดี
ส่วนคนอื่นๆก็ได้ทำความเข้าใจเสียใหม่ถึงความโหดเหี้ยมของหลินฉี พวกเขาก็ได้มองไปที่หลินฉีด้วยความหวาดกลัวพวกเขานั้นกลัวกว่าจะต้องกลายเป็นเป้าหมายต่อไปของหลินฉี
“โหดเหี้ยมมากพอที่จะผลักให้ทุกสิ่งทุกอย่างตายได้เลยนะเนี่ย!”
เย่เย่เองก็ได้มองไปที่หลินฉีด้วยสีหน้าตกใจ และไม่คาดคิดว่าหลินฉีนั้นจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่ซ่างกวานอวี่จะเริ่มทำการสอบสวนเสียอีก
และเพราะผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุดนั้นกลับถูกสังหารโดยหลินฉีเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในเวลานี้คดีนี้ก็ได้จบลงด้วยความตายที่ไร้หลักฐาน มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสอบสวนเรื่องนี้ต่อได้ก่อนที่คนในจวนเจ้าเมืองนั้นจะมาสงสัยหลินฉี
สีหน้าของซานกวานอวี่นั้นก็ได้ไม่ดีขึ้นมา แต่ตัวเธอนั้นรู้สึกเป็นกังวลกับฐานะของหลินฉีในจวนเจ้าเมืองนี้มากกว่า เธอจึงได้ไม่แสดงอาการไม่พอใจออกไปบนใบหน้า กลับกันเธอก็ได้พุ่งเป้าไปที่จุดประสงค์ของการประชุมนี้นั่นคือจะหาทางแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร
“คุณหนูขอรับสำหรับตอนนี้ พวกเราควรจะรอให้ท่านเจ้าเมืองกลับมาเสียก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป ซึ่งก่อนหน้านั้นพวกเราควรที่จะเสริมการป้องกันของพวกเราเสียก่อน เจ้าเมืองหลงเจียงกับขุมอำนาจอื่นๆเองต่างก็ไปที่สำนักแก้วหลากสี ดังนั้นพวกเราจึงยังไม่ต้องกังวลให้มากนัก!”
ในเวลานี้เองหลิ่วซื่อหมิงราชันย์เทพเพียงคนเดียวในเมืองโม่ไห่ และเป็นหนึ่งในสามของคนที่ให้การนับถือในจวนเจ้าเมืองนั้น ก็ได้กล่าวปลอบซ่างกวานอวี่ด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น
เพราะว่าหลิ่วซื่อหมิงนั้นเป็นหนึ่งในคนแรกๆที่สวามิภักดิ์เข้าร่วมกับจวนเจ้าเมืองและจงรักภักดีต่อซ่างกวานจ้งอย่างมาก ตัวเขาจึงได้ทำหน้าที่คุ้มกันเมืองโม่ไห่และค่อยดูแลปกป้อง ซ่างกวานอวี่กับคนอื่นๆในขณะที่ซ่างกวานจ้งเดินทางไปที่สำนักแก้วหลากสี
ในมุมมองของหลิ่วซื่อหมิงนั้นถึงแม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันของเมืองโม่ไห่นั้นจะยากลำบาก แต่ขอเพียง ซ่างกวานจ้งกลับมาได้ทันเวลา ปัญหาทั้งหมดก็จะถูกสะสางลงทันที หน้าที่ของเขาในเวลานี้คือต้องปกป้องซ่างกวานอวี่กับคนอื่นๆเอาไว้ให้ได้ก่อนที่ซ่างกวานจ้งจะกลับมา ตัวเขาจึงไม่ได้รู้สึกกดดันมากนัก
ซึ่งหลังจากที่ได้ยินที่หลิ่วซื่อหมิงกล่าวแล้วคนอื่นๆในจวนเจ้าเมืองนั้นต่างก็ผงกหัวเห็นด้วย
ส่วนเย่เย่ที่เข้าร่วมการประชุมนี้ในฐานะผู้ชม รวมถึงเรื่องที่ตัวตนในฐานะผู้มาจุติของเขาที่รั่วไหลออกไปนั้นก็ไม่ได้ส่งผลเสียกับเขามากเท่าไรนัก ทำให้ตัวเขานั้นไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกไป เขามองดูซ่างกวานอวี่กับพรรคพวกที่ดูเหมือนจะได้ข้อสรุปในการประชุมนี้แล้ว ตัวเขาจึงได้กล่าวลาพวกเขาแล้วกลับไปยังห้องพักของตัวเองในจวนเจ้าเมือง