ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 380 ไม่คิดว่าเจ้าจะข้ามอสนีบาตเช่นนี้
สายฟ้าสีทองโลดแล่นผสานกันเป็นตาข่าย จากนั้นค่อยๆ รวมตัวกันเป็นก้อน คล้ายว่าพลังงานมวลใหญ่จะกดผืนฟ้าให้ถล่มแล้ว
“พับผ่าสิ นี่มันอสนีระดับแปลงจิตจริงๆ เหรอ สุดยอดเกินไปหรือเปล่า” ตอนแรกอันหลินมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่เมื่อเห็นสายฟ้าที่เหมือนจะทำลายล้างแม้กระทั่งนภาลัย ก็เริ่มหวั่นใจขึ้นมาดื้อๆ
ทีแรกเขาตั้งใจว่าหากใกล้จะต้านทานการถูกฟ้าผ่าจากการข้ามอสนีบาตไม่ได้ ค่อยเผยไพ่ตายของตัวเอง
แต่บัดนี้ เขาคิดว่าชิงนำไพ่ตายออกมาก่อนเป็นดีที่สุด
“ออกมาเลย อิฐแรกกำเนิด!”
อันหลินตะโกนลั่นอย่างองอาจเต็มที่ แหวนมิติพลันสว่างวาบ
จากนั้นก็ไม่มีหลังจากนั้นแล้ว
อะไรกัน!
ใจของอันหลินวูบโหวง เรียกอิฐแรกกำเนิดอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าจะไม่ออกมาเช่นเดิม ราวกับว่าถูกพลังงานบางอย่างพันธนาการ
อันหลิน “…”
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า สายฟ้าสีทองเริ่มขยับเขยื้อน หลอมผสาน…
ก้อนอิฐสีนิลที่มีพลังป้องกันอันดับหนึ่ง ทำไมถึงไม่ออกมา
หรือว่า…สวรรค์จะคร่าเซียนกระบี่อันหลินอย่างเรา
ขณะนั้นเอง เรื่องที่น่าตะลึงยิ่งกว่าก็บังเกิดขึ้น
อสนีทองอนัตตาบนท้องนภาค่อยๆ หลอมรวมกันช้าๆ สุดท้ายก่อตัวเป็นกิเลนสีทองขนาดราวๆ สิบจั้งตัวหนึ่ง
กิเลนเกลือกกลิ้งกลางเมฆทะมึน เพียงชั่วหนึ่งอึดใจ ประหนึ่งเทพเจ้าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าคำรามเกรี้ยว กรงเล็บแหลมคมของสายฟ้าพาดผ่านเวหา พร้อมกับเสียงแผดร้องดังเป็นระลอกๆ อากาศก็มีรอยร้าวจางๆ ปานกระจกที่ได้รับแรงกระเทือน
ต่อให้อันหลินจะโง่เง่า แต่ก็รู้แล้วว่าอสนีพวกนี้ไม่ธรรมดา
เขาเบนสายตามองผองเพื่อนที่อยู่ไกลออกไป พบว่าเซียนกระบี่หลิงเซียวทำหน้าขึงขัง สวีเสี่ยวหลานตาแดงก่ำ แฟนคลับที่เชื่อมั่นในตัวเขาอย่างยิ่งก็ใบหน้าซีดเผือดเช่นกัน
อืม…ดูเหมือนเรื่องราวจะสาหัสกว่าที่เขาคิดเสียอีก
เหล่าอาจารย์บนเขาชมจันทร์ก็งงเป็นไก่ตาแตก
“ใครบอกข้าได้บ้างว่า อสนีบาตที่อันหลินข้ามคืออสนีอะไร”
“เป็นอสนีทองอนัตตาระดับแปลงจิตก็เกินพอแล้ว สายฟ้ายังกลายร่างเป็นภูตได้ด้วยหรือ”
“สวรรค์ไม่ปล่อยให้เขารอดแล้ว!”
“ชาติก่อนอันหลินทำลายโลกหรืออย่างไร”
“ข้าคิดว่าพวกเราถอยห่างอีกหน่อยดีกว่า…”
…
เมฆดำสิบลี้ม้วนตัว ฟ้าดินมืดสลัว
แต่กิเลนสายฟ้าสีทองที่ปรากฏกายกลางเมฆดำ กลับนำแสงทองมาสู่แผ่นดินผืนนี้
พลังงานสายฟ้าที่แฝงอานุภาพของสวรรค์ทำให้คนเกิดความรู้สึกต้านทานไม่ได้ แสงสว่างเจิดจ้าชวนให้รู้สึกอยากศิโรราบ
ณ ตีนเขาชมจันทร์ เต็มไปด้วยเงาจำนวนมาก นั่นเป็นเหล่าลูกศิษย์ที่อดใจไม่ไหวโดดเรียน แอบมุ่งหน้ามาดูให้เห็นประจักษ์ สิ่งที่ควรค่าให้พูดถึงคือ หลังพวกเขาเห็นกิเลนสายฟ้าที่มองเย้ยทุกคนบนท้องนภา ก็สูญสิ้นความคิดที่จะเดินหน้าต่อไป
อันหลินหายใจถี่กระชั้น เพียงแค่เงยหน้าประจันหน้ากับกิเลน เนื้อตัวก็สั่นระริกขึ้นมา
เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าหากกิเลนสายฟ้าตัวนั้นพุ่งลงมาจะเกิดเหตุการณ์เช่นใด
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ กิเลนที่ก่อตัวจากอสนีทองอนัตตาก็ค้อมตัวลงช้าๆ ศีรษะจ่ออันหลินบนยอดนภา ทำท่าเตรียมจะกระโจนออกมา
อสนีบาตจะฟาดลงมาแล้ว!
นักเรียน อาจารย์นับไม่ถ้วนต่างก็ลืมหายใจ หัวใจจะกระเด็นออกมาแล้ว
อันหลินกัดฟันกรอด มาถึงขั้นนี้แล้วเขาถอยไม่ได้ ต่อให้สวรรค์เปิดบั๊กโจมตีเขา เขาก็จะเดินหน้าอย่างหาญกล้า!
“อสนีเปิดบั๊กแล้วยังไง ใช่ว่าเราจะไม่เคยเจอบั๊กซะหน่อย!” เขาพูดให้กำลังใจตัวเอง
ชั่ววินาทีนั้นเอง เหมือนเขาเพิ่งฉุกคิดขึ้นได้ จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดวาบในใจ
เปิดบั๊กเหรอ บั๊กนั้นใช้ได้หรือเปล่า
แต่เป้าหมายเป็นอสนีบาตเชียวนะ คงจะไม่วิปริตขนาดนั้นหรอกมั้ง…
กิเลนอสนีทองอนัตตากระโจนลงมาราวกับการลงทัณฑ์ของสวรรค์ ลำแสงสีทองกระจายทั่วฟ้าดินในพริบตา กลายเป็นสีสันเพียงหนึ่งเดียว! เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น กลายเป็นคลื่นเสียงม้วนตัวไปสิบกว่าลี้
เสี้ยววินาทีนั้น ทุกคนรู้สึกเพียงดวงตารวดร้าว จากนั้นแก้วหูก็ถูกสะเทือนเจียนแตก
“สายฟ้าสีทองน่ากลัวเหลือเกิน อันหลินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“คุณพระ แยงตานัก จะบอดแล้ว!”
นักเรียนส่วนใหญ่ถูกสายฟ้าสีทองแยงตาจนต้องหลับตา
“ไม่เป็นไร ครู่เดียวก็หายแล้ว”
“อืม อสนีทองอนัตตาฟาดลงมาเป็นเพียงเรื่องอึดใจเดียว ตอนนี้ลืมตาได้แล้ว” มีนักเรียนที่มีประสบการณ์โชกโชนรู้จักสายฟ้าชนิดนี้ จึงเอ่ยปากปลอบใจ
ทุกคนลืมตาขึ้น แสงทองเหลือล้นทิ่มแทงเข้ามา…
“คุณพระ แยงตาเหลือเกิน ตาจะบอดแล้ว!”
นักเรียนกลุ่มหนึ่งร้องเสียงหลง หลับตาอีกครั้งด้วยน้ำตาที่อาบหน้า
“ใครบอกว่าอสนีทองอนัตตาฟาดลงมาเป็นเรื่องเพียงอึดใจเดียว รีบลุกออกมา รับรองว่าตบจนตายแน่!”
“ไม่สิ สายฟ้านี่มีปัญหา”
“ใช่แล้ว หลังเกิดเสียงฟ้าผ่า ก็เงียบจนน่ากลัว!”
“พวกเราหูดับแล้วมากกว่า…”
…
ในตอนนั้นเอง เหล่าอาจารย์ที่มีพลังยุทธ์แก่กล้ามองต้นกำเนิดของแสงทองด้วยความงุนงง
แม้แต่รองผู้อำนวยการอวี้หัวในศาลาโบราณก็เบิกตากว้าง ท่าทางเหมือนเห็นผีก็ไม่ปาน
กิเลนอสนีทองอนัตตากระโจนมาอยู่ตรงหน้าอันหลินแล้ว ใบหน้าดุร้าย กลับแฝงด้วยอานุภาพที่สูงส่ง
แต่ทว่าอันหลินกลับยื่นนิ้วออกไป ประจันกับกิเลนอสนีทองอนัตตา
อิริยาบถของทั้งคู่ต่างก็แข็งตัวกับที่ ราวกับเป็นภาพที่หยุดนิ่ง
ลำแสงสีทองของกิเลนอสนีทองอนัตตาสาดส่องทั่วเวหาให้สว่างไสว ก่อเป็นม้วนภาพพิเศษที่มีเมฆดำสลัวเป็นพื้นหลัง สายฟ้าสีทองเป็นสีหลัก
อันหลินนิ่งงัน เขาไม่คิดว่าคาถาเรียกสายฟ้าของตนจะชักนำได้แม้กระทั่งอสนีบาต!
“ฮ่าๆ ๆ…” จู่ๆ อันหลินก็หัวเราะลั่น “อสนีบาต รีบฟาดเลยสิ แกอหังการมากไม่ใช่หรือ แกกล้าเปิดบั๊กแปลงร่างเป็นกิเลน ฉันจะเปิดบั๊กควบคุมกิเลนเอง!”
เสียงของเขาดังก้องแดนดินนี้ ทำให้ทุกคนที่ตะลึงงันได้สติกลับมา จากนั้นก็รู้สึกว่าเหลวไหลยิ่งกว่าเดิม
อันหลินกำลังครุ่นคิดว่าจะอาศัยอสนีบาตสฤษฏ์กาย หลอมตาน ขัดเกลาจิต ฉะนั้นต้องทำให้กิเลนตัวนี้กระโจนลงมาให้ได้ แต่ขั้นตอน...ย่อมต้องเรื่องวิธีที่ละมุนละม่อมสักหน่อย!
“มาๆ ๆ ค่อยๆ เข้ามา…”
อันหลินกระดิกนิ้วเรียกสายฟ้าที่กะพริบแปลบปลาบ กิเลนอสนีทองอนัตตาที่ทรงอานุภาพเป็นดั่งสัตว์น้อยที่ว่าง่าย ค่อยๆ ลอยลงมาหาอันหลิน และหยุดลงในจุดที่ห่างจากอันหลินเล็กน้อย
อันหลินรู้สึกถึงกิเลนที่แฝงด้วยพลังสูงส่งมหาศาลตรงหน้า พลางกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
เขาค่อยๆ ยื่นมือขวาไปหากิเลนสีทองช้าๆ แล้วสัมผัส
ครืน!
สายฟ้าที่น่าสะพรึงพรั่งพรูเข้ากายอันหลินทันใด มวลพลังงานจู่โจมเส้นชีพจรทั้งหลาย กระตุ้นเลือดเนื้อทั่วสรรพางค์กาย โจมตีขุมพลังสัตว์เหนือทะเลปราณ ขุมพลังสัตว์ทำงานเต็มสูบ ภายใต้การกระตุ้นของอสนีทองอนัตตา สีทองของขุมพลังสัตว์บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ประกายแสงอันเหลือล้นปานดวงตะวัน
อันหลินในตอนนั้นกลับเจ็บปวดจนโหยหวน “โอ๊ย เจ็บจังเลย แกเบาๆ หน่อยสิ!”
สิ้นเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเขา กิเลนสีทองก็ค่อยๆ ขยับก้นขึ้นเชื่องช้าอย่างว่าง่าย
“นี่ อย่าวิ่งไกลไป เข้ามาใกล้หน่อย อย่ารุนแรงเกินไปก็พอ…”
“เอ้อ! แบบนี้แหละ!”
“ใช่…ความแรงเท่านี้แหละ!”
“ซี๊ด…สบาย…”
…
ไม่ง่ายเลยกว่านักเรียนจะเคยชินกับแสงสว่างของอสนีทองอนัตตา จากนั้นก็ตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าจนตาบอด
อาจารย์ทั้งหลายก็ทำหน้าอึ้งๆ คิดว่าไม่อาจเข้าใจโลกใบนี้ได้อีกแล้ว
เซียนพสุธามิ่งหยวนหายใจถี่กระชั้น นัยน์ตาร้อนรุ่ม เนื้อตัวสั่นเทา “เหตุการณ์นี้นี่แหละ รสชาติแบบนี้แหละ ฮ่าๆ ๆ…อันหลินช่างสร้างความประหลาดใจให้ข้าได้จริงๆ!”
“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมอสนีบาตถึงอยู่ในสภาพแบบนี้ เจ้ารู้ไหมทำไมอันหลินถึงทำให้อสนีบาตกลายเป็นแบบนี้ไปได้” เซียนพสุธามิ่งหยวนเอ่ยถามหญิงผมดำข้างกาย
เซียนพสุธาเยว่อิ่งถูกคำถามที่กะทันหันเหล่านี้ดึงสติกลับมา พูดอย่างสนเท่ห์ว่า “เพราะอะไร”
เซียนพสุธามิ่งหยวนตื่นเต้นจนกระโดดโลดเต้น “ฮ่าๆ! มันเป็นเพราะโชคชะตา! ทุกอย่างล้วนเป็นโชคชะตา! เข้าใจหรือไม่ หือ”
เซียนพสุธาเยว่อิ่ง “…”
หลังผองเพื่อนทั้งหลายของอันหลินเห็นภาพนี้ ในที่สุดก็ผ่อนลมหายใจอย่างแรง แม้จะน่าเหลือเชื่อมากก็ตาม แต่ว่า…ดูเหมือนอันหลินจะไม่มีอันตรายแล้ว…
ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางสายตาของทุกคน กิเลนสีทองที่แฝงอานุภาพแห่งฟ้าดิน อสนีบาตอันชวนให้อกสั่นขวัญแขวนว่าง่ายจับใจ ไม่เอะอะไม่โวยวาย อันหลินว่าอะไรก็ว่าตามกัน ให้ความร่วมมือกับอันหลินอย่างยิ่ง…