ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 253 ท่านี้ของข้าไร้เทียมทาน!
อันหลินนอนแผ่กับพื้น ความแดงบนใบหน้ายังไม่จางหาย
ต้าไป๋นั่งคร่อมตัวเขาอยู่ สองอุ้งมือกดแขนของเขาไว้
“ปล่อยข้านะ ต้าไป๋ เจ้าจะทำอะไรข้า…” อันหลินอยากขยับ แต่เมื่อครู่ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้น้ำหนักหลายร้อยชั่งของต้าไป๋กดทับร่างเขาอยู่ จึงค่อนข้างยากต่อการขยับ
ต้าไป๋พ่นน้ำลายอย่างไม่พอใจ “เจ้าคิดว่าข้าอยากทับเจ้าหรือ ข้ากำลังห้ามไม่ให้เจ้าบ้าคลั่งต่างหาก โฮ่ง!”
“ปล่อยข้านะ ข้าไม่ได้บ้า…” อันหลินยังคงดิ้นพล่าน
เจ้าอัปลักษณ์เห็นดังนั้น ก็ใช้เถาวัลย์พันธนาการอันหลิน มัดตัวเขาไว้อย่างแน่นหนา
อันหลิน “…”
เจ้าอัปลักษณ์ “…”
สวีเสี่ยวหลานเดินไปหาอันหลินแล้วย่อตัวลง ใช้นิ้วเรียวดุจต้นหอมแตะหน้าผากอันหลิน แผ่ความเย็นเบาบางเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายให้กับเขา
ครู่หนึ่งนางก็เอ่ยเรียบๆ ว่า “อุณหภูมิของเจ้าถึงหกสิบกว่าองศาแล้ว หากเป็นคนทั่วไปคงแย่ไปนานแล้ว แต่อาการของเจ้าดีกว่าหน่อย ร่างกายไม่เป็นไร แต่สมองมีปัญหานิดหน่อย…”
ความกระสับกระส่ายของอันหลินค่อยๆ สงบลงด้วยพลังเซียนของสวีเสี่ยวหลาน แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย มุมปากก็อดกระตุกไม่ได้
“ไม่คิดว่ามรดกแห่งเหมันต์ที่ข้าได้มา จะได้ใช้ไวปานนี้” สวีเสี่ยวหลานยกมุมปากเล็กน้อย พูดเป็นเชิงหยอกเย้า
“ข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า ผลข้างเคียงจากปีกแห่งอัคคีจะรุนแรงขนาดนี้” อันหลินหัวเราะเยาะตัวเอง
ตอนนี้เขาได้สติกลับคืนมาแล้ว ช่างเป็นความเลือดร้อนที่บรรลัยจริงๆ!
เมื่อครู่เขาใช้ร่างกายระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณต่อสู้กับมังกรระดับแปลงจิตขั้นปลาย ต่อให้เขามีวรยุทธ์มากมายคอยสนับสนุน มันก็เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ…
โชคดีที่ชายหนุ่มคนนั้นขี้เก๊ก ทางฝั่งตนเองก็วิ่งไว มิเช่นนั้นเขาอาจจะตายอยู่ตรงนั้นแล้วจริงๆ
“โอ้โฮ พี่อันกลับเป็นปกติแล้ว โฮ่ง!” หางขาวราวหิมะของต้าไป๋กระดิกไปมา ร่างกายหลายร้อยชั่งขยับไปมาอย่างตื่นเต้น
“ให้ตายสิ ต้าไป๋เบาๆ หน่อย!”
อันหลินบาดเจ็บเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คราวนี้ถูกทับจนเกือบจะหายใจไม่ออก
อันหลินกลับมาเป็นปกติแล้ว
อันหลินกินยาบำรุงเลือดแล้วเริ่มทำสมาธิรักษาอาการบาดเจ็บ
กาลเวลาล่วงเลยไปอย่างเชื่องช้า แสงสว่างในสุสานมังกรแห่งนี้ค่อยๆ สลัวลง เข้าสู่ความมืดมิด
“เอ๊ะ แดนพิศวงแห่งนี้มีกลางวันกลางคืนด้วยหรือ” อันหลินกะพริบตาปริบๆ
“อาจจะต้องการสร้างความรู้สึกเหมือนใช้ชีวิตให้กับคนเฝ้าสุสานกระมัง” สวีเสี่ยวหลานคาดเดา
อันหลินส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเจือความเห็นใจ “ชีวิตของคนเฝ้าสุสานช่างน่าเบื่อจริงๆ…”
“น่าสงสารจังเลย” สวีเสี่ยวหลานเศร้าสลดใจ “ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมสุสานแห่งนี้ต้องใช้คนเฝ้าสุสานมากมายปานนี้ หากเป็นเพราะมรดกจริง คัดเลือกคนด้วยการสร้างกลไก หรือจำพวกการทดสอบภาพลวงตาอะไรเทือกนั้นก็ได้นี่นา”
หลังทั้งคู่แสดงความเห็นอกเห็นใจคนเฝ้าสุสานอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็เริ่มหารือกันว่าจะจัดการชายหนุ่มตำหนักดำคนนั้นได้อย่างไร
สุดท้ายพวกเขาก็หารือจนได้แผนการทำศึก จึงบุกเข้าตำหนักดำอีกครั้ง
ชายหนุ่มตำหนักดำจ้องทุกคนที่บุกเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด ใบหน้าเผยรอยยิ้มมีเลศนัย “โอ๊ะ ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้ายังมีหน้ากลับมาอีก”
“เลิกพูดพล่าม ตายเสียเถอะ!”
อันหลินตะโกนลั่นแล้วปล่อยต๋าอีกับต๋าเอ้อร์ออกไปทันที
ชายหนุ่มทำหน้าฉงนเล็กน้อยเมื่อเห็นต๋าอีกับต๋าเอ้อร์ แต่เขาไม่แยแส เพราะหุ่นโลหะที่ถูกควบคุมโดยนักพรตหล่อเลี้ยงวิญญาณ คงไม่แข็งแกร่งมากนัก
แต่ไม่นานชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่า ความคิดก่อนหน้านี้ของเขาช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน
การร่วมมือของกันดั้มทั้งสองเหนือชั้นจริงๆ ตัวหนึ่งใช้สนามแรงโน้มถ่วง กระบวนท่าพันธนาการอันน่ากลัวของโซ่ไอออน อีกตัวทั้งใช้ดาบเลเซอร์ทั้งระเบิดเลเซอร์ ทำเอาชายหนุ่มรับมือไม่ทัน
โดยเฉพาะอันหลินที่คอยบัญชาการอยู่อีกมุมราวกับเป็นกุนซือ หาจุดอ่อนของเขาเจอทุกครั้ง ทำให้เขาถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“อ๊าก!”
ชายหนุ่มคำรามเสียงกร้าว เริ่มมีเกล็ดมังกรแผ่คลุมทั่วร่าง พลังแห่งสายเลือดถูกกระตุ้นแล้ว
เขาระเบิดพลังปล่อยหมัดใส่กันดั้มตัวหนึ่งเต็มแรง ร่างกายแผ่กระแสไฟสีน้ำเงิน พุ่งใส่อันหลินอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด
ในเวลานี้ ชิงสังหารอันหลินที่ควบคุมหุ่นและมีพลังมองเห็นจุดอ่อนต่างหากที่ถูกต้อง
แต่ขณะที่เขาอยู่ห่างอันหลินในรัศมีไม่เกินสามจั้ง จู่ๆ อันหลินก็ระเบิดเสียงหัวเราะ
ครืน! เสาเพลิงอันน่าสะพรึงพุ่งขึ้นมาปกคลุมเขาไว้
สวีเสี่ยวหลานประสานอิน พลังแห่งสายเลือดพญาหงส์ถูกสำแดงออกมา ทำให้เปลวไฟบนเสาแสงมีสีทองเจือปน ไม่เพียงแต่ร้อนระอุ ยังมีพลังพันธนาการที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งอีกด้วย
เจ้าอัปลักษณ์ปล่อยบาเรียเพลิงนิล กำบังการโจมตีของชายหนุ่ม
ต้าไป๋เรียกพายุคลั่ง ทำให้เปลวไฟบนเสาลุกโหมกว่าเดิม
ในขณะเดียวกัน อันหลินก็ทำท่าง้างธนู ขนนกเพลิงก็ลอยล่องกลางอากาศ ก่อตัวเป็นลูกศรสีชาดอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิร้อนระอุแผดเผาจนมิติโดยรอบบิดเบี้ยว
ศรสีชาด พลังที่ประกอบจากวรยุทธ์ปีกแห่งอัคคีขั้นหนึ่ง!
ฟิ้ว! ศรสีชาดวาดวงโคจรสีแดงเป็นทาง มันรวดเร็วยิ่งนัก
มันลดลงใต้วงแขนของเจ้าอัปลักษณ์ ปักหน้าอกของชายหนุ่ม
นี่เป็นหนึ่งในจุดอ่อนที่วิชาญาณทิพย์วินิจฉัย ชายหนุ่มถูกศรสีชาดปักทะลวงหน้าอกของเขาด้วยอุณหภูมิที่สูงยิ่งยวด ภายใต้การร่วมมือโจมตีที่ไม่อาจต้านทานได้
ชั่ววินาทีที่เขาต้องศร เจ้าอัปลักษณ์กับสวีเสี่ยวหลานก็ถอยกรูด
ระเบิดแสงไอออนของต๋าอีกับต๋าเอ้อร์สั่งสมพลังเสร็จสิ้นแล้ว จึงยิงออกไปโดยพลัน
ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าหน้าอกต้องศร ทำให้เขาหยุดชะงัก จากนั้นระเบิดสีทองก็พุ่งมาปะทะหน้า
ระเบิดแสงไอออนใช้พลังงานสูงอย่างยิ่ง แต่อานุภาพก็รุนแรงอย่างยิ่งเช่นกัน พลังงานที่น่ากลัวระเบิดตำหนักดำจนพินาศราบคาบในพริบตา ทำให้เกิดหลุมที่น่ากลัวอย่างมากบนก้อนหินลอยฟ้า
“ฮ่าๆ สำเร็จแล้ว!” อันหลินหัวเราะหายใจหอบ
“หากเขาถูกเจ้าระเบิดจนเป็นเศษซาก ไข่มุกมังกรอัสนีจะย่อยยับด้วยหรือไม่” สวีเสี่ยวหลานกังวลใจ
อันหลินส่ายหน้า “ไม่ต้องห่วง มังกรระดับแปลงจิตจะถูกระเบิดจนป่นปี้ง่ายๆ ที่ไหนกัน หากว่าระเบิดจนแหลกละเอียดจริง ข้าคงขาดทุนแย่ ยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่ยังไม่ได้ทำ”
ต๋าอีกับต๋าเอ้อร์แทบจะหมดพลัง รีบกลับเข้าแหวนมิติของอันหลิน แย่งกันดูดซึมหินวิญญาณเสริมพลัง
กรรซ์!
เสียงมังกรคำรามสะเทือนฟ้า ดังขึ้นท่ามกลางซากปรักหักพังที่มีฝุ่นละอองลอยคลุ้ง
จากนั้นเงาดำขนาดมหึมาก็พุ่งขึ้นฟ้า
มันยาวร่วมร้อยจั้ง กลิ่นอายน่ากลัวก่อตัวเป็นพายุหมุนพัดฝุ่นกระจุยกระจาย ร่างกายแข็งแกร่งผงาดง้ำปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
“ใช่แล้ว…หากการโจมตีเช่นนี้ทำให้ข้าปราชัย ก็คงดูแคลนมังกรเกินไปแล้ว!”
มังกรเผยรูปโฉมที่แท้จริงของมัน เสียงดุจอัสนีบาต ทรงพลังเป็นล้นพ้น
บนร่างมโหฬารของมันมีของเหลวสีแดงสดพรั่งพรูออกมา ชุ่มไปทั่วร่างมังกร เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บสาหัส
“แม้จะโจมตีให้ป่นปี้ย่อยยับไม่ได้ แต่บาดเจ็บสาหัสแน่นอน” อันหลินเห็นท่าทางเช่นนี้ของมังกร ไม่รู้สึกตื่นตระหนกใจไม่พอ กลับถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดยิ้มๆ
“เจ้าคิดว่าข้าเจ็บหนักแล้วจะฆ่าเจ้าไม่ได้หรือ!” มังกรแผดเสียงกร้าว โกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด
อานุภาพมังกรมหาศาลแผ่ออกมา ทำให้ลมและเมฆเคลื่อนไหว
ชั้นเมฆหนาก่อตัวกลางอากาศ สายฟ้ามากเหลือคณานับสะสม
“หากจะจัดการพวกเจ้า แค่กระบวนท่าเดียวก็เพียงพอแล้ว!”
ดวงตาของมังกรเปี่ยมด้วยความน่ายำเกรง ร่างมหึมาม้วนตัวขึ้นฟ้า เริ่มเรียกลมเรียกฝน
กระแสไฟฟ้าน่าสะพรึงกลัวนับไม่ถ้วนบนเวหาก่อตัวด้านหน้ามังกร
อันหลินแหงนหน้ามอง ราวกับมังกรรวบรวมกระแสนับร้อยพันเส้นไว้ด้วยกัน พลังสายฟ้าที่น่ากลัวอย่างยิ่งทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน
บีบอัด บีบอัด และบีบอัด…
พลังสายฟ้ากลางทะเลอัสนีรวมตัวเป็นสายฟ้าสวรรค์ สายฟ้าสวรรค์ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีม่วง สุดท้ายก็มีสีทองเจือปน…
เมื่อสายฟ้าสีม่วงทองโผล่มา ก็ปล่อยอานุภาพที่ทำให้ทุกคนหายใจไม่ออก มองแล้วยำเกรง
“ท่าสุดท้ายนี่ดูเหมือนจะรุนแรงไปหน่อยนะ…” มุมปากของอันหลินกระตุกน้อยๆ
อดพูดไม่ได้ว่า เขาตกใจเล็กน้อย เกิดความหวาดกลัวครั้งแรกในใจ
มังกรลอยคว้างกลางอากาศอย่างทระนง แต่สายตาที่จดจ้องสายฟ้าม่วงทองเปี่ยมด้วยความยำเกรง “อัสนีนี่เป็นที่สุดแห่งสายฟ้ามังกร ไร้เทียมทาน! ตายเสียเถอะ!”
สายฟ้าม่วงทองฟาดลงมาทันใดด้วยความเร็วเหนือความคาดหมาย ประหนึ่งกระบี่คมเทพลงทัณฑ์แหวกม่านรัตติกาล กลายเป็นสีสันหนึ่งเดียวในฟ้าดิน
มังกรมองอันหลิน หมายดูว่าอันหลินจะมลายหายไปภายใต้สายฟ้าม่วงทองอย่างไร
จากนั้นเขาก็เห็นอันหลินยื่นนิ้วออกมา
ต่อมาเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น จู่ๆ สายฟ้าม่วงทองก็หยุดนิ่งไม่ไหวติง
ลำแสงเส้นนั้นช่างเจิดจ้าเสียนี่กระไร มันไม่ขยับเขยื้อนท่ามกลางความมืด เป็นความงดงามฉูดฉาดอย่างยิ่ง
แต่ทว่า…ทำไมมันถึงขยับไม่ได้เสียแล้วล่ะ!
มังกรเบิกตากว้าง จ้องอันหลินที่ยกยิ้ม หัวใจก็พลันเย็นวาบขึ้นมา
ไม่มีทาง…ล้อกันเล่นหรือ…
“ได้ยินว่ากระบวนท่านี้ไร้เทียมทาน ไม่ทราบว่าใช้ได้ผลกับเจ้าไหม…” อันหลินยิ้มบางๆ นัยน์ตาขาวโพลน ปลายนิ้วชี้ตำแหน่งหนึ่งของมังกร “ไปเลย!”
“พับผ่าสิ! เป็นไปไม่ได้!” มังกรตะโกนลั่น
สายฟ้าม่วงทองขยับแล้ว ทะลวงร่างของมังกรด้วยอานุภาพมหาศาลในพริบตา
เสียงมังกรร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วนภา