ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 231 กลุ่มสัตว์เลี้ยงที่ยิ่งใหญ่
หลังปรมาจารย์เฉินเยี่ยนเห็นศีรษะของเฉินเทียนหยาง สีหน้าก็ถมึงทึงจนน่ากลัว ในแววตาที่จ้องมองอันหลิน เสมือนว่ามีความโหดเหี้ยมปานยากจะชำแหละเขาทั้งเป็นเจือปน
“ดีมาก…อาจหาญมากำเริบเสิบสานที่นี่โดยไม่กลัวตาย ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!”
เฉินเยี่ยนตวาดเสียงเกรี้ยว สายฟ้าสีขาวแผ่ออกรอบตัวกลายเป็นทะเลสายฟ้า
มันเป็นต้นแบบของเขตอาคม ปรมาจารย์เป็นผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งแปลงจิตแล้ว
อันหลินมองเขตอาคมเบื้องหน้า ใบหน้าเรียบเฉย ส่ายหน้าเล็กน้อย “เมื่อเทียบกับบาเรียอัสนีมังกรของศิษย์พี่หวังแล้ว ยังห่างกันอยู่มาก…”
“ข้าจะดูว่าเจ้าจะอวดดีได้ถึงเมื่อใด!” เฉินเยี่ยนระเบิดโทสะ พุ่งใส่อันหลินราวกับเป็นลูกศรหลุดออกจากคัน พลังขอบเขตอันยิ่งใหญ่ถูกปล่อยออกมาจนหมดจนสิ้น กลายเป็นธารสายฟ้า ทำเอาผู้อาวุโสที่เหลือพากันถอยกรูด ไม่กล้าเข้าใกล้
“คู่ต่อสู้ของเจ้าไม่ใช่ข้า…เจ้าอัปลักษณ์!”
เมื่อสิ้นเสียงตะโกนของอันหลิน วานรตัวหนึ่งก็ทะยานลงมาจากฟ้า
ชั่วขณะที่แสงทองส่องสว่าง มันก็กลายร่างเป็นราชันวานรมือถือกระบองเงิน สวมชุดเกราะดำขลับ ตวัดกระบองมาทางเฉินเยี่ยนด้วยแรงมหาศาล
เมื่อเจอกับกระบองเงินที่โผล่มาอย่างไม่คาดฝัน เฉินเยี่ยนตอบโต้ด้วยหมัดอัสนี
ตูม!
การปะทะสะเทือนฟ้าทำให้ห้องโถงพังทลายลง
เฉินเยี่ยนกระอักเลือดร่างกระเด็นออกไปราวกับถูกกระแทกอย่างแรง
เจ้าอัปลักษณ์ย่างไปหาเฉินเยี่ยนทีละก้าว เปลวไฟสีดำที่มีอานุภาพทำลายล้างทุกสรรพสิ่งโอบล้อมกาย นัยน์ตาสีทองคู่นั้นแผ่พลังอันไม่สิ้นสุด มันต่างหากเทพเจ้าปีศาจที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานตัวจริง
“นี่เป็นลิงน้อยที่อยู่บนไหล่ของผู้อาวุโสอันหลินหรือ…” หลิวซู่ซู่พึมพำ ใบหน้าขาวหยวกมีแต่ความตะลึง
ไม่ง่ายเลยกว่านางจะทำใจยอมรับได้ว่า หมาน้อยที่น่ารักข้างกายอันหลินเป็นอสูรยิ่งใหญ่ที่ตะปบผู้อาวุโสจนตัวลอยได้ ไม่คิดเลยว่าวานรข้างกายอันหลินจะน่ากลัวยิ่งกว่า ทำให้ยอดฝีมือที่แตะระดับเทวะอย่างปรมาจารย์แห่งอารามอัมพรบาดเจ็บสาหัสได้…
หลิวหู่ถือเป็นคนที่พอมีพลังยุทธ์อยู่บ้าง จึงสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเขตอาคมของเฉินเยี่ยน ความแก่กล้าประหนึ่งเทพเจ้าทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง พอเขาเห็นเจ้าอัปลักษณ์ฟาดเฉินเยี่ยนจนบาดเจ็บสาหัสภายในกระบองเดียว ก็ตะลึงจนพูดไม่ออกแล้ว
การต่อสู้อันน่าเหลือเชื่อยังคงดำเนินต่อไป เจ้าอัปลักษณ์ถือกระบองเงินไล่ฟาดเฉินเยี่ยนอยู่ฝ่ายเดียว ขอบเขตการต่อสู้ของทั้งคู่กว้างขวางมาก ทำให้ตำหนักของอารามอัมพรอันใหญ่โตโอฬารถล่มไปเป็นวงกว้าง
อันหลินเบนสายตากลับมายังห้องโถง แสยะยิ้มใส่ผู้อาวุโสทั้งแปดภายในโถงใหญ่
“ท่าทางปรมาจารย์ของพวกเจ้าจะช่วยพวกเจ้าไม่ได้แล้ว ได้เวลาชดใช้กับการกระทำของพวกเจ้าแล้ว…”
คำพูดของอันหลินดุจสายลมเย็นเยือก ทำให้ผู้อาวุโสในห้องโถงสะดุ้งโหยง
พวกเขาตระหนักได้แล้วว่าบุรุษที่ถูกปิดล้อมเมื่อครู่ ‘ผดุงธรรมแทนสวรรค์’ ที่เขาเอ่ยออกมา ไม่ใช่คำพูดล้อเล่นที่ไร้สาระ แต่เป็นเจตจำนงที่จะทำให้เป็นจริง
ผู้อาวุโสทั้งแปดในตอนนี้ เลือกหลบหนีโดยที่ไม่ลังเลเลยสักนิด!
“เสี่ยวหง ถึงตาเจ้าออกโรงแล้ว!” อันหลินตบกระเป๋า
กระเป๋าสาดแสงสว่างไสว หญิงสาวชุดแดงที่งามล่มเมืองปรากฏกายกลางอากาศในบัดดล
นัยน์ตาหงส์หยาดเยิ้มเจือความไร้เดียงสากวาดมองรอบๆ เมื่อพนมมือ มิติก็กระเพื่อมทันที
“กระจกสมาน กระจกร้อยบุปผา!”
เมื่อเสียงไพเราะกังวานดังขึ้น กระจกนับร้อยพันก็เป็นดั่งดอกไม้เบ่งบาน แผ่คลุมไปทั่วทุกอณู ก่อตัวเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่พันธนาการผู้อาวุโสทั้งแปด
เหล่าผู้อาวุโสโจมตีเศษกระจกสุดความสามารถ พยายามฝ่าวงล้อม แต่กระจกเหล่านั้นกลับเหมือนกำแพงที่ทนทานที่สุด ภายใต้การปะทะของวิชาเซียนอันยิ่งใหญ่ ไม่มีทีท่าว่าจะปริแตกแม้แต่นิด
“ต่อไปฝากเจ้าด้วยละ”
อันหลินเดินไปยืนข้างหลิวหู่กับหลิวซู่ซู่แล้วพูดกับเสี่ยวหงช้าๆ
เสี่ยวหงพยักหน้าอย่างว่าง่าย สะบัดมือ ปล่อยกระจกทรงกลมออกมาล้อมพวกอันหลินไว้
จากนั้นมันก็กางแขน ตะโกนด้วยเสียงหวานหยดย้อย
“ตัวแทนดวงอาทิตย์จะลงทัณฑ์พวกเจ้าเอง!”
ทันใดนั้น ร่างกายของนางก็ส่องแสงสว่างเจิดจ้า!
ลำแสงสีทองกลายเป็นคลื่นแสง โจมตีผู้อาวุโสแปดคนทันทีด้วยพลังหยางที่บริสุทธิ์ยิ่ง
มีลำแสงสีทองอีกนับไม่ถ้วนสาดไปรอบทิศ ผ่านการหักเหของเศษกระจกนับครั้งไม่ถ้วน เกาะตัวกันกลางอากาศกลายเป็นรังสีคลื่นแสงที่ไร้ช่องโหว่ หลบหลีกไม่ได้ ชั่วพริบตามิติทั้งผืนก็ถูกคลื่นแสงเขมือบกลืนกิน…
กระจกร้อยบุปผาหายไป บอลแสงขนาดใหญ่ระเบิด เป็นเหมือนดวงอาทิตย์กัดกร่อนอารามอัมพรจนเกิดเป็นหลุมใหญ่ที่น่าพรั่นพรึง ส่วนผู้อาวุโสทั้งแปดนั้น ถูกการโจมตีที่น่ากลัวนี้กระแทกจนเป็นซากเนื้อไปแล้ว…
เสี่ยวหงตกลงสู่อ้อมอกของอันหลินอย่างหมดเรี่ยวแรง
อันหลินกอดร่างที่เย้ายวนและอ่อนนุ่มไว้ กลิ่นหอมจางๆ ลอยเข้ามาในจมูก ทว่ายังไม่ทันได้เพลิดเพลินกับสวัสดิการนี้ มันก็กลายเป็นดอกไม้สีแดงอีกครั้ง หัวสีแดงฉูดฉาดก้มลงอย่างเซื่องซึม
เสี่ยวหงในตอนนี้มีพลังระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลางแล้ว แม้จะไม่หลับใหลอีกเมื่อใช้ท่านั้น แต่หมดแรงระยะหนึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
อันหลินมองดอกไม้สีแดงในมือ ถอนหายใจเบาๆ แล้วเก็บมันใส่กระเป๋า
จากนั้นก็ขี่อิฐลอยขึ้น ส่งหลิวหู่กับหลิวซู่ซู่ไปจากอารามอัมพรที่ถล่มแห่งนี้
ตอนนี้หลิวซู่ซู่พอจะตั้งสติได้บ้างแล้ว ดวงตาสุกใสคู่นั้นจ้องอันหลิน เอ่ยถามด้วยความนอบน้อมเจือความสงสัย “ผู้อาวุโสอันหลิน พี่สาวคนสวยเมื่อครู่เป็นมนุษย์ผักหรือ”
มนุษย์ผักหรือ มุมปากของอันหลินกระตุก
ครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าอย่างจริงจัง ตอบกลับว่า “ใช่แล้ว นางเป็นมนุษย์ผักในตำนาน!”
เสี่ยวหงที่ไม่ทำอะไรเลย วันๆ เอาแต่สังเคราะห์แสง ขี้เกียจกว่ามนุษย์ผักเสียอีก
อืม…ไม่มีปัญหา!
หลิวซู่ซู่พยักหน้าอย่างตื่นเต้น ดวงตาที่มองอันหลินเป็นประกายจนแทบจะเกิดเป็นดวงดาวแล้ว
นางไม่เคยพบเจอคนที่เก่งกาจปานนี้มาก่อน และไม่เคยเห็นสัตว์เลี้ยงกับมนุษย์ผักที่มากฝีมือเช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน
เมื่อเทียบกับความคลั่งไคล้และเคารพเลื่อมใสของหลิวซู่ซู่แล้ว หลิวหู่ที่อยู่ตรงข้ามอันหลินกลับดูนับถือยำเกรงอย่างยิ่ง แถมยังใช้สายตาส่งสัญญาณให้ลูกสาวของตนเก็บอาการหน่อย
ยอดฝีมือที่มีฝีมือสะท้านฟ้าเช่นนี้ จะกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขาไม่ได้เด็ดขาด
ทั้งสามเหาะออกจากอารามอัมพร หลิวซู่ซู่กลับมองเห็นเหล่านักพรตที่อยู่เบื้องล่างยังคงจัดขบวนฝึกยุทธ์อย่างเป็นระเบียบเช่นเดิม
“คุณพระ เกิดศึกที่ดุเดือดปานนี้ ไยดูเหมือนพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบเลย” หลิวซู่ซู่พูดอย่างไม่เข้าใจ
“นี่เป็นเพียงภาพลวงตาที่ใช้มาหลอกลวงคนนอกก็เท่านั้น”
อันหลินยิ้มแล้วดีดนิ้ว พลังพุ่งออกไปบริเวณหนึ่งของมิติดุจมีดบิน
ชั่วขณะที่มีพลังปราณซัดสาด จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็มลายหายไปปานเมฆหมอก เผยให้เห็นความเป็นจริง
พอเห็นทัศนียภาพเบื้องล่างประจักษ์แก่ตาแล้ว ไม่ใช่เพียงหลิวหู่กับหลิวซู่ซู่ แม้แต่ต้าไป๋ที่ตามอยู่ข้างๆ ก็ตะลึงพรึงเพริดเช่นกัน
มันเป็นพื้นที่วังเวงปราศจากผู้คน กระดูกสีขาวมืดฟ้ามัวดินกองเป็นภูเขา
เนินเขาที่กองสุมจากกระดูกมนุษย์เหล่านี้มีทั้งสิ้นเก้าลูก กำลังแผ่กลิ่นอายความตายที่ทะมึนทึบ
บนยอดของกองกระดูกมีป้ายอาญาสิทธิ์สีดำ กำลังส่องแสงพิศวง
“ใช้เลือดของมนุษย์นับหมื่นพันสังเวยบงกชเร้นเลือดมาร นี่แหละความชั่วช้าของพวกเขาอารามอัมพร”
อันหลินทอดมองกระดูกที่กองสุมอยู่เบื้องล่างพลางเอ่ยเสียงเบา
“ไยจึงเป็นเช่นนี้…” ปากของหลิวหู่สั่นระริก พึมพำว่า “ทำไมสำนักบำเพ็ญเซียนที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหงเย่ถึงเป็นเช่นนี้…”
สีหน้าของอันหลินเคร่งขรึม “บางทีเมื่อก่อนพวกเขาอาจไม่ได้เป็นแบบนี้ ทว่าตั้งแต่นางพญามดมาเยือนแคว้นเทียนเหอ เบื้องบนของอารามอัมพรจึงถูกสะกด กลายเป็นสำนักนอกรีตอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่ชาวเมืองหงเย่ที่มาขอพึ่งพิงเท่านั้น แม้แต่ศิษยานุศิษย์ในอารามอัมพร ก็ตกเป็นเหยื่อของบงกชเร้นเลือดมารด้วยเช่นกัน…”
ตูม!
เสียงดังสนั่นแว่วอยู่ไม่ไกล
เฉินเยี่ยนนอนแผ่อยู่บนพื้นอย่างสั่นเทา กระดูกของเขาถูกโจมตีจนแตกละเอียด พลังปราณก็ใกล้จะแห้งเหือด จ้องร่างตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว
ตรงหน้าเขา ราชันวานรที่มีเปลวไฟสีดำทะมึนปกคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า กำลังย่างสามขุมมาหาเขาพร้อมกับพลังทำลายล้าง