ระบบวงแหวนครอบจักรวาล - บทที่ 5 การระเบิดพลังของหนิวลี่
บทที่ 5 การระเบิดพลังของหนิวลี่
บทที่ 5 การระเบิดพลังของหนิวลี่
วันรุ่งขึ้น ตั้งแต่เช้าตรู่ หนิวลี่ตื่นขึ้นมา ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วก็ยืนมองกระจกอยู่นาน พยายามฝึกฝนการแสดงออกทางหน้าเพื่อทำให้ตัวเองดูเย็นชาขึ้น แต่น่าเสียดายที่บุคลิกของคนอ่อนแอที่เป็นมากว่าสิบปีไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วพริบตา ไม่ว่าจะพยายามยังไง ก็ดูตผลกหรือไม่ก็ดูซื่อ ๆ โง่ ๆ
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ได้ หนิวลี่ก็ยอมแพ้อย่างหมดหนทาง เปิดประตูห้องแล้วเดินออกไป ก็ไม่เห็นใครอยู่ภายในบ้านแล้ว ทุกวันพ่อกับแม่จะออกไปที่ร้านแต่เช้าเพื่อเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ ให้พร้อมสำหรับการค้าขาย
บนโต๊ะมีอาหารเช้าของโปรดที่แม่ทำไว้ให้ ตอนนี้ยังคงมีไอร้อนลอยขึ้นมา
หนิวลี่กินอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้เก็บจานข้าวก็รีบร้อน วิ่งออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปโรงเรียน
หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า หนิวลี่รู้สึกว่าแม้แต่แสงอาทิตย์ยามเช้าวันนี้ก็ดูอบอุ่นเป็นพิเศษ
เสียงของเตียวเสี้ยนในแหวนสรรค์สร้างบนนิ้วมือส่งเสียงพูดคุยกับหนิวลี่ออกมาเป็นระยะ
เอลฟ์ที่เพิ่งเกิดใหม่ นอกจากสัญชาตญาณพื้นฐานแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย เห็นอะไรก็อยากรู้อยากเห็นไปหมด จึงใช้การสื่อสารทางจิตใจถามโน่นถามนี่ไม่หยุด
การสื่อสารทางจิตใจเป็นวิธีการสื่อสารระหว่างนายกับข้ารับใช้ที่เรียนรู้เมื่อคืนกับเตียวเสี้ยน การพูดคุยที่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เหมือนชู้สาวนี้ทำให้หนิวลี่รู้สึกตื่นเต้น อธิบายให้เอลฟ์น้อยฟังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะเดินผ่านถนนสายไหน ร้านค้าร้านไหน แม้กระทั่งแมวหรือหมาที่เจอก็ต้องเอ่ยถามถึงสักประโยค
คนหนึ่งถามอีกคนตอบ เป็นแบบนี้มาตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงประตูใหญ่ของโรงเรียนมัธยมหมิงซิง
หนิวลี่เงยหน้ามองประตูโรงเรียน แล้วหายใจเข้าลึก ๆ สองครั้งเพื่อรวบรวมความกล้า สายตาจริงจังก้าวเข้าไปอย่างมั่นคง
หนิวลี่เป็นนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่สอง ห้องสาม
ห้องหนึ่ง ห้องสอง คือห้องเรียนของนักเรียนหัวกะทิ มุ่งเน้นการสร้างนักเรียนดีเด่นที่จะนำชื่อเสียงมาสู่โรงเรียน ส่วนห้องสาม ห้องสี่ นั้นคือห้องเรียนของเด็กหัวช้า บ้างก็ยัดเงินใต้โต๊ะเข้ามา บ้างก็มีข่าวในแง่ลบ นักเรียนเหล่านั้นจะถูกมัดรวมอยู่ในห้องนี้
โดยภาพรวมแล้ว หนิวลี่ไม่ได้เรียนแย่ เขาสามารถอยู่ในระดับกลาง ๆ ของห้องเรียนหัวกะทิได้ แต่ความขี้ขลาดของหนิวลี่กลับนำปัญหามาให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทางโรงเรียนจึงไม่กล้าให้นักเรียนแบบนี้อยู่ในห้องเรียนสำหรับนักเรียนที่มีพรสวรรค์ เพราะกลัวว่าเขาจะส่งผลเสียต่อนักเรียนหัวกะทิคนอื่น ๆ
เมื่อหนิวลี่เดินเข้าไปในห้องสาม เพื่อนร่วมชั้นที่เคยคึกคักก็เงียบกริบ ทุกคนหันมามองเขาด้วยสายตาขบขัน เยาะเย้ย ท้าทาย ดูถูก และอื่น ๆ อีกมากมาย แทบทุกคนมองหนิวลี่เหมือนเป็นตัวตลก
ถ้าเป็นแต่ก่อน หนิวลี่คงหน้าแดงก่ำ ก้มหน้างุด ๆ เดินไปนั่งที่นั่งของตัวเอง
แต่วันนี้ หนิวลี่ไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว เขามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเย็นชา กระตุกยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินเข้าห้องเรียนด้วยท่าทางสบาย ๆ ไปยังที่นั่งของตัวเอง
“เอ๊ะ!”
เพื่อนหลายคนส่งเสียงประหลาดใจ มองการกระทำของหนิวลี่ด้วยความสงสัย
วันนี้หมอนี่ดูเหมือนจะแปลกไปนะ?
“เฮ้ย! นายกินยาอะไรเข้าไป ทำไมรอยแพนด้าหายไปหมดแล้วล่ะ?”
ทันทีที่นั่งลง คนที่นั่งข้าง ๆ ก็ถามด้วยความตกใจ
พอเขาพูดแบบนี้ เพื่อนคนอื่น ๆ ก็หันมามองหนิวลี่ ทุกคนมีแววตาอยากรู้อยากเห็น
เมื่อวานนี้ทุกคนเห็นสภาพของหนิวลี่กันหมดแล้ว รอยช้ำสีม่วงคล้ำที่เบ้าตาสองข้างนั่น ปกติต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาย แต่หมอนี่กลับหายเป็นปลิดทิ้งในข้ามคืน นี่มันปาฏิหาริย์ชัด ๆ
“ไม่ใช่ ดูหน้าเขาสิ เนียนยิ่งกว่าหน้าแฟนฉันอีก ประหลาดชะมัด” อีกคนหนึ่งพูดด้วยสำเนียงแปลก ๆ
[พี่ชาย พวกเขาใจร้ายมาก เตียวเสี้ยนจะใช้เวทมนตร์ลงโทษพวกเขาเอง!] เตียวเสี้ยนที่อยู่ในแหวนพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ ออกหน้าออกตาโวยวายแทนหนิวลี่
‘พวกเขาก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับพวกเขาหรอก เตียวเสี้ยนเป็นเด็กดีนะ หลังเลิกเรียน พี่ชายจะซื้อไอศกรีมให้กิน’ หนิวลี่ปลอบใจเธอ
[ไอศกรีมเหรอ? อร่อยหรือเปล่า?]
เมื่อได้ยินเรื่องของกิน เตียวเสี้ยนก็ลืมเรื่องเมื่อสักครู่ไปในทันที ก่อนจะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความปรารถนาเต็มใบหน้า
‘ไอศกรีมน่ะ หวานมากเลยนะ’ หนิวลี่ส่งความรู้สึกหวานฉ่ำให้กับเอลฟ์ผ่านทางกระแสจิต
[จริงเหรอ? งื้อ อยากกินจัง] เอลฟ์น้อยหิวจนน้ำลายแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว
ถึงแม้หนิวลี่จะไม่สนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่สนใจ
เมื่อคนข้าง ๆ เห็นว่าคนขี้ขลาดอ่อนแออย่างหนิวลี่กล้าเมินตนเอง ก็รู้สึกว่าถูกหยามศักดิ์ศรีโดยฉับพลัน เพื่อนร่วมชั้นที่นั่งข้าง ๆ จึงโกรธจัด ทุบโต๊ะลุกขึ้นยืน และจ้องมองหนิวลี่ด้วยความโกรธ “นายไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ อยากโดนซัดอีกสักทีไหม?”
หนิวลี่ชายตามองเขาเล็กน้อย แววตาไม่มีความกลัวสักนิดเดียว
เพื่อนคนนี้ชื่อจ้าวเฟย พูดตามตรง เขาไม่ได้ตัวสูงมาก ถ้าพูดถึงเรื่องหน่วยก้านละก็ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนิวลี่ที่มีรูปร่างสูงใหญ่อย่างแน่นอน ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมเมื่อก่อนเขาถึงถูกคนตัวเล็กกว่าแบบนี้รังแกได้
เมื่อถูกหนิวลี่มองด้วยสายตาเรียบเฉยแบบนั้น จ้าวเฟยก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ นี่ไม่ใช่สีหน้าที่หนิวลี่ควรจะมีนี่นา เขาต้องกลัวหัวหดสิ!
“โทษทีนะ ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของนาย” แม้หนิวลี่แสดงออกอย่างมีมารยาท แต่น้ำเสียงที่เอ่ยขอโทษกลับฟังดูเรียบเฉย ไม่ได้มีความรู้สึกขอโทษจริง ๆ เลยสักนิด
“แก! นี่แกหยามเกียรติฉันอยู่เหรอ!” จ้าวเฟยมองไปรอบ ๆ พบว่าเพื่อนสนิทหลายคนกำลังมองเขาด้วยสายตาเยาะเย้ย ไฟโทสะในอกก็ระเบิดขึ้นมาทันที เขาสะบัดมือฟาดใส่ใบหน้าของหนิวลี่
ปัง!
มือของจ้าวเฟยไม่ได้ตบลงบนหน้าของหนิวลี่ แต่ถูกหนิวลี่คว้าข้อมือไว้อย่างรวดเร็ว
สีหน้าของจ้าวเฟยเปลี่ยนไป แววตาของหนิวลี่ฉุนเฉียว อีกมือหนึ่งสะบัดกลับ ฟาดหน้าจ้าวเฟยหนึ่งที “ไร้ยางอายจริง ๆ นึกว่าตัวเองเก่งมากนักเหรอ?”
การตบหน้าของหนิวลี่ครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เพื่อนร่วมชั้นทั้งห้องหน้าเหวอด้วยความตกใจ
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า คนที่อ่อนแอเวลาระเบิดอารมณ์ขึ้นมา จะเผด็จการได้ขนาดนี้
จ้าวเฟยตกตะลึง รู้สึกถึงความเจ็บแสบที่ใบหน้า หมอนี่สู้กลับและตบเขาจนหน้าสั่น
ใบหน้าก็เจ็บ แต่ใจกลับเจ็บยิ่งกว่า เหมือนเป็นหนามแหลมทิ่มแทงเข้าไปในใจของจ้าวเฟย ทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนพูดไม่ออก
“อ๊าาาา!” จ้าวเฟยโมโหจัด สะบัดมือที่ถูกหนิวลี่จับไว้อย่างแรง ลุกพรวดออกจากโต๊ะ และพุ่งเข้าใส่หนิวลี่
หนิวลี่ถอยออกจากที่นั่งอย่างไม่รีบร้อน “เพื่อน ๆ ก็เห็นกันอยู่ ฉันแค่ป้องกันตัวเองเท่านั้น”
พูดจบ หนิวลี่ก็ตบหน้าจ้าวเฟยไปอีกฝ่ามือราวกับสายฟ้าฟาด ครั้งนี้ใช้แรงมากยิ่งขึ้น
ร่างกายของจ้าวเฟยไม่ได้แข็งแรงมาก ความคล่องตัวลดลงไปมากเพราะความโกรธ เขาถูกตบจนหน้าหัน ดวงตาพร่าเห็นดาวระยิบระยับ ร่างกายเสียการทรงตัวล้มไปด้านข้าง กระแทกโต๊ะเรียนสองตัวจนล้มกระจัดกระจาย
เพื่อนนักเรียนข้าง ๆ รีบถอยหลบ พวกเขาต่างยืนงงมองภาพที่น่าเหลือเชื่อตรงหน้า ไม่มีใครเข้ามาห้ามทัพ
“โอ๊ย!”
จ้าวเฟยค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง มุมปากมีเลือดไหลออกมา อ้าปากถ่มฟันปนเลือดออกมาซี่หนึ่ง
จ้าวเฟยยิ้มด้วยความหวาดกลัว มองหนิวลี่ด้วยสีหน้าตกใจจนพูดไม่ออก
คราวนี้จ้าวเฟยเชื่องแล้วว่าหนิวลี่ที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป ไม่กล้าพุ่งเข้าไปให้โดนตบอีก
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าการตีกันมันไม่ได้อะไรนอกจากเจ็บตัว เป็นคนมีอารยธรรมดีกว่าเยอะ” พูดจบก็ยื่นมือไปจับจ้าวเฟย
จ้าวเฟยถูกถูกหนิวลี่ตบอย่างจังไปสองครั้งจนเกิดความรู้สึกหวาดกลัว พอเห็นเขายื่นมือมา ก็ตกใจถอยหลังไปหลายก้าว
“หืม? หยามเกียรติฉันอยู่เหรอ?” สีหน้าของหนิวลี่เคร่งขรึม ใช้คำพูดของจ้าวเฟยก่อนหน้านี้
จ้าวเฟยชะงัก ตัวสั่นด้วยความกลัว ค่อย ๆ ยื่นมือออกไป
หนิวลี่ดึงจ้าวเฟยขึ้นมาก่อนจะตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ พลางยิ้มและพูดว่า “พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน สามัคคีกันไว้จะดีกว่านะ ตอนนี้ยังมีอะไรจะถามอีกไหม?”
“หือ~” จ้าวเฟยส่ายหัวอย่างแรง
“อืม หน้านายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“อื้อ!” จ้าวเฟยส่ายหัวอีกครั้ง ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาหนิวลี่
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว กลับไปนั่งที่ของนายเถอะ อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลาเรียนแล้ว ถ้าอาจารย์เห็นคงไม่ดีแน่” หนิวลี่พูดจบก็กลับไปนั่งที่ของตัวเอง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และจัดหนังสือเรียนของตัวเอง