ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 754 : เขตดาวบโบไลด์ - คนแปลกหน้า
ตอนที่ 754 : เขตดาวบโบไลด์ – คนแปลกหน้า
นายพลยู่เหมย มองไปที่สัตว์อสูรรอบตัว ทหารที่อยู่ด้านหลังเธอก็เตรียมพร้อมที่จะตายไปพร้อมกับเธอด้วย
แต่ตอนที่ทุกคนคิดจะแลกชีวิตกับสงครามครั้งนี้ จู่ ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา มันมีสัตว์อสูรหลายตัวกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างของมันปกคลุมไปด้วยไฟสีแดงก่อนจะกลายเป็นเถ้าไป
สัตว์อสูรต่างก็คำรามออกมาและหันกลับไปที่ด้านหลัง จากนั้นที่ด้านหลังกองทัพของสัตว์อสูรก็เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมาทันที
“นี่มัน…” ทุกคนต่างก็ตะลึงกับฉากนี้
“ไฟที่ทรงพลังที่แม้แต่สัตว์อสูรพวกนี้ก็ไม่อาจจะรับมือไหว” ยู่เหมยมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความแปลกใจ และไฟสีแดงนี้ก็ก่อตัวเป็นพายุขึ้นมา
“นายพล ดูนั่น ! ” ทหารคนหนึ่งชี้ไปที่กองทัพสัตว์อสูรแล้วพูดขึ้นมา
มันมีสองร่างที่พุ่งฝ่ากองทัพสัตว์อสูรออกมา แต่ละคนต่างก็กำจัดสัตว์อสูรไปได้จำนวนมาก คนหนึ่งปกคลุมด้วยไฟสีแดง ไม่ว่าจะผ่านไปที่ไหนก็จะมีเถ้าปลิวว่อนออกมา
ส่วนร่างสีทองนั้นน่าเหลือเชื่อกว่าคนที่ใช้ไฟ ไม่ว่าเขาจะสัมผัสกับอะไรก็ต้องมีเศษชิ้นส่วนของสัตว์อสูรกระเด็นออกมา
เมื่อยู่เหมยมองดูดี ๆ แล้วก็พบว่าร่างสีทองนั้นคือแมว
หวังเย่าและแมวได้เข้าสังหารโหดเหล่าสัตว์อสูรสูบเลือด แม้ว่าจำนวนสัตว์อสูรจะมากแต่ไม่ได้แข็งแกร่งนัก พวกมันแค่เลเวลประมาณ 100 และอ่อนแอกว่าสัตว์อสูรสูบเลือดที่เขาพบมาก่อนหน้านี้
ดังนั้นต่อหน้าสัตว์อสูรเหล่านี้ หวังเย่าและแมวจึงฆ่าพวกมันได้ในเวลาไม่กี่วินาที
ปัง !
หวังเย่าจัดการสัตว์อสูรตัวสุดท้ายตรงหน้าก่อนจะมายืนอยู่ตรงหน้าทุกคน บางทีเพราะไฟหยินหยางของหวังเย่า จึงทำให้สัตว์อสูรนั้นได้แต่ล้อมเขาไว้ไม่กล้าจะเข้ามาใกล้และทำการโจมตี
“คุณเป็นใครกัน แล้วทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้ ? ” ยู่เหมยถามขึ้นมา
หวังเย่ามองไปรอบ ๆ และพบว่าพวกนี้เหมือนจะกลัวสัตว์อสูรที่เหลือ เขาจึงได้พูดขึ้นมา “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาคุยกัน เราต้องจัดการกับพวกนี้ก่อน” เขาได้ยกมือขึ้นก่อนที่พายุไฟบนท้องฟ้าจะพุ่งลงมาจัดการกับสัตว์อสูรที่เหลือไปจนหมดสิ้น
พายุได้ครอบคลุมระยะหลายสิบเมตร สัตว์อสูรหลายร้อยตัวได้หายไปในพริบตา
แมวได้พุ่งเข้าไปสังหารสัตว์อสูรพวกนั้นราวกับหมาป่าที่ไล่ฆ่าลูกแกะ
เมื่อเห็นชายคนนี้และแมวของเขาแกร่งถึงขนาดนี้ ยู่เหมยก็รู้ว่านี่คือคนที่พระเจ้าส่งมา เธอรีบนำคนของตัวเองเข้าไปร่วมต่อสู้ด้วยทันที
ด้วยความช่วยเหลือของหวังเย่าและแมว สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่ตายกันเลยสักคน
เมื่อเห็นจำนวนสัตว์อสูรสูบเลือดที่เหลือไม่ถึงครึ่ง ยู่เหมยก็เกรงว่ามันจะทำให้สัตว์อสูรที่จุดอื่นแห่มาสมทบ เธอจึงได้นำคนของเธอออกจากที่นั่นทันที
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ยู่เหมยก็นำคนกว่าร้อยคนถอยกลับมาถึงที่ปลอดภัยได้ เธอได้สั่งการให้ทุกคนไปพักก่อนจะเดินเข้ามาหาหวังเย่า
“คุณมาจากเมืองปูหยางงั้นหรือ ? ” เธอถามขึ้นมา
เธอยังแปลกใจกับการที่เธอรอดจากฝูงสัตว์อสูรมาได้ จากความช่วยเหลือจากคนที่ดูอายุพอ ๆ กับเธอ
“เมืองปูหยางงั้นหรือ ? ” หวังเย่ามองไปที่ยู่เหมยด้วยความสับสน
นี่คืออีกโลกจริง ๆ โลกที่สร้างขึ้นมาเพื่อการทดสอบ โลกที่ต่างจากโลกที่เขาเดินทางมางั้นหรือ ?
จากคำพูดของเธอ หวังเย่าก็รู้ว่าที่นี่เหมือนจะมีเมือง และมันน่าจะมีคนมากมายที่อาศัยอยู่ในมิติแห่งนี้
หวังเย่าไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับคนที่นี่ เพราะเขาคิดว่ามันคงจะไม่มีใครอื่นนอกจากการทดสอบอยู่
เมื่อเห็นสีหน้าของหวังเย่าที่เปลี่ยนไป ยู่เหมยก็พูดขึ้นมา “คุณเป็นนักเดินทางงั้นหรือ ? ” เธอมองไปที่แมวแล้วพูดขึ้นมา “นี่น่าจะเป็นสัตว์อสูรของคุณสินะ ? ”
“อ่ะ ใช่ ! ฉันเป็นนักเดินทาง แล้วเธอเป็นใครกัน ? ” หวังเย่าอ้างว่าตัวเองเป็นนักเดินทางทันที เพราะไม่รู้จะบอกว่ายังไงเหมือนกัน
ตอนนี้เขาไม่มั่นใจว่าคนในมิตินี้จะรู้ถึงการทดสอบรึไม่ ดังนั้นการเปิดเผยตัวตนผู้ทดสอบของเขาจึงไม่ใช่เรื่องดี การพบผู้คนที่นี่ถือว่าดีสำหรับเขา อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาเข้าใจมิตินี้ได้ดีขึ้น
“ฉันนายพลจากเมืองซีหลง เราโดนสัตว์อสูรล้อมเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณช่วยแล้ว เราคงมีปัญหามากแน่ ฉันขอบคุณจริง ๆ ” ยู่เหมยพูดขึ้น
หวังเย่ามองไปที่ผู้หญิงตรงหน้า แม้ว่าเธอจะไม่ได้สวยนักแต่ก็ดูดี รวมกับการที่เธอใส่ชุดเกราะนั้นมันทำให้เธอดูสง่าขึ้นมากกว่าเดิม
แต่สิ่งที่หวังเย่าสนใจคือความแข็งแกร่งของเธอ เพราะมันไม่ได้มากเท่ากับนายน้อยของตระกูลใหญ่ในเขตดาวโบไลด์
ทหารด้านหลังยิ่งอ่อนแอกว่าเธอเข้าไปอีก พวกนี้อ่อนแอกว่าพวกสัตว์อสูรอย่างมาก
แน่นอนว่าหากมองความแข็งแกร่งของทั้งกองทัพแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แม้แต่กองทัพทั้งสามของเหิงหยูแล้วความแข็งแกร่งเฉลี่ยก็แค่เลเวล 100 ถึงอย่างนั้นนี่ก็ถือว่าเป็นกองทัพที่แกร่งที่สุดในเขตดาวโบไลด์แล้ว
หวังเย่าได้พูดขึ้นมา “ฉันเดินทางอยู่ด้านนอกตลอดเพื่อฝึกฝนตัวเอง ฉันเพิ่งเดินทางออกมาจากป่าเลยไม่เข้าใจสถานการณ์สักเท่าไหร่ รบกวนเธอช่วยบอกถึงสถานการณ์ของที่นี่ที”
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเย่า ยู่เหมยก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา เธอมองไปที่หวังเย่าด้วยความเคารพแล้วพูดขึ้น“ ไม่แปลกเลยที่จะแกร่งได้แบบนี้ ผู้อาวุโสอยากรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของโลกสินะ ฉันอธิบายได้แต่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสชื่ออะไร”
“ฉันหวังเย่า เธอเรียกแต่ชื่อฉันก็ได้ เธอไม่ต้องเรียกฉันว่าผู้อาวุโสหรอก” หวังเย่าพูดขึ้น
แม้ว่าเขาจะเลเวลสูงกว่าอีกฝ่ายไม่มาก แต่ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมาก็เหนือกว่าเธออย่างมาก มันไม่แปลกเลยที่อีกฝ่ายจะคิดว่าเขาเป็นผู้อาวุโส
“ขอโทษด้วยที่เสียมารยาทไป โลกนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก” เธอเริ่มอธิบายให้หวังเย่าฟัง “เมื่อร้อยปีก่อน ราชากินเลือดได้ทำการโจมตีเมืองมนุษย์ กองทัพอสูรกินเลือดได้เข้าโจมตีและยึดเมืองไปได้มากมาย”
“แค่สามวันพวกมันก็ยึดเมืองเราไปได้กว่า 5 เมือง คนของเราป้องกันไว้ดีแล้ว ภายใต้การป้องกันของคนอื่น ๆ เราก็ได้ทำการตอบโต้เพื่อสู้กับอสูร จนถึงตอนนี้ผ่านมา 100 ปีแล้ว ไม่ใช่แค่ไม่อาจจะทวงเมืองคืนมาได้ แต่อสูรกลับยึดพื้นที่ได้กว่าครึ่งแล้ว” จากนั้นยู่เหมยก็เผยสีหน้าสลดออกมา
เมื่อได้ยินแบบนั้น หวังเย่าก็พอเข้าใจมิตินี้มากขึ้น แต่เขาค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับอสูรสูบเลือด เพราะมันคืออสูรไฟ แต่คนที่นี่เรียกว่าอสูรสูบเลือด
อสูรสูบเลือดพวกนี้คือสัตว์อสูรไฟงั้นหรือ ?
ตอนที่เขาเข้าไปในดินแดนนรก เขารู้จักดินแดนนรกจากการที่ฟังคนอื่นอธิบาย เขารู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นโดยคนดาวนิบิรุแต่ดินแดนนรกในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และมันเป็นเพราะการต่อสู้ที่ทำให้สวรรค์ทั้งสามนั้นถูกจำกัดไว้ในค่ายกลจนกลายเป็นดินแดนนรกขึ้นมา
ชั้นสี่นั้นคือส่วนหนึ่งของดินแดนนรก นี่คือฝีมือของเทพมังกร
ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมของชั้น 4 รึพวกสัตว์อสูรไฟ มันก็เหมือนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับที่นี่เลย แต่ตามที่ยู่เหมยบอกมาแล้ว ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการปรากฏตัวขึ้นของสัตว์อสูรไฟ
มันทำให้หวังเย่าสงสัย การทดสอบนี้เพื่อจะทดสอบผู้ทดสอบแล้วถึงกับแต่งเรื่องแบบนี้ขึ้นมาเลยหรือ ?
เขาไม่อาจจะเข้าใจได้ !
แต่ถึงจะสงสัย แต่หากเขาถามมากเกินไปก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายสงสัยได้
หวังเย่าไม่รู้ว่าภารกิจในการทดสอบนั้นเขาต้องทำอะไรต่อ ดังนั้นเขาจึงควรตามกองทัพนี้กลับไปที่เมืองก่อน
ตอนนี้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว พระอาทิตย์เริ่มตกดิน แสงแดดได้อาบท้องฟ้าให้กลายเป็นสีทอง
เมื่อเห็นพระอาทิตย์ตกดิน หวังเย่าก็เหม่อไป
“ผู้อาวุโส คุณเห็นอะไร ? ” ยู่เหมยเห็นท่าทีของหวังเย่าเปลี่ยนไป ก็ได้ถามขึ้นมา
“ไม่มีอะไร ฉันแค่ไม่ได้เห็นฉากนี้มานานแล้ว” หวังเย่าพูดขึ้นด้วยอารมณ์ที่สั่นไหว
ตั้งแต่ที่มายังเขตดาวโบไลด์ มันก็ไม่เคยมีวันไหนที่อากาศปกติเลย ไม่ว่าจะเป็นดินแดนนรกทั้งด้านนอกรึด้านในก็ตาม
เขาจำไม่ได้แล้วว่าได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินครั้งสุดท้ายตอนไหนกัน บรรยากาศที่เงียบสงบแบบนี้เขาไม่ได้สัมผัสมันมานานแล้ว
ยู่เหมยไม่เข้าใจความคิดของหวังเย่า แต่คิดว่าเขาคงต่างจากคนอื่น ๆ ที่เธอเคยเจอมา
เธอเดินกลับไปก่อนที่รองหัวหน้าจะถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “นายพล เขาเป็นใครกัน ? ”
“เขาน่าจะเป็นนักเดินทาง ตามที่เขาบอกมาเขาอยู่ในป่ามาหลายปีแล้วและเพิ่งออกมา เขาเหมือนจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับโลก” ยู่เหมยส่ายหน้า
“การต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับอสูรสูบเลือดเกิดขึ้นมามากกว่าร้อยปีแล้ว งั้นจะบอกว่าเขาเก็บตัวมากกว่าร้อยปีเลยหรือ ? ” รองหัวหน้าแสดงสีหน้าสงสัยออกมา
อายุ 100 ปีคือขีดจำกัดของมนุษย์ มีแค่พวกคนระดับสูงที่มีอายุมากแบบนั้นได้ นักสู้ทั่วไปไม่อาจจะเก็บตัวได้นานแบบนั้น เพราะระดับการบ่มเพาะของพวกเขาไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนอายุที่มากขึ้นเรื่อย ๆ
เขามองไปที่หวังเย่าที่หลับตาอยู่ ก่อนจะเตือนยู่เหมย “นายพล ฉันได้ยินมาว่ามีหุ่นเชิดไฟที่แอบเข้ามาในเมืองและสร้างปัญหา ระวังตัวไว้ด้วย ต้นกำเนิดเขามาจากไหนก็ไม่รู้ เราต้องระวังเอาไว้”
เขาพูดและมองไปที่แมวที่อยู่ข้าง ๆ “ยังไงซะเขาก็ช่วยเราเอาไว้ เราค่อยพูดคุยเรื่องนี้ต่อเมื่อถึงเมืองปูหยาง”