ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 727 : ความน่ากลัวของสัตว์อสูรในตำนาน
ตอนที่ 727 : ความน่ากลัวของสัตว์อสูรในตำนาน
เสียงคำรามนี้ทำให้ทั้งหุบเขาต้องสั่นไหว คนคุ้มกันคนหนึ่งของเผ่าสามตาได้รับบาดเจ็บหนัก ตอนนี้สัตว์อสูรเหมือนจะกลับมาได้เปรียบอีกครั้ง
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ต่างก็ทำให้ทุกคนแปลกใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าสัตว์อสูรตัวนี้จะมีสกิลที่แปลกประหลาดแบบนี้ได้
สายฟ้าได้อัดเข้าใส่ตัวคนคุ้มกันจนบาดเจ็บไปแล้ว แต่สัตว์อสูรก็ไม่คิดจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ มันได้อ้าปากออกมาและยิงสายฟ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเห็นว่าคนคุ้มกันจะตายเพราะการโจมตีนี้ ดาบสวรรค์ก็ได้โจมตีออกไปเพื่อกันสายฟ้าเอาไว้
คนคุ้มกันอีกคนรีบเข้าไปประคองเพื่อนที่หมดสติและรีบพาหนีออกมาจากระยะโจมตี เขาไม่คิดจะปล่อยให้เพื่อนตาย และมันเป็นเพราะคนเหล่านี้ได้เข้ามาหาเรื่องสัตว์อสูรถึงที่ มันนานมาแล้วที่ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องมัน จึงทำให้สัตว์อสูรโกรธอย่างมาก
กรร !
หัวอีกหัวของมันที่มีตาสีน้ำตาลได้อ้าปากออก ครั้งนี้มันไม่ได้ยิงสายฟ้าออกมาแต่กลับพ่นหมอกสีเทาออกมาแทน
ไม่ว่าหมอกนั้นจะผ่านไปที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นภูเขารึก้อนหิน แม้แต่ลิงและนกที่โดนหมอกนี่กลืนไปก็จะกลายเป็นหินและร่วงลงมาในทันที
“หมอกหิน ใครที่โดนหมอกนี่เข้าไปจะกลายเป็นหิน ! ” ทุกคนกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าร่างของสิ่งมีชีวิตร่วงลงมาและแตกออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อกระแทกกับพื้น
หวังเย่าเองก็แปลกใจและพึมพำออกมา “มันไม่น่าจะมีสายเลือดของเมดูซ่า แต่มันมีสกิลแบบนี้ได้ยังไง”
โชคดีที่สกิลนี้ไม่ได้เหมือนกับของเมดูซ่า ไม่งั้นแล้วคงแทบไม่มีใครรอดจากที่นี่ไปได้
“สัตว์อสูรตัวนี้น่ะแข็งแกร่ง เราจะยื้อมันไว้เอง” ผู้พิทักษ์น้ำพูดขึ้นมา
ในบรรดาคนคุ้มกันทั้งสี่คนแล้ว ผู้ที่ถือครองดาบสวรรค์นั้นแกร่งที่สุด ส่วนของอีกสามคนนั้นแกร่งพอ ๆ กัน เมื่อตะกี้นี้ผู้พิทักษ์เมฆโดนโจมตีจนบาดเจ็บหนัก พวกเขาต่างก็รู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจจะเป็นคู่มือให้กับสัตว์อสูรตัวนี้ได้
แม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกันแต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ พวกเขามาที่นี่เพื่ออสูรมิติ ไม่ใช่เพื่อจัดการกับสัตว์อสูรตรงหน้า
ตอนนี้พยายามสู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่งั้นแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อแผนการทั้งหมดของพวกเขาก็เป็นได้
สายตาของหยางเสี่ยวนั้นสั่นไหว เขามองไปที่สัตว์อสูรด้วยความเสียดายก่อนที่จะตัดสินใจออกมา
“ถอยออกมาชั่วคราว แต่ฉันจะมาจับมันในอนาคตแน่ ! ” หยางเสี่ยวพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนัก
การโจมตีของงูแต่ละครั้งเพียงพอจะทำลายภูเขาทั้งลูกได้ หุบเขาสั่นไหวอย่างต่อเนื่องเพราะพลังของมัน กำแพงผาเริ่มมีรอยแตก พื้นดินเริ่มแยกตัว หินนับไม่ถ้วนหล่นลงมาจากหน้าผา ฉากนี้มันดูวุ่นวายอย่างมาก
ไกลออกไปนั้น ผู้อาวุโสจีเห็นแบบนั้นก็พูดขึ้น “สถานการณ์วุ่นวายแบบนี้ แม้ว่าจะเจอเด็กนั่นแต่ก็คงไม่มีโอกาสได้ลงมือ”
หลังจากที่พูดจบชายแก่คนหนึ่งก็ถามขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นที่นั่น หยูเจียยังไม่เข้าไปในหุบเขางั้นหรือ ? ”
“ผู้อาวุโสหยูเจียงกับผู้อาวุโสเหยียงได้เข้าไปในหุบเขาที่มีถ้ำมังกร แต่พวกนั้นน่าจะเห็นอะไรผิดปกติในหุบเขา ดังนั้นจึงไม่ได้เข้าไป” คนของตระกูลจีคนหนึ่งพูดขึ้น
“ให้อี้หลงหาโอกาสในการจัดการเด็กนั่นซะ ยิ่งเสียเวลาเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงเท่านั้น” ชายแก่พูดขึ้น
“มันมีคนอยู่รอบตัวเด็กนั่นเยอะ ถ้าเราฝืนลงมือ มันอาจจะล้มเหลว”
ผู้อาวุโสของตระกูลจี ซนจีฮี คิ้วขมวดและพูดขึ้นมา “ถ้าเราปล่อยให้เด็กนี่หนีไป แผนของเราคงโดนเปิดโปง”
“ไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ไม่มีอะไรผิดพลาดหรอก ฉันมีแผนแล้ว” ชายแก่แสดงสีหน้ามั่นใจออกมา
หยูเจียได้ยินเสียงดังมาจากหุบเขาพร้อมเสียงคำรามก็ต้องแสดงสีหน้าอึดอัดออกมาและถามขึ้น “รองแม่ทัพอี้หลง ยังไม่กลับมาอีกหรือ ? ”
“ตอนนี้ยังไม่ได้ข่าวจากทีมนั้นเลย” ทหารคนหนึ่งตอบกลับ
ตอนนั้นเองชายแก่ก็พุ่งออกมาจากป่า ตัวของเขาเปื้อนไปด้วยเลือด และที่หน้าอกก็มีบาดแผลขนาดใหญ่
“อาจารย์ ! เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านถึงอยู่ในสภาพนี้ได้” หยูเจียเห็นชายแก่ก็แปลกใจก่อนจะรีบเข้าไปประคองและถามขึ้น
อี้หลงมองไปที่หยูเจียและพูดขึ้น “ฉันไปสำรวจถ้ำที่สัตว์อสูรนั้นดูแลอยู่ แต่เราไม่รู้สถานการณ์ล่วงหน้าก่อนและรีบลงมือ ใครจะไปคิดว่าสัตว์อสูรนั่นจะคลั่ง ฉันได้แต่ต้องหนีออกมา ส่วนทีมตรวจสอบที่เหลือติดอยู่ด้านใน”
เมื่อได้ยินแบบนั้น อี้หลงก็ถอนหายใจออกมา “อาจารย์กลับมาได้ก็ดีแล้ว แผนนี้คงไม่สำเร็จถ้าไม่มีท่าน”
ในตอนที่ทั้งสองพูดคุยกันนั้นก็ได้ยินเสียงคำรามที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ สนามรบที่ห่างออกไปหลายสิบไมล์นั้นเหมือนมีบางอย่างกำลังมุ่งหน้าออกมาจากหุบเขา
หยูเจียเห็นกลุ่มคนวิ่งออกมาจากหุบเขา พวกนั้นต่างก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา เหมือนกับว่าพวกเขาเห็นบางอย่างที่น่าตกใจเข้า
หลังจากนั้นหยูเจียก็เห็นงูดำขนาดใหญ่ มันสูงกว่าพันฟุตปรากฏตัวที่ทางออกของหุบเขา ร่างขนาดใหญ่ของมันลอยอยู่เหนือภูเขา หัวทั้งสามได้หันไปมาราวกับกำลังมองหาเหยื่อ
ตอนนั้นเองมันเหมือนรับรู้อะไรบางอย่างได้ สายตาของมันจับจ้องมาที่กองกำลังทหารเรือที่อยู่ไกลออกมา
มันเผยสายตาแปลกใจออกมา ก่อนที่ตาของมันจะแดงก่ำขึ้นมาพร้อมกับแรงอาฆาตที่แผ่ออกมาจากตัวอย่างรุนแรง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมมันดูคลั่งกว่าเดิมได้ ? ” หวังเย่ารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่บอกไม่ถูก มันราวมีภูเขากดทับตัวของเขาอยู่ มันทำให้เขาแทบหายใจไม่ได้ และรู้สึกราวกับมีน้ำแข็งเกาะที่หัวใจของเขา
แค่แรงอาฆาตเพียงเล็กน้อยก็ทำให้หวังเย่าใจสั่นได้แบบนี้ เขาไม่อาจจะต้านทานมันได้เลย มันยากจะคิดได้ว่าคนที่ทำให้สัตว์อสูรแค้นได้นั้นจะต้องรู้สึกยังไง
“สัตว์อสูรนั่นคิดจะทำอะไร ? ” เมื่อเห็นท่าทีของงู หยูเจียก็รู้สึกได้ถึงอันตราย
อี้หลงเองก็อึ้ง เขาได้แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา “เขาคงบ้าไปแล้ว เขาถึงกับกล้าปล่อยสัตว์ประหลาดแบบนี้ออกมา ! ”
เดิมเขาถูกผู้อาวุโสจีสั่งให้ไปปลุกสัตว์อสูรนี่ขึ้นมา เพื่อต้องการให้มันฆ่าหวังเย่าและหยูเจีย ด้วยพลังของสัตว์อสูรก็มีโอกาสฆ่าทั้งสองได้
อี้หลงได้นำทีมตรวจสอบเข้าไปในถ้ำไม่ใช่แค่ปลุกสัตว์อสูรที่หลับใหลก่อนจะพากองกำลังทหารเรือออกมา
แต่เขาประเมินความบ้าคลั่งของสัตว์อสูรต่ำเกินไป และไม่คิดว่าการกระทำของเขานั้นจะทำให้สัตว์อสูรแค้นจนคิดจะกำจัดพวกเขาทิ้ง
ที่เหนือหัวของงูสามหัวนี้มีพลังงานสามสีก่อตัวขึ้นมา มันขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 10 เมตร
ฟู่หมิงเห็นแบบนั้นก็แสดงสีหน้าหนักใจออกมาทันที “อะไรที่ทำให้มันโกรธจนถึงคิดจะกำจัดทุกคนทิ้งแบบนี้”
เขามองไปที่คนของกองกำลังทหารเรือและพูดขึ้น “น่าจะเป็นคนของกองกำลังทหารเรือที่ไปหาเรื่องมัน”
“แต่การโจมตีของมัน ไม่ต้องพูดถึงกองกำลังทหารเรือเลย แม้ว่าจะอยู่ห่างไปหลายร้อยไมล์แต่ก็ต้องโดนกำจัดอยู่ดี แม้แต่ค่ายกลเคลื่อนย้ายในถ้ำก็อาจจะโดนทำลายไปด้วย” ฟู่หมิงพูดขึ้น
นี่ไม่ใช่การแก้แค้นระหว่างกองทัพเรือกับสัตว์อสูร แต่รวมถึงคนที่เหลือด้วย หากคิดจะสู้กับมันตั้งแต่แรกก็น่าจะมั่นใจว่าจะจัดการมันได้ แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะรับมือการโจมตีนี้
“ผู้อาวุโสเจียงหยาน นายคงไม่อยากเห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายโดนทำลายไปหรอกนะ” หยานเทียนบอกกับเจียงหยาน
“นายคิดว่าเราสามคนเพียงพอที่จะรับมือกับการโจมตีของมันได้หรือ ? ” เจียงหยานเองก็แสดงสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาเองก็กังวลเรื่องค่ายกลเคลื่อนย้ายเหมือนกัน
“ตระกูลเจียงเต็มใจจะร่วมมือเพื่อหยุดสัตว์อสูรนี่เอาไว้” คนที่พูดคือผู้นำของตระกูลเจียง หลานของเจียงหยาน นั่นก็คือเจียงเหวิน
“เผ่าสามตาจะไม่อยู่เฉยและจะร่วมมือด้วย” หยางเสี่ยวพูดขึ้น
เมื่อได้ยินว่าพวกระดับสูงยอมให้ความร่วมมือ สีหน้าของฟู่หมิงก็ดูดีขึ้นมาบ้าง แต่ตอนนั้นเองพลังงานก็ได้ลอยขึ้นไปบนฟ้า จนทำให้สายฟ้าขนาดใหญ่ได้ผ่าลงมาอย่างช้า ๆ
หลังจากที่พลังงานนั้นเผยตัวออกมา แม้แต่ท้องฟ้าสีเทาก็สดใสขึ้นมา เมฆในระยะหลายร้อยไมล์ได้สลายหายไป
หยานเทียนและฟู่หมิงได้บอกกับหวังเย่าและวานเซ่ “พวกนายสองคนรีบออกจากที่นี่ไปก่อน เผื่อว่าเราจะหยุดมันไม่ได้ เราคงปกป้องพวกนายไม่ไหว”
หวังเย่าและวานเซ่รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ พวกเขารีบถอยห่างออกไปทันที คนอื่น ๆ เองก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีและรีบถอยออกมาจากหุบเขาแห่งนั้นเช่นกัน
“แม่ทัพ เราจะทำยังไงกันต่อ ? ” ทหารหลายคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและรอฟังคำสั่งของหยูเจีย
“สถานการณ์มันเลวร้าย สัตว์อสูรนี่เหมือนจะหมายหัวเรา รีบออกจากที่นี่ไปก่อน ! ” หยูเจียสั่งการลูกน้องของตัวเองทันที
ในตอนที่ทุกคนหนีออกมาจากหุบเขานั้น บอลพลังในท้องฟ้าก็ระเบิดพลังออกมา คนระดับสูงมากมายได้ใช้สกิลออกมาเพื่อสลายการโจมตีนี้ แต่การโจมตีนี้ทัดเทียมกับการโจมตีของสัตว์อสูรเทพ แม้แต่พวกเขาก็ยากจะสลายมันได้
พายุพลังงานอันน่ากลัวกระจายไปโดยรอบ ไม่กี่อึดใจทุกอย่างในระยะ 2-3 ไมล์ต่างก็โดนทำลายไปจนหมด
หวังเย่ารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังที่แผ่ออกมากระทบตัว ไม่ทันไรเขาก็สลบไปทันที