ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 648 : หนังสือศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 648 : หนังสือศักดิ์สิทธิ์
“เหอเจีย เธอมีอะไรจะพูดก็พูดมาได้เลย หวังเย่าไม่ใช่คนนอก” ฟู่หมิงพูดขึ้น
“ได้” เหอเจียโค้งให้และเอาหนังสือออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะส่งมันให้กับฟู่หมิง
“กั้วหงเคยบอกว่าท่านฟู่หมิงจะมา เขากลัวว่าเขาจะไม่มีโอกาสบอกลา เขาไม่อาจจะทดแทนบุญคุณของท่านได้ เขาลองเสี่ยงพัฒนาตัวเองแล้วแต่ก็ต้องตายไป เขาฝากฉันว่าขอให้ท่านฟู่หมิงยกโทษให้ด้วย”
ฟู่หมิงรับหนังสือมา ตอนนั้นเขากลับนึกถึงลูกหมาป่าที่เขาเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
เขารับหนังสือมาแล้วเปิดออกก่อนจะดูเนื้อหาของมันแล้วพึมพำออกมา “หลังจากที่ฉันจากไปแล้ว กั้วหงเรียนรู้และเข้าใจหนังสือนี่มากแค่ไหน เขาบอกเธอรึเปล่า ? ”
เหอเจียส่ายหน้า “เขาบอกแค่ว่าเนื้อหามันซับซ้อนอย่างมาก เขาเข้าใจแค่เพียงเศษเสี้ยวของมัน แต่กลับต้องใช้เวลาทั้งชีวิต”
ฟู่หมิงถอนหายใจออกมา “เขาบ่มเพาะไปถึงระดับไหนก่อนที่เขาจะตาย ? ”
เหอเจียร้องไห้ออกมาเมื่อนึกถึงการตายของกั้วหงที่ต้องเจ็บปวด “แค่ระดับ 150 เขาเจอกับภัยถึงชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน เขาโดนฟ้าผ่า 5 ครั้ง เส้นเลือดแตกสลาย เขารอดมาได้ 3 ปี แต่สุดท้ายก็จากไป”
ฟู่หมิงจับหนังสือนั้นไว้โดยไม่พูดอะไรออกมาสักพัก หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พยักหน้าและพูดขึ้น “ฉันจะรับมันไว้ เธอกลับไปจัดการธุระของตัวเองเถอะ”
เหอเจียเช็ดน้ำตา จากนั้นฟู่หมิงก็ได้พูดขึ้น “อย่าไปหมกมุ่นกับเรื่องอดีต ตอนนี้เธอดูแลที่นี่ไว้ให้ดี ไม่ต้องไปสนใจเรื่องอื่น จักรวาลนี้ใหญ่โตนัก…”
“อืม…” เหอเจียพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นแล้วออกจากห้องไป
หวังเย่ามองไปที่หนังสือที่อยู่ในมือฟู่หมิง แล้วถามขึ้นมา “บอกกันว่าสัตว์อสูรจากวัยเด็กจนเติบโตนั้น เลเวล 100 คือประตูสู่ความตาย ตามที่ได้ยินมาแล้ว กั้วหงน่าจะปลอดภัยแล้วไม่ใช่หรือ เพราะเขาขึ้นไปถึงเลเวล 150 แล้ว แต่ทำไมเขาต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ และโดนฟ้าผ่าถึง 5 ครั้ง ? ”
ฟู่หมิงเก็บหนังสือและอธิบายออกมา “ดูเหมือนว่านายจะยังไม่เข้าใจเรื่องสัตว์อสูรดีนัก”
“การบ่มเพาะสัตว์อสูรนั้นยาก แม้ว่าจะมีสกิลที่แปลกประหลาดแต่ก็ยากที่จะหนีการลงโทษจากกฎสวรรค์ได้”
“ชีวิตของสัตว์อสูร เมื่อกำเนิดขึ้นมาก็ถือว่าเป็นหายนะแล้ว หากสัตว์อสูรขึ้นไปถึงเลเวล 150 ได้ งั้นในชีวิตพวกเขาจะต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ถึง 2 ครั้ง ”
“ครั้งแรกคือตอนที่เลเวล 100 มันคือช่วงเติบโตเต็มวัยของสัตว์อสูร ถ้าไม่มีจิตใจที่แข็งแกร่งเพียงพอก็ไม่อาจจะทนรับการลงโทษนี้ได้ จากนั้นพลังงานในร่างกายก็จะสลายไป มันไม่ต่างอะไรจากการตายเลย”
“แน่นอนว่าการตายไม่อาจจะแก้ปัญหาได้ พวกสัตว์อสูรที่ล้มเหลวในการพัฒนานั้นหลังจากที่โดนลงโทษแล้ว ร่างกายและวิญญาณจะอยู่ในสภาวะที่ปั่นป่วน ถ้าพลังงานในร่างกายไม่ระเหยออก วิญญาณก็ไม่อาจจะแยกออกจากร่างกายได้ หากสัตว์อสูรเลือกที่จะฆ่าตัวตาย งั้นวิญญาณและร่างกายของพวกเขาก็จะระเบิดออก เพราะพลังงานที่เหลือ พวกเขาไม่อาจจะเข้าสู่การเกิดใหม่ได้ ”
หวังเย่ากระจ่างขึ้นมาทันที “ที่เมืองกังหัน งั้นนี่ก็เป็นเหตุผลที่ใช้แรงงานจากสัตว์อสูรงั้นหรือ ? ”
ฟู่หมิงพยักหน้าและพูดขึ้น “แต่เหตุการณ์นี้หายากในดาวเคราะห์อื่น ๆ เพราะสัตว์อสูรทั่วไปจะทะลวงผ่านเลเวล 100 ได้ เพราะเจ้านายของพวกเขามีเงินมากพอ เมื่อการพัฒนาสัตว์อสูรล้มเหลวแล้ว สัตว์อสูรพวกนั้นก็จะโดนฆ่า”
“โดนฆ่างั้นหรือ ? ”
“มันมีเครื่องมือที่จะดึงพลังงานออกมาจากสัตว์อสูร แต่มันซับซ้อนและใช้เงินจำนวนมาก”
“ในด้านของการใช้พลังงานแล้ว การดึงพลังงานออกมาจากสัตว์อสูร มันต้องใช้พลังงานเป็นสองเท่า ซึ่งมันดูไร้เหตุผลสำหรับเขตดาวโบโลด์ พวกเขาจึงไม่ทำเช่นนั้น เพราะมันเท่ากับการเสียพลังงานไปเปล่า ๆ ดังนั้นเขตดาวโบไลด์จึงห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์อสูร ซึ่งทำให้เกิดเรื่องแบบที่นายเห็นขึ้น ”
“งั้นสัตว์อสูรที่ไม่อาจจะพัฒนาได้ ก็สามารถเลือกได้ว่าจะตายยังไงใช่ไหม ? ” หวังเย่าถามขึ้นมา
ฟู่หมิงยิ้มและพูดขึ้น “มันก็เลือกได้ แต่โอกาสที่จะมีสิทธิ์เลือกนั้นต่ำอย่างมาก การดึงพลังงานออกมาจากตัวสัตว์อสูรนั้น เทคโนโลยีนี้มีแต่พันธมิตรดวงดาวเท่านั้นที่สร้างมันขึ้นมา ที่โรงพยาบาลหลายแห่งก็มีเครื่องมือนี้เช่นกัน เป้าหมายของพันธมิตรดวงดาวไม่ใช่ไปยุ่งเกี่ยวกับกฎหมายของดาวอื่น ๆ สมาชิกทั้งหมดต่างก็มีระบบปกครองของตัวเอง ดังนั้นการจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ”
“ดูเหมือนว่ามันไม่ง่ายเลยที่สัตว์อสูรจะรอดอยู่ได้ในเขตดาวโบไลด์”
หวังเย่าถามขึ้นมา “แล้วการทะลวงผ่านครั้งที่สองล่ะ ? ”
“ การทะลวงผ่านครั้งที่สองคือตอนเลเวล 200 มันเจ็บปวดกว่าเลเวล 100 เป็นหมื่นเท่า สายฟ้าจะผ่าพวกเขาเป็นล้านครั้ง มันจะกินเวลาหลายสิบปี รึอาจจะนานกว่านั้น สรุปคือตอนนี้ก็ยังไม่มีสัตว์อสูรเลเวล 200 ในจักรวาล ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าการทะลวงผ่านจะกินเวลานานแค่ไหน บางทีอาจจะตลอดกาลก็ได้ ”
“ใช่สิ ฉันคงต้องพูดให้ถูกว่ามีสัตว์อสูรเลเวล 200 อยู่ แต่ข้อมูลนี้คงไม่ได้แม่นยำมากนัก นักวิจัยได้ทำการวิเคราะห์พลังของหนวดและพบว่ามันเลเวลเกิน 200 แต่ไม่มีใครรู้ข้อมูลที่แท้จริงของมัน ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นสัตว์อสูรรึไม่…มันอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระดับอยู่เหนือกว่ามนุษย์ไปแล้วก็เป็นได้”
“นอกจากการทะลวงผ่านสองครั้งแล้ว ทุกครั้งที่ทะลวงผ่านทุก ๆ 10 เลเวลไปได้ มันก็ยังมีโอกาสอีก 1 เปอร์เซ็นต์ ที่จะโดนลงโทษ และเมื่อพบกับหายนะนั้นก็มีโอกาสสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ที่จะตาย แน่นอนว่ามีพวกที่โชคดีที่ไม่พบการลงโทษเหล่านี้จนกระทั่งไปถึงเลเวล 200”
หวังเย่าคิดสักพักก่อนจะมองไปที่หนังสือศักดิ์สิทธิ์บนโต๊ะและอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “งั้นพี่ให้หนังสือนี้กับกั้วหง ทำไม มันช่วยให้เขาหนีจากการลงโทษได้งั้นหรือ ? ”
“หนังสือนี้สืบทอดกันมาในตระกูลของฉัน โดยทั่วไปแล้วคนนอกไม่มีทางจะได้มันมา ฉันติดค้างนายอยู่ ฉันจะยอมให้นายดูมันก็ได้”
“เมื่อมันเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาในตระกูล ฉันไม่ดูก็ได้”
เอาจริง ๆ แล้ว หวังเย่าก็สงสัยว่ามีอะไรอยู่ด้านใน ถ้าต้องบอกว่าเขาไม่สนใจเลยก็คงเป็นเรื่องโกหกแล้ว
“ฉันยังคิดไม่ออกว่าต้องตอบแทนนายยังไง การให้หนังสือนี้กับนายดู คิดว่าไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร ดูเถอะ ฉันจะได้สบายใจ” เมื่อพูดจบเขาก็ผลักหนังสือไปตรงหน้าของหวังเย่าทันที
“นี่…นี่ฉัน…ดูได้จริง ๆ หรือ ? ” หวังเย่าเงยหน้าขึ้นมามองฟู่หมิง ก่อนจะมองไปที่หนังสือ
แต่เมื่อเปิดออกดู ก็พบแต่ความว่างเปล่า
“ว่างเปล่า ! มัน…ไม่เห็นมีอะไรเขียนเอาไว้เลย ! ” หวังเย่าพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
ฟู่หมิงพยักหน้า “มันดูได้ทีละคน นายอย่ามองแค่จุดเดียว นายมองภาพรวมสิ ลองมองดูอีกครั้ง”
หวังเย่ามองหนังสือโดยภาพรวมอีกครั้ง พร้อมกับใช้ระบบมองในส่วนย่อย ๆ ไป
ในภาวะลึกลับนี้ราวกับเขาราวกับได้เข้าไปในอีกมิติหนึ่ง มันเป็นการเปิดใช้งานการวิเคราะห์ของระบบเต็มที่
ตอนนี้หนังสือที่ว่างเปล่าตรงหน้าของหวังเย่า มันกลับกลายเป็นจักรวาลแทน
นี่มันคือเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างมาก แม้แต่เจ้าของหนังสือนี้ก็คงคาดไม่ถึงเช่นกัน
เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าเนื้อหาของหนังสือนี่จะเกี่ยวข้องกับจักรวาล
หนังสือนี้คือแก่นวิญญาณ เนื้อด้านนอกหนังสือมันคือร่างกายและเลือดของมัน
หลังจากนั้นสักพัก หวังเย่าก็รู้สึกว่าวิญญาณและร่างกายของเขาเบาขึ้น มันราวกับว่าวิญญาณของเขาหลุดออกจากร่างพร้อมกับเส้นนับไม่ถ้วนที่ปรากฏขึ้นมา
เส้นเหล่านี้ไม่ใช่ตัวหนังสือหรือภาพวาด…แต่มันเหมือนกับโครงสร้างดีเอ็นเอมากกว่า !
หลังจากที่ดีเอ็นเอสั่นไหวไปมา สุดท้ายมันก็พุ่งเข้ามาหาหวังเย่า
เมื่อดีเอ็นเอนั้นเข้ามาในตัว หวังเย่าก็พบว่าร่างกายของตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงไป
ร่างกายของเขาเริ่มมีเกล็ดมังกรขึ้นมา ที่ด้านหลังมีปีกงอกออกมา ที่หว่างคิ้วของเขามีตาที่สามโผล่ขึ้น เมื่อมองไปที่นิ้วก็พบว่ามีกรงเล็บงอกออกมาด้วย
ก่อนที่เขาจะได้ตรวจสอบรายละเอียดของร่างกายทั้งหมด ร่างขนาดใหญ่ของเขาก็พุ่งเข้าไปในจักรวาลพร้อมกับเปลี่ยนร่างต่อ
บอกได้ว่าร่างนี้แปลกประหลาดอย่างมาก…แต่มันกลับแข็งแกร่ง
สุดท้ายภาพก็หยุดนิ่งไป หวังเย่าพบว่าตัวเองอยู่ในร่างยักษ์ถือขวานฟันผ่าจักรวาลออกไป !
ครืน…
เขาเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว พร้อมกับที่เขากลับมาสู่โลกความจริง
ใจของเขาเต้นรัวและแรงอย่างมาก หลังจากที่เห็นฉากนี้ไปก็เกิดความคิดแปลก ๆ ในหัวขึ้นมา
หวังเย่าไม่กล้าที่จะคิดต่อ
“นายได้อะไรมาบ้าง ? ”
เมื่อเห็นหวังเย่าที่หน้าซีดเซียว และเหงื่อที่ชุ่มไปทั้งตัว ฟู่หมิงก็ทำการเทชาให้กับหวังเย่า
“เคยมีคนบอกว่าเมื่อเข้าไปในนั้น ก็ได้เห็นภาพที่ยิ่งใหญ่ จากนั้นระบบความคิดของพวกเขาก็เปิดกว้างขึ้นและว่องไวขึ้น มันราวกับวิ่งพันไมล์ในหนึ่งวัน แต่สภาพแบบนายนั้นฉันเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ”
เมื่อฟู่หมิงเห็นสภาพของหวังเย่าแล้ว เขาก็ลนลานขึ้นมา เขากังวลว่าหวังเย่าจะเห็นอะไรแย่ ๆ เข้า ซึ่งจะส่งผลต่อการบ่มเพาะในอนาคต
เมื่อคิดแบบนั้น ฟู่หมิงก็ยิ่งโทษตัวเองและพึมพำออกมา “น้องหวังเย่าทำดีกับฉัน ถ้าฉันทำลายพรสวรรค์ของเขาไป ฉันกลัวว่าชีวิตเขาคงตกที่นั่งลำบาก ฉันต้องชดเชยให้กับเขา”
หวังเย่าหยิบแก้วชาขึ้นมาจิบ เขารวบรวมสติและพูดขึ้น “ฉันต้องบอกว่ามันวิเศษจริง ๆ ”
ฟู่หมิงรีบเก็บหนังสือเข้าไปในแหวนมิติ เขาสาบานว่าจะไม่ให้ใครดูง่าย ๆ อย่างนี้อีกเป็นอันขาด
“ฉันขอสาบานในนามของบรรพบุรุษของฉัน บอกกันว่าบรรพบุรุษของนายเป็นงู แต่คนของดาวนิบิรุมีขาไม่ต่างจากคนทั่วไป นายรู้ไหมว่าทำไม ? ”
หวังเย่าส่ายหน้า
“เขาบอกกันว่า มีทักษะหนึ่งที่บ่มเพาะแล้วจะกลายเป็นเทพ พวกเขาสามารถเปลี่ยนร่างได้ตามต้องการ สามารถเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์แบบไหนก็ได้ มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากหากจะทำให้งูมีขา และไม่มีใครมองทักษะนี้ออก”
“บรรพชนของฉันสงสัยว่าหากสัตว์อสูรกำจัดยีนส์ด้อยในตัวได้ จนได้กลายเป็นมนุษย์ พวกเขาจะสามารถบ่มเพาะทักษะนี้ได้รึเปล่า”
“แน่นอนว่าการทดสอบนี้สำเร็จ สัตว์อสูรระดับสูงของฉันหลายตัวในดาวนิบิรุได้กำจัดยีนส์ด้อยในตัวไป และสามารถพัฒนาเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาได้ ”
“ตามที่พวกเขาบอกมานั้น พวกนั้นไม่เข้าใจเนื้อหาในหนังสือทั้งหมด แต่พวกเขาก็ได้ข้อมูลที่น่าตกใจซึ่งสามารถลบยีนส์ด้อยในตัวและพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้”
“นายรู้ไหมว่ามันหมายความว่าอะไร กับการที่สัตว์อสูรสามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นคนแบบนี้?”
หวังเย่าคิดสักพักแล้วตอบกลับ “หลุดจากการ….ลงโทษ พวกเขาบ่มเพาะได้สำเร็จไม่ใช่รึไง ? ”
“ใช่ อสูรกลุ่มแรกบ่มเพาะถึงเลเวล 200 และได้กลายเป็นปีศาจ”
“มันไม่ง่ายที่จะมีสัตว์อสูรเลเวล 200 แต่พวกนั้นสามารถเดินทางไปในจักรวาลได้ง่าย ๆ ”
“นานมาแล้วที่ผู้ใช้อสูรเริ่มคิดว่าจะช่วยสัตว์อสูรของตนให้กำจัดยีนส์ด้อยออกไป เพื่อที่จะพัฒนาพวกเขาให้เป็นปีศาจ แต่มีไม่กี่คนที่จะสามารถทำได้ ! ”
หวังเย่ากระจ่างขึ้นมาทันทีที่ได้ฟัง “งั้นตอนที่พี่พบว่ากั้วหงเข้าใจเนื้อหาในหนังสือนี้ พี่จึงตัดสินใจมอบหนังสือนี้ให้กับเขางั้นหรือ ? ”
“ใช่ แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเหลว” ฟู่หมิงถอนหายใจออกมาและมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะพบว่าหิมะหยุดตกแล้ว แต่โลกยังอยู่ในความเงียบสงบ
“น้องหวังเย่า นายให้น้ำศักดิ์สิทธิ์กับฉัน 20 ขวด ฉันไม่คิดว่าหนังสือนี่จะเพียงพอที่จะตอบแทนนายได้ ฉันมีอีกอย่างจะให้นาย ! ”
“ไม่จำเป็นหรอก” หวังเย่าหัวเราะออกมา
“นายอย่าปฏิเสธฉันเลย ฉันรู้สึกว่าฉันติดค้างนายอย่างมาก ถ้านายปฏิเสธฉัน มันอาจจะส่งผลต่อการพัฒนาของฉันต่อไป”
หวังเย่าลูบจมูกและพูดขึ้น “มันไม่เกินไปหน่อยหรือ ? ”
“นายมากับฉันสิ ! ”
หวังเย่ายังไม่ทันได้ปฏิเสธ ฟู่หมิงก็กระโจนออกไปจากหน้าต่างทันที