ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 538 : ทักษะใหม่
ตอนที่ 538 : ทักษะใหม่
ด้วยตำแหน่งของเจฟในเหมืองนี้ เขาคงไม่เอาเรื่องหวังเย่า เพราะเขานั้นเป็นลูกผู้ชายพอ เขาไม่คิดจะยุ่งอะไรกับคนระดับต่ำกว่าอยู่แล้ว !
หวังเย่าได้แต่มองพวกนั้นหายไปในความมืดมิด เขาไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาพยายามช่วยมิเชลแล้ว แต่การไปยุ่งกับอีกฝ่ายจนมีปัญหาเข้าตัว เขาไม่คิดจะทำ
ยังไงซะความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายก็ต่างกันกับเขาอย่างมาก หากเขาฉีกหน้าอีกฝ่ายตอนนี้ หวังเย่ารู้สึกว่าถึงจะมีฟอเนอร์คอยหนุนหลังแต่เดาว่าก็คงเป็นเรื่องยากอยู่ดี
ฤดูฝนของดาวทมิฬนี้อยู่เกือบ 2 เดือน ในสภาพอากาศแบบนี้พวกเขาจะทำงานได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีใครชอบฤดูนี้เลย
คนเกือบกว่า 2 ใน 3 ในเหมืองก็เหมือนกับหวังเย่า พวกเขาจะอาศัยอยู่ในถ้ำ อากาศที่ชื่นแบบนี้ทำให้พวกเขาป่วยกันง่าย ไม่ใช่แค่ไม่สะดวกกับการเดินทางออกไปข้างนอกเท่านั้น แต่การนอนในถ้ำก็เป็นเรื่องที่ทรมานไม่ต่างกัน
ครั้งนี้ฮาลิเฟคไม่ได้มาหาเรื่องหวังเย่า ดูเหมือนว่าการกระทำของฟอเนอร์นั้นก็ยังพอได้ผลอยู่บ้าง
หวังเย่ายังคงไปที่ถ้ำเพื่อขุดแร่ดังเดิม เขาจะเก็บแร่ใส่แหวนมิติแล้วไปส่งมันในทุกเย็น
เวลาผ่านไปครึ่งเดือนอย่างรวดเร็ว
คืนนั้น หวังเย่ากำลังนั่งทำสมาธิในถ้ำเพื่อฝึกฝนสกิลแปลงร่าง สกิลที่เขาได้มาจากผู้พิทักษ์ในพีระมิด
แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำการเปลี่ยนร่างในถ้ำนี้แต่ด้วยการใช้ภาพลวงตานั้น เขาก็พอเชี่ยวชาญการใช้สกิลนี้อยู่บ้าง
การเปลี่ยนร่างนี้ไม่ใช่ธรรมดาเลย !
ในตอนที่ฝึกสกิลเสร็จ หวังเย่าก็เห็นว่าท้องฟ้าเริ่มเปิดพร้อมกับแสงแดดที่ส่องลงมา
ตอนนั้นในหัวของหวังเย่าก็มีสถานะของแฟนธอมโผล่ขึ้นมาชนิด : อสูรเงาปีศาจเลเวล : 88 ขอบเขต : กึ่งเทพ สกิล : ขู่ เมื่อคู่ต่อสู้เลเวลต่ำกว่าตน โอกาสที่จะอ่านจุดอ่อนทางจิตใจและข่มขู่คู่ต่อสู้ก็มากขึ้นไปด้วยจนคู่ต่อสู้ยอมแพ้หรือไม่อาจจะสู้ได้, เคียว โยนอาวุธเหล็กในมือโจมตีศัตรู พุ่งชนศัตรู มีโอกาสที่ศัตรูจะกระเด็น, เงา ร่างที่สอง ร่างราวกับผี สามารถเห็นได้แต่เจ้าของเท่านั้นเตือน : สัตว์อสูรเริ่มสั่งสมพลังงานและเตรียมที่จะพัฒนา ขั้นตอนนี้ต้องใช้ค่าประสบการณ์อย่างมาก มันจะเติบโตได้ช้าลง 90 เปอร์เซ็นต์“มานี่ !”
หวังเย่ารับรู้ได้ถึงการเชื่อมต่อที่ชัดเจนของเขากับแฟนธอม การที่แฟนธอมแกร่งขึ้นก็ทำให้เขาแกร่งขึ้นไปด้วยเช่นกัน
หากนับดูดี ๆ แล้วตอนนี้เขาอยู่ระดับ C แล้ว
หวังเย่าต้องแปลกใจที่แฟนธอมขึ้นมาเลเวล 88 แล้ว มันหมายความว่าแฟนธอมได้ยึดบึงเอาไว้ได้แล้วงั้นหรือ
มันหมายถึงอะไรอีก ?
มันหมายความว่าหวังเย่ามีสัตว์อสูรที่เป็นเจ้าของอาณาเขต !
ทำไมแฟนธอมถึงเพิ่มเลเวลได้เร็วแบบนี้ในเวลาอันสั้น มันเป็นเพราะตัวมันเองรึเพราะระบบกันแน่
ตั้งแต่ที่หวังเย่ามาที่ดาวทมิฬแห่งนี้ ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่าระบบเทพอสูรนั้นเพื่อจะปรับตัวกับกฎของโลกที่นี่ มันก็ได้ทำการปรับเปลี่ยนตัวเองและพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก
ตอนนี้มันมีฟังก์ชันเสริมให้กับสัตว์อสูรที่เขาทำสัญญาด้วย ดังนั้นสัตว์อสูรจึงมีระบบกับตัวด้วยเช่นกัน !
ภายใต้ฟังก์ชันเสริมนี้ แฟนธอมก็ได้ว่าพัฒนาตัวเองได้เร็วกว่าเดิม !
ครืน…
ฟ้าร้องขึ้นมาพร้อมกับนักโทษคนหนึ่งที่หนีออกมาจากถ้ำ
เขาหอบหายใจพร้อมกับไอหมอกที่ปรากฏขึ้นมา
ตอนนั้นเขากำลังจะตาย !
หวังเย่ามองไปที่อีกฝ่ายพร้อมในใจที่รู้สึกเศร้าไปตาม แต่ก็ทำได้แค่เศร้าใจเท่านั้น เขาเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน
ที่เหมืองแห่งนี้มีคนตายแทบจะทุกวัน ไม่ว่าในอดีตเขาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนแต่เขาก็ไม่อาจจะช่วยทุกคนได้
เพื่อที่จะรอดแล้วทุกคนก็ลืมเรื่องหลักการไป พวกเขาละทิ้งความถูกต้อง พวกเขาถึงกับลืม…ว่าตัวเองเป็นใคร
หวังเย่ากางมืออกบังสายฝนเอาไว้ สายตาของเขาเริ่มเย็นชาขึ้นมา
ฝ่ามือเขามีหมอกดำพุ่งออกมาก่อนจะมีค้างคาวดูดเลือดบินออกมา เพราะสกิลของแฟนธอมพัฒนาขึ้นมาแล้ว ค้างคาวจึงเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีแดง ความสามารถในการโจมตีทางจิตของมันก็พัฒนาขึ้นไปด้วย
ภายใต้การควบคุมของหวังเย่า นักโทษคนนั้นก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาหวังเย่าราวกับร่างไร้วิญญาณ
ฝนยังสาดลงมาใส่เขาก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงไปตรงหน้าหวังเย่า “อ่ะ อ่ะ อ่ะ…”
หวังเย่ามองไปที่อีกฝ่ายก่อนจะเอาสว่านไฟฟ้าส่งให้กับอีกฝ่ายแล้วสั่งการ “หุ่นเชิดหมายเลข 1 จากนี้ไปนายรับผิดชอบในการขุดแร่ ! ”
ภายใต้คำสั่งของหวังเย่า ลูกน้องเบอร์ 1 ก็ได้เดินเข้าไปในถ้ำของหวังเย่า จิตใจของเขาเชื่อมต่อกับหวังเย่าไปแล้วแม้ว่าเขาจะอยู่ไกล แต่หวังเย่าก็ยังสามารถสังเกตการณ์ในจุดที่เขาอยู่ได้
“เขาไม่ได้มีอาการบาดเจ็บแต่อย่างใด ภายในร่างกายยังอยู่ครบ เขาแค่ป่วยและอยู่ในสภาพสิ้นหวังก็เท่านั้น จิตใจของเขาอ่อนแอ เขาจึงไม่อาจจะต้านทานฉันได้จนกลายเป็นหุ่นเชิด ”
“เป็นการทดสอบที่น่าสนใจจริง ๆ ” หวังเย่ายิ้มออกมาที่มุมปาก เขาพอใจกับความคิดของตัวเองเป็นอย่างมาก เขาแค่ทดสอบแต่ไม่คิดเลยว่ามันจะสำเร็จ
“ฉันไม่รู้ว่าฉันควบคุมคนที่ตายไปแล้วได้รึเปล่า ? ”
เมื่อคิดได้แบบนั้น เขาก็เพ่งสมาธิเข้าไปในเขตลวงตาทันที
ความพยายามคืนนั้นทำให้หวังเย่าได้ความคิดใหม่ขึ้นมา หากมันเป็นไปได้เขาจะสร้างทีมหุ่นเชิดขึ้นมาเพื่อขุดแร่ ส่วนเขาจะเพ่งสมาธิไปกับการฝึกฝน
เสียงฝนยังดังอย่างต่อเนื่อง เมื่อหวังเย่าลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามันเช้าแล้ว
ตอนนั้นเองก็มีเสียงลนลานดังขึ้นมา “แย่แล้ว แย่แล้ว ! ”
“มีศพกว่า 30 ศพถูกพบที่ท้ายเหมืองทางทิศตะวันออก…พวกนั้นน่าจะเป็นคนของฮาลิเฟค ! ”
“นั่นลูกน้องของฮาลิเฟค ! ”
“ ฮาลิเฟคเป็นแค่นักโทษระดับ E แต่เขาเกิดมาในตลาดนักสู้ เขามีความสามารถที่สูง การตรวจสอบทั่วไปไม่อาจจะประเมินเขาได้ ความสามารถที่แท้จริงของเขาไม่อาจจะตัดสินได้ด้วยเกณฑ์ทั่วไป ”
“ว่ากันว่าเขาสนิทกับเจฟไม่ใช่รึไง ถ้ามีใครกล้าลงมือกับฮาลิเฟค ก็เท่ากับหาเรื่องเจฟไม่ใช่หรือ ? ”
“แล้วตอนนี้ฮาลิเฟคเป็นยังไง ? ”
“ฉันไม่รู้แต่ที่นั่นไม่มีศพเขา เขาน่าจะหนีไปได้ ”
หวังเย่าเดินออกมาจากถ้ำและเดินตามคนอื่น ๆ ไปที่ทางตะวันตก
แน่นอนว่าหวังเย่าเห็นศพของพวกนั้นนอนเกลื่อนกลาดกันอยู่
เลือดและอวัยวะภายในกระจายไปทั่ว มันถึงกับได้กลิ่นคาวเลือดที่ลอยมาแม้ว่าจะอยู่ไกลก็ตาม
“นี่เท่ากับการหาเรื่องเจฟ มันต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่”
ไกลออกไป เจฟได้เดินเข้ามาโดยมีลูกน้องคอยถือร่มให้ เขาเดินเข้ามาที่นั่น ๆ ช้า เขาได้พลิกศพพวกนั้นดูก่อนจะพูดขึ้น “เอเดรียนกับแลมเบิตไม่ได้มีเรื่องกับฉัน มันไม่น่าจะเป็นพวกเขาได้ มันมีกองกำลังไหนก่อตั้งขึ้นมาในเหมืองและฆ่าคนของฮาลิเฟค ? ”
ลูกน้องที่อยู่ข้าง ๆ ได้พูดขึ้น “ดูเหมือนว่าฮาลิเฟคจะหนีไปได้ ถ้าเราเจอตัวเขา เราก็น่าจะรู้ความจริง”
เจฟพยักหน้าก่อนที่จะมีผู้คุมกว่าสิบคนเดินเข้ามา
เจฟเดินเข้าไปคุยกับผู้คุมคนหนึ่ง
ทั้งสองหัวเราะออกมา เจฟกระซิบบางอย่างกับผู้คุม ดูเหมือนว่าทั้งสองจะสนิทกันไม่น้อย
ไม่จำเป็นต้องบอกเลย ดูก็รู้ว่าเจฟคงอยากให้ผุ้คุมช่วยดูว่าฮาลิเฟคหนีไปไหน นักโทษจะมีเครื่องติดตามที่หู มันคงไม่ยากที่จะตามหาใคร
หวังเย่าเงยหน้าขึ้นมองกล้องรอบ ๆ ตัวและพบว่ามันถูกทำลายไปหมดแล้ว !
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหาคนที่ฆ่านักโทษพวกนี้ เจฟได้แต่หวังว่าเครื่องติดตามที่หูของฮาลิเฟคจะไม่ถูกทำลายไปด้วย ตกดึกในเวลาพัก
หวังเย่าได้ถือร่มเดินทางไปที่ถ้ำขุดแร่ของเขา หลังจากนั้นสักพักก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาข้าง ๆ หวังเย่า
ทั้งสองมองไปที่หอคอยก่อนจะพึมพำบางอย่าง
“นายเป็นคนฆ่านักโทษพวกนั้นสินะ”
“ใช่ โชคร้ายที่ฮาลิเฟคหนีไปได้ เราประมาทความสามารถในการแปลงร่างของเขาเกินไป ถ้ารู้แต่แรก..เขาคงหนีไปไม่ได้”
“แล้วยังไง ? นายทำพังสินะ ? ” หวังเย่ามองไปที่ฟอเนอร์
ฟอเนอร์ยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วน “นายอาจจะอยู่ในอันตราย ฉันว่านายควรหยุดขุดแร่ไปก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับฮาลิเฟค”
หวังเย่าส่ายหน้าและยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “นายคิดดีแล้วหรือ ? ถ้าทำแบบนั้นมันก็เท่ากับว่าเปิดเผยตัวเอง ! ”
ฟอเนอร์ยักไหล่และยิ้มออกมา “ฉันก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่ตอนที่คนของฉันสองคนไล่ตามฮาลิเฟคไปก็โดนเขาฆ่า ฉันเดาว่ามันคงรู้แล้วว่าฉันอยู่เบื้องหลัง”
หวังเย่ายังแสดงสีหน้าใจเย็น “ทำไมนายถึงยังปลอดภัยอยู่ ทำไมเขาถึงไม่พูดชื่อนายออกมา”
ฟอเนอร์อธิบายออกมา “เพราะฉันเป็นแค่นักโทษระดับ F จึงไม่มีใครคิดจะสงสัย ไม่มีใครรู้ว่าจริง ๆ แล้วฉันเป็นใคร ฉันไม่เคยแสดงตัวออกมา ฉันไม่เคยแสดงตัวต่อหน้าคนของฉันด้วย”
“งั้นคนของนายรู้ได้ยังไงว่านายร่วมมือกับฉัน ? ”
“เพราะ…ฉันได้สั่งการไปแล้วว่าห้ามหาเรื่องนาย ถ้านายมีปัญหา คนที่เห็นก็ต้องรีบเข้าไปช่วยนาย นายคงไม่ได้ไปหาเรื่องใครเล่นสินะ ? ”
หวังเย่ากุมขมับ “พระเจ้า ฉันต้องขอบคุณจริง ๆ ที่นายเป็นห่วง นายคิดว่าฉันอ่อนแอจนต้องการคนปกป้องตลอดรึไง ? ”
“ฉันคงต้องขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
“นายรู้ไหมว่าใครหนุนหลังฮาลิเฟค ? ”
ฟอเนอร์พูดขึ้น “ฉันรู้ เจฟไง เชื่อฉันเถอะ ฉันไม่ทำผิดพลาดหรอก ถ้าเจฟกล้ามาหาเรื่องนาย ฉันจะช่วยนายจัดการเขาเอง”
“นายไม่ได้ช่วยฉันหรอก ตอนนี้ฉันต้องคอยแก้ปัญหาให้นายต่างหาก”
ฟอเนอร์ยิ้มออกมา “ฉันพลาดเอง ใน 2-3 วันนี้นายระวังตัวไว้ด้วย”
หวังเย่าถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินออกมาจากที่นั่นไป
2-3 วันนี้ หวังเย่าไม่ได้ไปที่ถ้ำเพื่อขุดแร่ เขาแค่ใช้แร่ในแหวนมิติเพื่อส่งงานตามกำหนด
ในเวลาเดียวกันเขาก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาพยายามฝึกฝนความแข็งแกร่งของจิต
เขานั่งอยู่ในถ้ำตลอดทั้งวัน เขาเหมือนไม่ได้ทำอะไรแต่ด้วยความช่วยเหลือจากนาฬิกาแล้วก็ทำให้เขาพัฒนทักษะขึ้นมาอย่างมาก
เมื่อไม่มีเสี่ยวซวี สกิลหอกมิติก็ไม่อาจจะใช้ได้ ดังนั้นหวังเย่าจึงเลือกใช้ทักษะธนูแทน
แม้ว่าทักษะนี้จะมีความสามารถจำกัด แต่มันก็มีประโยชน์สำหรับการโจมตีระยะไกลอยู่บ้าง
ทักษะธนูนี้เขาทำความเข้าใจมันมาหลายปี ด้วยการฝึกฝนมันซ้ำ ๆ ในจิต ก็ทำให้เขามั่นใจว่าทักษะธนูนี้จะเฉิดฉายในดาวแห่งนี้ เขาได้ไปที่ตลาดเพื่อซื้อธนูและลูกธนู ของพวกนี้ดูทรงพลังกว่าของในโลกมนุษย์เสียอีก
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น หวังเย่าก็เริ่มฝึกทักษะมีดมังกรและทักษะพายุต่อ !
ขีดจำกัดของโลกมนุษย์คือเลเวล 90 ส่วนที่นี่คือเลเวล 100 ดังนั้นกฎที่นี่จึงต่างจากที่โลก ทักษะที่เขามีโดนจำกัดอย่างมาก เช่น ทักษะพายุ ในโลกจะสร้างพายุลูกใหญ่ขึ้นมาได้ แต่ที่นี่กลับสร้างได้แค่พายุลูกเล็ก ๆ เท่านั้น
สรุปก็คือเพราะทักษะและเทคนิคที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มาจากโลกที่ระดับต่ำกว่า ก็ทำให้ได้รับผลกระทบจากกฎโลกทำให้พลังที่แสดงออกมานั้นน้อยกว่าเดิม
ทักษะมีดมังกรและทักษะพายุนั้นไม่อาจจะแสดงพลังได้ถึงครึ่งจากเดิม หวังเย่าได้แต่ต้องเพิ่มความสามารถของมันในจิตของเขา
ตอนนี้ หวังเย่าเชี่ยวชาญทักษะต่อสู้ไม่น้อยไปกว่าฮาลิเฟคที่เป็นนักสู้ระดับสูงของดาวดวงนี้ มันไม่เกินไปที่จะบอกว่า หวังเย่าเองก็เป็นนักสู้ระดับสูงของที่นี่เช่นกัน แค่เขายังไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
ตอนนั้นก็ได้มีเม็ดฝนพุ่งเข้ามาหาหวังเย่า ก่อนจะเบี่ยงวิถีจากเดิม ฝนนั้นหมุนวนรอบตัวหวังเย่าแล้วค่อย ๆ หมุนไปตามรูปแบบที่หวังเย่าคิดเอาไว้
ตอนนี้หวังเย่ายังจมอยู่ในจิตเพื่อฝึกฝนทักษะมีดมังกรและทักษะพายุ สุดท้ายเขาก็ได้รวมทักษะทั้งสองให้กลายเป็นทักษะใหม่ได้ นั่นก็คือทักษะมีดพายุมังกร
ทักษะใหม่นี้ทำให้ฝนที่หมุนวนรอบตัวเขานั้นหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะก่อตัวเป็นพายุที่รุนแรงขึ้นมา
พายุได้พัดออกจากตัวหวังเย่า ก่อตัวเป็นพายุลูกใหญ่ในเหมือง
ครืน…
พายุนั้นเริ่มเชื่อมต่อกับก้อนเมฆที่อยู่บนฟ้า
สุดท้ายพายุนั้นก็พัดอัดเข้ากับรั้วของเหมืองก่อนที่พายุจะสลายไป
ปัง ! ตูม !
พื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง พวกนักโทษที่หลับอยู่พากันตื่นขึ้นและมองหาต้นตอของเสียง
“มีคนระเบิดกำแพงรึไง ? ”
“ฉันรู้สึกว่าฟ้าผ่าใส่กำแพงถึงได้ทำให้เกิดเสียงดังแบบนี้”
นักโทษพากันพึมพำและวิเคราะห์ออกมา “ถ้ำน่าจะถล่มจนทำให้เกิดแผ่นดินไหวเล็ก ๆ ขึ้น…อย่าสนใจเลย ไปนอนเถอะ”
พวกเขาเลิกสนใจแล้วกลับไปนอนกันต่อ
ในที่ที่คนไม่สนใจ หวังเย่าได้ลืมตาขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ “ฉันใช้พลังมันแค่ 70 เปอร์เซ็นต์ ถ้าฉันเลเวล 90 แล้วใช้ทักษะนี้ออกมา ฉันเชื่อว่าฉันจะใช้ท่านี้ทำลายกำแพงได้ ! ”
เขายังคงฝึกฝนทักษะมีดพายุมังกรต่อจนไม่สนใจเวลาที่ผ่านไป
3 วันต่อมาก็มีเรื่องลึกลับเกิดขึ้นขัดจังหวะการฝึกฝนของเขา
ตอนนั้นมันคือเวลาฆ่า มันมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของหวังเย่า
สายตาของชายคนนั้นแดงก่ำและมองมาที่หวังเย่า เขาแทบอยากจะฉีกร่างของหวังเย่าออกเป็นชิ้น ๆ
หวังเย่าค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและมองไปยังฮาลิเฟคที่เดินเข้ามาก่อนจะยิ้มให้กับอีกฝ่าย “มาแล้วหรือ ? ”
ศัตรูคนเดิมแต่เขากลับไม่ลนลานเหมือนที่ผ่านมา
ท่าทีแบบนี้ทำให้ฮาลิเฟคแปลกใจไม่น้อย เขาได้ถามขึ้นมา “มันใช่ไอ้เด็กใหม่นั่นแน่หรือ ? ฉันไม่เห็นมันแค่สิบกว่าวันเอง ทำไมฉันรู้สึกว่ามันราวกับขุนเขาที่หนักหน่วง ฉันถึงกับรู้สึกว่าฉันไม่อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้ ? ”
“แกรู้ว่าฉันจะมางั้นหรือ ? ”
หวังเย่าส่ายหน้า “ฉันไม่รู้หรอก” เขาได้ยิ้มออกมา “ ยังไงซะเราก็ไม่ได้รู้จักกันดีขนาดนั้น”
ฮาลิเฟคกางมือออก ที่เล็บของเขามีเลือดหยดลงมา แม้ว่าด้านนอกจะมีฝนตกแต่ก็ไม่อาจจะล้างเลือดจากมือของเขาได้ ไม่รู้เลยว่าเขาฆ่าคนมาแล้วกี่คนกันระหว่างที่มาที่นี่ !
“แกบอกว่าไม่รู้งั้นหรือ เสแสร้งจริง ๆ ! ” ฮาลิเฟคหรี่ตามองไปที่หวังเย่าที่นั่งอยู่ตรงหน้า
สุดท้ายก็มีคนแห่กันเข้ามา ในหมู่พวกนั้นมีฟอเนอร์อยู่ด้วย
“ฮาลิเฟคยังมีชีวิตอยู่ ! ”
“คนแรกที่เขาต้องมาหาคือไอ้หนูนี่ ไม่ใช่ว่า…”
“แกจะบอกว่าไอ้ระดับ K นี่ฆ่าคนของเขารึไง ? ตลกสิ้นดี ! ”
“ฉันเองก็ไม่เชื่อ ฉันเดาว่าไอ้หนูนี่คงมีเบาะแสบางอย่าง ซึ่งอาจจะทำให้เขามีปัญหาไปด้วย”
ทุกคนโดยรอบพากันมองหวังเย่าด้วยสายตาสงสาร
“แม้ว่าเขาจะรอดมาจากบึงมาได้ แต่เขาทำให้ฮาลิเฟคไม่พอใจ เขาต้องตายอยู่ดี ! ”
“บางทีฮาลิเฟคอาจจะทรมานเขาเพื่อให้เขาสารภาพ ไอ้หนูนี่คงต้องร้องขอความเมตตาและให้ข้อมูลทั้งหมดไม่ใช่รึไง ? ”
“ฮ่าฮ่า ถึงจะเสียหน้าแต่ก็ยังรอดมาได้ ! ”
“พวกนายคงไม่รู้จักฮาลิเฟคดี ยังไงซะไอ้หนูนี่ก็ต้องตาย”
“แกคิดว่าไอ้หนูนี่จะตายรึเปล่า ? ” คนที่พูดนั้นคือฟอเนอร์
“จำเป็นต้องถามอีกหรือ ? ” แทบทุกคนตัดสินแล้วว่าหวังเย่าต้องตาย
“ถ้างั้นฉันเปิดพนันเอง แทง 1 ได้ 10 ฉันพนันว่าไอ้หนูนี่ชนะ แทง 1 ได้ 1.5 พนันว่าฮาลิเฟคชนะ ใครสนใจไหม ? ”
“ฮ่าฮ่า ฟอเนอร์ แกมั่นใจนะว่าอยากพนัน เท่าที่ฉันรู้แกอยู่ในเหมืองมานาน แต่ไม่เคยพนันชนะใครเลย ! ”
ฟอเนอร์หัวเราะออกมา “แกไม่เข้าใจหรอก เขาเรียกว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า ยังไง แกจะพนันรึเปล่า ? ”
“งั้นฉันพนันฮาลิเฟค 10 เหรียญ”
“ฉันก็พนันฮาลิเฟค 6 เหรียญ”
“ฉันด้วย…”
สุดท้ายคนจำนวนมากก็เลือกแทงฝั่งฮาลิเฟค
“ฟอเนอร์ แกจบสิ้นแน่ ฉันกลัวว่าครั้งนี้แกคงเป็นหนี้หัวโต ! ”
ฟอเนอร์มองไปที่หวังเย่าและฮาลิเฟค แล้วพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “ไม่ต้องกังวล มาดูการต่อสู้กันก่อนเถอะ ! ”