ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 405.2 ฝึกวิชากึ่งร่างทอง (2)
ตอนที่ 405 ฝึกวิชากึ่งร่างทอง (2)
……………………………………………………………………..
ถ้าหลู่เฟิ่งโหรวทะลวงด่านเหมือนกัน รวมกับเขาที่ครึ่งๆ กลางๆ ก็เป็นปรมาจารย์ห้าคนแล้ว
เชิญปรมาจารย์ที่จบไปแล้วของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้อีกเจ็ดแปดคน นั่นก็เป็นสิบกว่าคน
คนพวกนี้ยืนอยู่ฝั่งเซี่ยงไฮ้ บริษัทสองแห่งก็ต้องครุ่นคิดแล้วว่าจะยืนหยัดต่อไปหรือเปล่าเช่นกัน
ตอนนี้หวงจิ่งแค่หยั่งเชิงเท่านั้น ทุกคนต่างกำลังรออยู่
ฟางผิงไม่พูดอะไรอีก รอแค่ไม่กี่เดือน เขายังมีความอดทนพอ
ก็แค่รอไปเท่านั้น!
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน ฟางผิงและตาเฒ่าหลี่ก็เดินมาถึงเขตเก่าของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้
ผู้เฒ่าคนชราบางส่วนกำลังพูดคุยกันอยู่ข้างนอก
เห็นทั้งสองคนมา ทุกคนแทบจะเผยรอยยิ้มขึ้น ตอนนี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ คนเฒ่าคนแก่ที่ทุ่มเทเพื่อมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มาทั้งชีวิตพวกนี้จึงมีความสุขตาม พากันทยอยทักทาย
ฟางผิงพูดคุยหัวเราะไปกับพวกผู้เฒ่าอยู่พักใหญ่ ผู้อาวุโสของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้พวกนี้ บางทีที่พวกเขาป่วยรุมเร้า ถึงกระทั่งบางคนสูญเสียความสามารถไป อาจแลกมาด้วยมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ในวันนี้เช่นกัน
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์อาวุโสพวกนี้ฟางผิงให้ความเคารพมาโดยตลอด จึงลดความคิดเห็นแก่ตัวลงไปหลายส่วน
คุยอยู่สักพัก ฟางผิงก็เดินเข้าไปยังเรือนเล็กของตาเฒ่าหลี่ เอ่ยไปพลาง “อาจารย์ ในเวลานั้นอาจารย์พวกนี้บางคนก็เป็นยอดฝีมือขั้นห้าขั้นหก เพียงแค่อาการบาดเจ็บรุมเร้า คุณว่าน้ำแร่แห่งชีวิตจะสามารถรักษาพวกเขาให้หายดีได้หรือเปล่า?”
ตาเฒ่าหลี่เผยสีหน้าหนักแน่นขึ้นมา “เธอมีความคิดแบบนี้ก็ดีแล้ว แต่อย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า อันตรายเกินไป! ครั้งก่อนนั้นเป็นเพราะอาศัยโชค คนเราไม่ได้มีโชคดีตลอดเวลา ถ้าตอนนี้เธออยู่ขั้นเก้า ฉันคงจะสนับสนุนเธอให้ไปขโมยมา แต่เธอไม่ใช่ ไม่จำเป็นต้องคิดมากขนาดนั้น พวกเหล่าโจวตอนนี้ต่างป่วยออดแอด ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป หากแข็งแรงขึ้นมาจริงๆ ใครจะรู้ว่ายังจะมีอีกกี่คนที่รอดมาจนถึงทุกวันนี้!”
ผู้ฝึกยุทธ์อาวุโสที่อยู่ในเขตเก่า น่าจะมีประมาณสามสิบสี่สิบคน
ช่วงเวลาที่พวกเขายังไม่ได้รับบาดเจ็บน่าจะอยู่ระดับกลาง ขั้นหกก็มีห้าหกคน
หากรักษาให้หายดีได้จริงๆ สำหรับมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แล้ว ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นมาอีกช่วงใหญ่
ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อาวุโสพวกนี้ต่างมีความผูกพันลึกซึ้งกับมหาวิทยาลัย เพื่อมหาวิทยาลัยแม้ต้องตายในสงครามก็คงไม่คิดสนใจ
อันที่จริงฟางผิงมีใจอยากรักษาพวกเขาให้หาย แต่มาคิดดู…น้ำแร่แห่งชีวิตยากจะคว้ามาจริงๆ ตอนนั้นหากต้นหลิวยักษ์ไม่เปิดช่องทาง เขาคงไม่อาจชิงมาได้
ฟางผิงแววตาวูบไหวเล็กน้อย กดเสียงว่า “ไว้ค่อยว่ากันเถอะครับ บางทีซัดขั้นเจ็ดขั้นแปดของเมืองเทียนเหมินให้พินาศแล้วค่อยลองดูได้ ถึงเวลานั้นเมืองเทียนเหมินอาจจะเปิดน้ำพุแห่งชีวิตขึ้นมา แค่ไม่รู้ว่าต้นไม้นั้นของเมืองเทียนเหมินมีของแบบนี้หรือเปล่า…
ตาเฒ่าหลี่ไม่พูดอะไร ต้องมีอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
ปัญหาอยู่ที่ว่ามากหรือน้อยแค่นั้น
เมืองเทียนเหมินคงไม่มีเยอะเหมือนเมืองจู้หลิว หลายปีมานี้ทั้งสองฝ่ายต่างทำสงครามกัน ระดับสูงได้รับบาดเจ็บอยู่หลายครั้ง เมืองเทียนเหมินย่อมสิ้นเปลืองไม่น้อย
—
เข้ามาในห้องแล้ว ฟางผิงก็กวาดสายตามอง ในบ้านเงียบวังเวงเป็นอย่างมาก
ไม่ได้สกปรก แต่แทบจะไม่ตกแต่งอะไร ในห้องรับแขกจัดวางแค่โทรทัศน์เครื่องหนึ่ง ทั้งยังเป็นรุ่นเก่ากึ๊ก แทบไม่รู้ว่าตาเฒ่าหลี่ไม่ได้เปลี่ยนโทรทัศน์มานานแค่ไหนแล้ว
โซฟาไม่ได้ทำมาจากหนัง แต่เป็นไม้ สีแดงน้ำมันนั้นแทบจะหลุดหมดแล้ว
เทียบกับบ้านพักของหลู่เฟิ่งโหรว ทางตาเฒ่าหลี่กลับคล้ายสไตล์นักพรตอยู่บ้างจริงๆ
ตาเฒ่าหลี่ไม่สนใจเขา เดินตรงไปในห้องข้างใน เอ่ยขึ้นว่า “วิชาร่างทองของฉัน อันที่จริงเป็นการปลอมแปลงเท่านั้น ให้เนื้อหนังและเส้นเลมปราณกลายเป็นทอง เวลานั้นพลังจิตใจฉันได้รับบาดเจ็บหนัก หลังจากฝึกวิชาถึงขั้นหกสูงสุดแทบไม่มีเรื่องอื่นให้ทำอีกแล้ว มีเวลาเลยไปลงแรงกับเรื่องนี้…”
ระหว่างที่พูดตาเฒ่าหลี่ก็หยิบโครงร่างปึกหนึ่งออกมา…ใช่แล้ว โครงร่าง
เดิมทีเขาก็ไม่ได้จัดแจงเป็นขั้นตอน ทำเป็นหนังสือออกมาให้เสร็จสมบูรณ์ด้วยซ้ำ
แค่เอาวิธีฝึกวิชาบางส่วน ความรู้ความเข้าใจของตัวเองและขั้นตอนต่างๆ บันทึกออกมา แต่ยังนับว่ารักษาไว้ได้สมบูรณ์แบบ
เรียกฟางผิงให้นั่งลงแล้ว ตาเฒ่าหลี่ก็อธิบายว่า “ตอนฝึกวิชา เนื้อหนังและเส้นลมปราณของฉันผ่านการขึ้นรูปใหม่แล้ว หลังจากขึ้นรูปใหม่ความแข็งแกร่งยังมากกว่าเธอในตอนนี้ด้วยซ้ำ ช่วงเวลานั้น…จะว่ายังไงดีล่ะ นับว่าหมดอาลัยตายอยาก บางครั้งรู้สึกไม่อยากยอมแพ้เอามากๆ ฉันว่างก็ว่างอยู่อย่างนั้น ทั้งยังทำลายเนื้อหนังและเส้นลมปราณตัวเองไปหลายครั้ง…”
ฟางผิงไม่ได้พูดอะไร ตาเฒ่าหลี่ทำแบบนี้ เกรงว่าจะมีความคิดปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมจริงๆ
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกทั่วไป หลังจากขึ้นรูปเสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีใครว่างจะมาทำลายเนื้อหนังเส้นลมปราณของตัวเองอีกหรอก น่าจะเป็นโรคจิตเสียมากกว่า
“หลังจากทำลาย ฉันก็หลอมใหม่อีกครั้ง ยังไงก็ไม่หวังจะหลอมรวมพลังจิตใจและปราณเป็นหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องบ่มเพาะพลังจิตใจ ทำอยู่หลายครั้ง เธอลองทายว่าเป็นยังไง?”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังจะเป็นยังไงได้? ทำลายแล้วสร้างขึ้นใหม่ ยิ่งทำไปก็ยิ่งแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นกึ่งร่างทอง…”
ตาเฒ่าหลี่ส่ายหัว เอ่ยเสียงเบา “จะเป็นไปได้ยังไง! เธอคิดว่าทำลายแล้วสร้างใหม่เป็นเรื่องจริงหรือไง? หลังจากทำลาย ฉันพบว่าเส้นลมปราณและเนื้อหนังของฉันอ่อนแอลงมาก ดังนั้นฉันค้นพบวิธีนี้ก็เพราะรนหาที่ตาย”
ฟางผิงใบหน้าแข็งทื่อ!
คุณไม่ได้ล้อผมเล่นสินะ!
ระหว่างที่ตาเฒ่าหลี่พูดก็เอ่ยอย่างเบิกบานว่า “หลังจากนั้นเพื่อสร้างความแข็งแกร่งร่างกายให้เหมือนก่อนหน้านี้ เลยคิดหาอะไรสักอย่างมาซ่อมแซมเพิ่ม ไปถ้ำใต้ดินฆ่าสัตว์ประหลาดมาไม่น้อย ดูดกลืนเลือดเนื้อของพวกมัน ว่าไม่ได้จริงๆ กินเยอะแล้วฉันก็พบความพิเศษอย่างหนึ่ง ร่างกายของสัตว์ประหลาดมีความแข็งแกร่งกว่าฉันซะอีก…”
ฟางผิงไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง ไร้สาระ เรื่องนี้ใครก็รู้ทั้งนั้น
“แต่ถือสิทธิ์อะไรสัตว์ประหลาดถึงเก่งกว่าพวกเรา? อย่าลืมว่าทุกคนต่างเป็นผู้ฝึกวิชา พวกเราก็หลอมร่างกายไม่หยุดหย่อนเหมือนกัน นี่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ฉันคิดแล้วคิดอีก ถือโอกาสสังหารสัตว์ประหลาดบางส่วนมาวิจัย นี่เลยทำให้ค้นพบสิ่งที่แตกต่าง ฉันพบว่า…สัตว์ประหลาดไม่มีเส้นลมปราณ!”
ตาเฒ่าหลี่แววตาวูบไหว “ไม่สิ ไม่ใช่ไม่มีเส้นลมปราณ แต่เส้นลมปราณและเนื้อหนังหลอมรวมกันไปแล้ว เธอเข้าใจความหมายของฉันหรือเปล่า?”
“หลอมรวม?”
“ใช่ เนื้อหนังแปรสภาพเป็นเส้นลมปราณ ปราณและการไหลเวียนพลังงานของพวกเขา อันที่จริงไม่ได้ผ่านเส้นลมปราณ แต่โคจรผ่านแต่ละเซลล์แทน ฉันจึงครุ่นคิดว่าหรือแบบนี้ถึงทำให้ร่างกายแข็งแกร่งมากกว่า? ดังนั้นเลยกัดฟัน ทำลายเส้นลมปราณของตัวเอง…”
ตาเฒ่าหลี่ถอนหายใจอีกครั้ง “ชั่วพริบตาที่เส้นลมปราณถูกฉันทำลาย นั่นเหมือนตายทั้งเป็น ฝีมือลดฮวบ อันที่จริงเวลานั้นสามารถขึ้นรูปใหม่ได้เหมือนกัน แต่ฉันไม่ได้ทำ ยืนหยัดที่จะโคจรปราณผ่านเซลล์อยู่ตลอด แต่ว่าไม่ได้จริงๆ ทำแบบนี้ไปประมาณปีสองปี เธอลองทายว่าเป็นยังไง?”
“คุณหลอมเส้นลมปราณใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง?”
ฟางผิงเพิ่งถูกสั่งสอนมาเมื่อครู่ ตอนนี้เริ่มตอบไปทางตรงกันข้าม
ตาเฒ่าหลี่เอ่ยอย่างดูแคลน “ที่ไหนกันล่ะ จากนั้นฉันก็พบว่าเซลล์ร่างกายทั้งหมดของฉัน ถูกหลอมจนแข็งแกร่งขึ้นมาจริงๆ เริ่มพัฒนาเป็นร่างกาย จากนั้นก็จับผลัดจับผลูกลายเป็นกึ่งร่างทอง…”
“ก่อนหน้านี้ที่ฉันไม่บอกเธอก็เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ สำหรับเธอแล้ว สิ้นเปลืองเวลาเกินไป ทั้งฉันก็ไม่รู้ว่าเหมาะกับคนอื่นหรือเปล่า หากทรมานคนตายขึ้นมา นั่นคงเป็นปัญหาแล้ว”
ตาเฒ่าหลี่อธิบาย ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “แต่โอกาสที่เธอทรมานตายไม่สูงนัก หากอยากลองจริงๆ ก็ลองดูได้”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฟางผิงกลับลังเลไปอยู่บ้าง
ทำลายเส้นลมปราณของตัวเอง จากนั้นก็อาศัยเซลล์เคลื่อนย้ายพลังงาน?
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ฝีมือของเขาต้องลดฮวบลงแน่
ฟางผิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ผมคิดว่าไม่ทำลายเส้นลมปราณก็ได้เหมือนกัน สิ้นเปลืองปราณและพลังงานเล็กน้อย ค่อยๆ เพิ่มระดับการหลอมลงไป หลอมจนเซลล์แข็งแกร่งและคงทนจนแตะถึงขีดจำกัดก็สามารถกลายสภาพเป็นร่างทองได้แล้วหรือเปล่า?”
ตาเฒ่าหลี่ครุ่นคิด “อันที่จริงมีคนเคยลองเหมือนกัน แต่ประสิทธิภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หลักๆ เพราะการหลอมสิ้นเปลืองเวลาเกินไป พลังปราณต้องไปรวบรวมอยู่ในเส้นลมปราณ อยากหลอมร่างกายของพวกเรา นั่นเป็นเรื่องที่ยากกว่า อยากหลอมให้ถึงขีดจำกัด คงต้องสิ้นเปลืองปราณจนถึงขั้นน่ากลัว เพราะฉันไม่มีเส้นลมปราณ ปราณที่พรั่งพรูจึงไหลเวียนสู่เนื้อหนังโดยตรง นี่ถึงหลอมเซลล์ขึ้นมาได้…”
“พวกเราไม่เหมือนกัน คุณอย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับคนอื่น”
ฟางผิงเผยสีหน้ามั่นใจ ไม่พูดมากอีก คว้าแบบร่างพวกนั้นขึ้นแล้วก็เอ่ยว่า “ผมจะกลับไปลองดู ถ้าสำเร็จจริงๆ ร่างกายขั้นห้าของผมคงแข็งแกร่งกว่าขั้นหก ถึงเวลานั้นขั้นหกก็ต้องโดนผมจัดการแล้ว”
“ตามใจเธอ ยังไงก็อย่าสิ้นเปลืองเวลาฝึกวิชาของตัวเองล่ะ”
พูดจบตาเฒ่าหลี่ก็แนะนำวิธีและขั้นตอนฝึกวิชาคร่าวๆ ฟางผิงจะรับฟังหรือไม่รับฟัง นั่นก็เป็นเรื่องของเขา
การฝึกวิชาของผู้ฝึกยุทธ์มีความเกี่ยวโยงกันทั้งหมด แต่หลักๆ จะฝึกวิชายังไง ผู้ฝึกยุทธ์ล้วนมีวิธีของตัวเอง
อย่างเช่นเคล็ดวิชาต่อสู้ ทุกวันนี้คนสร้างเคล็ดวิชาต่อสู้ขึ้นมาได้มากมายก็เป็นเพราะความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขอบเขตของพวกเขา อยากจะหาวิชาต่อสู้ที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด นั่นถึงมีเคล็ดวิชาต่อสู้ใหม่ๆ เกิดขึ้น
—
ฟางผิงเดินออกมาจากเรือนเล็ก ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว
ในตอนที่เขาเตรียมจะเดินกลับไปที่หอพัก จู่ๆ กลับรับรู้ถึงคลื่นพลังงานที่แข็งแกร่ง!
ฟางผิงหันไปมอง พบว่ากลางอากาศของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีแหล่งพลังงานที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นหลายสาย ไม่นานก็อันตรธานหายแวบไปที่ไกลๆ นั้น
“ขั้นแปดหรือขั้นเก้า?”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่คือยอดฝีมือที่รักษาการณ์ทางนั้นของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้?
ตอนนี้รีบร้อนออกไป หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ไหน?