ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่487 แยกทาง
ดวงหน้าของหยวนซื่อจึงเขียวครึ้มเล็กน้อย อดค่อนขอดอยู่ในใจไม่ได้ว่าชิวซื่อผู้นี้ ทุกครั้ง
เวลาเจอเรื่องอะไรก็ทําเป็นแต่แสร้งหูหนวกตาบอด ไม่มีความรับผิดชอบเกินไปแล้ว ยังดีที่เป็นคน
ขี้ขลาด ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้คงไร้หนทางจะอยู่ต่อไปได้แล้ว แล้วก็นึกถึงเรื่องที่นางไปตระกูลหมิ่น
สอบถามถึงเรื่องเกี่ยวดองระหว่างตระกูลหมิ่นจวนเจ็ดกับขุนนางใหญ่ชวีขึ้นมา ฮูหยินใหญ่
ตระกูลหมิ่นกล่าวด้วยดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความลําบากใจอย่างไร้ทางเลือกทํานองว่าเนื่องจาก
เรื่องราวไม่ประสบผลสําเร็จ จึงไม่กล้าบอกกล่าวไปทั่ว นางจึงกําหมัดแน่นขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
สุดท้ายแล้วก็เป็นตระกูลเฉิงที่จํานวนคนน้อยเกินไป ต่อให้อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูล
ใหญ่โตมีชื่อเสียงก็ไม่มีคนอยู่ดี
ถ้าตอนแรกน้องสี่แต่งกับฟางเซวียนก็คงจะดี
นึกถึงตรงนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกปวดศีรษะ
ได้ยินฮูหยินใหญ่หมิ่นบอกว่า ฟางเซวียนจะหมั้นหมายกับหมิ่นเจี้ยนเหยี่ยนน้องชายร่วม
อุทรของหมิ่นเจี้ยนสิงในเร็วๆ นี้ และหมิ่นเจี้ยนเหยี่ยนนั้นก็เป็นน้องชายร่วมอุทรของคุณหนูใหญ่
ตระกูลหมิ่น นั่นก็หมายความว่า ฟางเซวียนจะกลายมาเป็นน้องสะใภ้ฝั่ งภรรยาของเฉิงสวี่ แต่
มารดาของฟางเซวียนหรือก็คือฮูหยินรองตระกูลฟางนั้นเอาเรื่องก่อนหน้านี้ทั้งหมดมาคิดบัญชีอยู่
บนศีรษะของนาง นางไปเยี่ยมที่บ้านหลายครั้งก็ล้วนแล้วแต่ปิดประตูไม่รับแขกทั้งสิ้น
ญาติพี่น้องนี้จะคบหากันอย่างไรดี
โจวเสาจิ่นกลับกําลังอ่านจดหมายของเฉิงฉืออย่างมีความสุข
เรื่องที่เกิดขึ้นที่จี่หนิงนั้นเฉิงฉือมิได้ปิดบังนาง และใช้พื้นที่กระดาษเป็นจํานวนมากเล่า
ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง เพียงแต่ว่าจากการบรรยายที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
4528
ของเฉิงฉือในจดหมายนั้น โจวเสาจิ่นไม่เพียงมิหวาดกลัวหรือกังวลใจ ในทางตรงกันข้ามกลับ
หัวเราะ คิกคัก ออกมาแทน
ชุนหว่านกําลังยกนํ้าชาเข้ามา เห็นเช่นนั้นก็กล่าวหยอกเย้ายิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่เขียนเล่า
อะไรในจดหมายหรือเจ้าคะ ท่านอ่านแล้วถึงได้ดีใจมีความสุขขนาดนั้น!”
โจวเสาจิ่นพับจดหมายอย่างทะนุถนอม ใส่ลงไปในกล่องไม้จันทน์สีแดงสลักลายดอกไม้
กล่องหนึ่งบนหัวเตียง กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่บอกว่า ที่สํานักข้าหลวงฝ่ ายจัดการนํ้ามีเสมียน
อยู่ผู้หนึ่ง ครั้งนี้รับผิดชอบจัดหาอาหารให้คนงาน แต่คนผู้นี้ชอบดื่มสุรา หลังจากที่นายท่านสี่รับ
ช่วงต่องานของสํานักข้าหลวงฝ่ ายจัดการนํ้าแล้ว เคยให้เขาไปรายงานปริมาณข้าวสารอาหารที่
เหลืออยู่ในคลังเก็บอาหารให้ฟัง เขาน่าจะเพิ่งดื่มสุรามา จึงรายงานตัวเลขตามใจชอบไปจํานวน
หนึ่ง ผู้ใดจะรู้ว่านายท่านสี่จะให้ไหวซานคุมตัวเขาไปตรวจนับในทันที ผลปรากฏว่าเมื่อตรวจนับดู
แล้ว ปริมาณข้าวสารอาหารที่เหลืออยู่มีน้อยกว่าจํานวนตัวเลขที่เขาบอกมาเกือบห้าตั้น270
1 คนผู้นั้น
ตกใจจนวิญญาณแทบจะออกจากร่าง รีบล้วงเงินออกมาให้ไหวซานห้าเหลี่ยงในทันที ขอให้ไหว
ซานเมตตาด้วย เขาจะรีบหาวิธีไปซื้อข้าวสารอาหารห้าตั้นมา ไหวซานอยากดูว่าเขาจะใช้เล่ห์
เหลี่ยมกลโกงอะไร จึงปล่อยเขาไปเตรียมอาหาร จากนั้นก็เอื้อมมือไปพลิกสมุดบัญชีของคลังเก็บ
อาหารดู…” กล่าวถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ถามชุนหว่านด้วยดวงตาเป็น
ประกายวิบวับว่า “เจ้าลองทายดูว่าเป็นอย่างไร”
ความสุขนั่นเปล่งประกายอยู่บนใบหน้า
ชุนหว่านมิได้เป็นคนตาบอด!
นางเม้มปากกลั้นยิ้ม ถามนางตามนํ้าไปว่า “เป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ”
1 ตั้น มาตรตวงเมล็ดพันธ์พืช หนึ่งตั้นเท่ากับหนึ่งร้อยลิตรโดยประมาณ
4529
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ความจริงแล้วคนผู้นั้นรายงานปริมาณข้าวสารอาหารมากไป
ห้าตั้นเอง!”
ชุนหว่านตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะฮ่าออกมา พลางถามว่า “แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรหรือ
เจ้าคะ”
“ต่อมาคนผู้นั้นก็รวบรวมข้าวสารอาหารมาได้ห้าตั้นจริงๆ ไหวซานเองก็ไม่กล่าวอะไร ดู
ว่าเขาจะทําอย่างไร ผู้ใดจะรู้ว่าจวบจนนายท่านสี่จัดการเรื่องที่จี่หนิงจนสงบลงมาแล้ว ข้าวสาร
อาหารห้าตั้นนั้นก็ยังคงอยู่ในคลังเก็บอาหาร” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ต่อมาไหวซานไปสืบดูถึงได้รู้
ว่า ความจริงแล้วคนผู้นี้คือบุตรหลานของคหบดีที่จี่หนิง มีใจอยากรับราชการเป็นขุนนางแต่มิใช่
คนเรียนหนังสือเก่ง จึงใช้เงินก้อนใหญ่หาตําแหน่งข้าราชการพลเรือนได้มาตําแหน่งหนึ่ง ปรากฏ
ว่าก็ไม่ได้ตั้งใจทํางานให้ดี วันทั้งวันเอาแต่สวมชุดขุนนางเดินสะบัดไปมาอยู่บนท้องถนน ราวกับ
กลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ใดอย่างไรอย่างนั้น งานที่อยู่ในมือกลับเละเทะยุ่งเหยิง แม้แต่บัญชี
ก็เป็นพ่อบ้านของครอบครัวคนผู้นั้นเป็นคนช่วยดูให้เขา เนื่องจากพ่อบ้านที่ช่วยดูบัญชีให้เขาล้ม
ป่วย เขาถูกนายท่านสี่เรียกไปสอบถามอย่างกะทันหัน และไหวซานก็คุมตัวเขาตรงไปดูที่คลังเก็บ
อาหาร ความลับถึงได้ถูกเปิดเผยออกมา”
ชุนหว่านยื่นผิงกั่วที่ปอกเสร็จและวางอยู่ในจานกระเบื้องหลากสีเรียบร้อยแล้วส่งให้โจว
เสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “คนเช่นนี้ นายท่านสี่ต้องไล่เขาออกจากที่ว่าการไปถึงจะถูก!”
โจวเสาจิ่นใช้ส้อมเงินใบแปะก๊วยจิ้มผิงกั่วในจาน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ด้วยเหตุนี้นายท่านสี่ถึง
ได้ยอดเยี่ยมอย่างไร เขาไม่เพียงไม่ไล่คนออกไป ยังให้เขาไปเป็นเจ้าหน้าที่ที่จุดพักม้า ครั้งนี้สํานัก
ข้าหลวงฝ่ายจัดการนํ้าเกิดเรื่องขึ้น กรมโยธา กรมขุนนาง กรมการตรวจตรา ศาลต้าหลี่และกงกง
ของที่ว่าการอีกยี่สิบสองแห่ง… คลื่นหนึ่งมาคลื่นหนึ่งไปติดๆ กัน แม้แต่นายท่านสี่ยังยุ่งจนหัว
หมุน ทว่าเสมียนผู้นั้นกลับราวกับปลาได้นํ้า ทํางานได้อย่างลื่นไหล ไม่เพียงดูแลแขกให้มีความ
4530
สะดวกสบาย ยังจัดที่พักให้ขุนนางจากแต่ละที่ว่าการได้อย่างเหมาะสม ไม่มีคนไปร้องทุกข์อย่าง
ไม่พอใจที่นายท่านสี่เลยสักคน”
ชุนหว่านเบิกดวงตาโพลง
จุดพักม้าก็ถือได้ว่าเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งของราชสํานัก การเข้าพักในโรงเตี๊ยมนั้น มักจะ
เป็นผู้ใดมาก่อนก็ได้เข้าพักก่อนกระมัง แม้นเจ้ามาถึงก่อน เข้าไปพักอยู่ในเรือนหลักที่ตั้งอยู่ทาง
ทิศเหนือหันหน้าเข้าหาทิศใต้แล้ว ส่วนข้าที่มาถึงทีหลัง จําต้องเข้าพักที่เรือนปีก แต่ข้ายศขั้นสี่บน
เจ้าเป็นเพียงขุนนางตัวเล็กๆ ยศขั้นหกล่างผู้หนึ่งเท่านั้น ข้าที่เป็นขุนนางยศขั้นสี่บนมาถึงแล้ว เจ้า
ที่เป็นขุนนางยศขั้นหกล่างผู้นี้ยังไม่หลีกทางให้อีก…ขุนนางยศขั้นหกล่างก็มีความเห็นของตัวเอง
เช่นกัน ถึงแม้เจ้าจะเป็นขุนนางยศขั้นสี่บนผู้หนึ่ง แต่เจ้าเป็นเจ้าเมือง ส่วนข้าดํารงตําแหน่งอยู่ใน
ศาลต้าหลี่ เจ้าจะมายุ่งกับข้าได้หรือ ข้ามาถึงก่อน ข้าก็ได้เข้าพักก่อน เหตุใดต้องย้ายที่ให้เจ้า
ด้วย!
นี่จะไม่สร้างความวุ่นวายขึ้นแย่หรอกหรือ
ไม่พูดถึงอย่างอื่น จัดวางความสัมพันธ์เหล่านี้อย่างเท่าเทียมได้ นั่นก็นับว่ายอดเยี่ยม
มากแล้ว!
โจวเสาจิ่นจึงหัวเราะออกมา พลางกล่าว “นายท่านสี่ยอดเยี่ยมหรือไม่!”
ชุนหว่านพยักหน้าไม่หยุด
รอยยิ้มของโจวเสาจิ่นยิ่งเด่นชัดมากขึ้น กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่ยังบ่นมาในจดหมายด้วย
บอกว่าหยางโซ่วซานนั้นตกเข้าไปอยู่ในหลุมเงินเสียแล้ว กล่าวว่าเพราะเขาเห็นว่าเสมียนผู้นั้น
บ้านรวยมั่งคั่ง คิดถึงเงินมากมายที่เขาจ่ายไปเพื่อให้ได้ตําแหน่งเสมียนตําแหน่งหนึ่งนั้นแล้ว ก็
เลยจัดให้เขาไปอยู่ที่คลังเก็บอาหาร ตั้งใจจะให้เขาค่อยๆ ชดใช้เงินที่ใช้ออกไปแล้วกลับเข้ามาให้
4531
ผลปรากฏว่าผู้อื่นมิได้สนใจเงินจํานวนนี้ แต่อยากเป็นจุดสนใจมากกว่า ดังนั้นนายท่านสี่จึงจัดให้
เขาไปอยู่ที่จุดพักม้า คนผู้นั้นซาบซึ้งใจยิ่งนัก ยังบอกด้วยว่านายท่านสี่เป็นป๋ อเล่อ271
2
ของเขา…
…นายท่านสี่กล่าวอย่างขุ่นเคืองมาในจดหมายว่า ตนเป็นที่ถูกใจของคนประเภทนี้ ต่อให้
เป็นป๋ อเล่อ เกรงว่าก็เป็นป๋ อเล่อผู้หนึ่งของโรงเรียนแห่งความคิดทั้งเก้า ถูกคนประเภทนี้ซาบซึ้งใจ
ไม่สู้ไม่ต้องซาบซึ้งจะดีกว่า!”
ชุนหว่านนึกถึงความสูงส่งและสง่าผ่านท่วงท่าต่างๆ ที่เฉิงฉือแผ่ออกมาโดยไม่รู้ตัวใน
ยามปกติแล้วก็หัวเราะดังลั่นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
โจวเสาจิ่นที่เมื่อครู่ยังเจือไว้ด้วยอารมณ์หม่นหมองอยู่หลายส่วนนั้นพลันเปลี่ยนเป็น
สดใสประหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใสขึ้นมาในทันใด
นางยิ้มพร้อมกับนําหินซงลี่ว์สือสีเขียวขุ่นขนาดใหญ่เท่านิ้วโป้งที่หล่นออกมาจากซอง
จดหมายมาวางไว้บนฝ่ามือ ถามชุนหว่านว่า “สวยหรือไม่ นายท่านสี่เอามาฝากข้า!”
หินชิ้นนั้นไม่ได้มีรูปทรงที่ตายตัว คล้ายกับแตกออกมาจากที่ไหนสักแห่งก็ไม่ปาน แต่
สีสันกลับงดงามเป็นอย่างยิ่ง สีเขียวมรกตนั้นดุจหญ้าสีเขียว มองแล้วทําให้คนรู้สึกสบายตายิ่งนัก
“งดงามเจ้าค่ะ!” ชุนหว่านกล่าวอย่างจริงใจ “ข้าไม่เคยเห็นหินซงลี่ว์สือสีเขียวขุ่นที่งดงาม
ขนาดนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าจะเอามันไปเลี่ยมเป็นปิ่นปักผมเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
รอให้เฉิงฉือกลับมาแล้ว นางจะประดับให้เขาดู
2 ป๋ อเล่อ มีชื่อเสียงเรื่องคัดสรรม้าที่เก่งกาจผู้หนึ่งในสมัยชุนชิว ปัจจุบันคํานี้เปรียบเปรยถึงคนที่ค้นพบพรสวรรค์ของผู้อื่นและ
ให้คําชี้แนะผู้คนได้
4532
ชุนหว่านเอ่ยชมว่าดีไม่หยุด
โจวเสาจิ่นให้นางไปบอกฉินจื่อโหยวสักคํา ให้หาคนจากร้านเครื่องเงินสักคนมาช่วย
เลี่ยมหินซงลี่ว์สือสีเขียวขุ่นชิ้นนี้ให้นาง
ชิวซื่อเข้ามา เห็นแล้วก็กล่าวชมไปอีกคํารบหนึ่ง ยังกล่าวชมเฉิงฉือว่าเป็ นคน
ละเอียดอ่อนและใส่ใจอีกคํารบหนึ่งด้วย ถึงได้บอกโจวเสาจิ่นว่า “ท่านแม่ให้เจ้าไปหา บอกว่า
ถึงแม้น้องสี่ไม่อยู่บ้าน แต่เจ้าอยู่บ้าน ให้เจ้าเป็นตัวแทนของบ้านสาม นางจะใช้โอกาสตอนที่ต้า
หลางและเอ้อร์หลางอยู่ด้วยกันพร้อมหน้านี้ จะเชิญท่านอารองและใต้เท้าอู๋หัวหน้าราชบัณฑิต
หลวงสํานักฮั่นหลินมาช่วยทําเรื่องแยกบ้านในวันพรุ่งนี้!”
คนแรกคือน้องชายร่วมอุทรของเฉิงซวิน ส่วนคนหลังคือสหายสนิทของเฉิงซวิน และใน
บรรดาบุตรสะใภ้ทั้งสามคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นหยวนซื่อ ชิวซื่อหรือว่าโจวเสาจิ่น บ้านเดิมล้วนไม่มี
ผู้ใดอาศัยอยู่ที่จิงเฉิงเลย! ส่วนหยวนเหวยชางที่หยวนซื่อเห็นเป็นที่พึ่งมาตลอดนั้นก็เป็นเพียง
ลูกพี่ลูกน้องของหยวนซื่อเท่านั้น อีกทั้งเพราะหยวนเหวยชางเป็นหัวหน้าราชเลขาธิการ ฮูหยินผู้
เฒ่ากัวไม่อยากยกย่องเชิดชูตระกูลหยวน จึงไม่ให้คนจากบ้านเดิมของบุตรสะใภ้มาช่วยเรื่องแยก
บ้าน
“รวดเร็วปานนี้เชียว!” โจวเสาจิ่นประหลาดใจ
นางคิดว่าต้องรอเฉิงฉือกลับมาถึงก่อนเสียอีก
ชิวซื่อกล่าว “เมืองจี่หนิงเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าน้องสี่จะได้กลับมาตอนไหน!”
แต่เดือนสองปีหน้าเฉิงสวี่ก็จะแต่งงานแล้ว รอให้ถึงตอนนั้นแล้วค่อยแยกบ้าน ก็จะมี
ตระกูลหมิ่นเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งตระกูล ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่อยากให้ล่าช้าไปกว่านี้แล้ว
ทั้งสามบ้านต่างไม่คัดค้านวิธีการแยกบ้านเช่นนี้
4533
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงให้ฉินจื่อโหยวไปร่างหนังสือแยกบ้านตามนั้น รอให้อู๋ซิ่วเจ่าและเฉิงเซ่า
มาลงนามเสร็จ ก็ไปแจ้งที่ที่ว่าการของทางการได้แล้ว
เฉิงเว่ยจึงกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นสองวันนี้ข้าจะหาที่ทางย้ายออกมาก็แล้วกันขอรับ!”
“ก็ไม่จําเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น” ทั้งสองครอบครัวอยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี วันนี้ต้องแยก
ทางกันแล้ว เฉิงจิงรู้สึกใจหายเล็กน้อย กล่าวว่า “รอให้ข้ามปีแล้วค่อยย้ายก็แล้วกัน!”
เขาเป็นพี่คนโต ต่อไปทุกคนย่อมต้องไปฉลองปีใหม่ที่บ้านของเขาอยู่แล้ว
เฉิงเว่ยกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมทีที่ซอยซิ่งหลินก็ค่อนข้างคับแคบอยู่แล้ว ข้าย้ายออกไป
ท่านเองก็จะได้จัดเตรียมที่พักให้ท่านแม่ได้เร็วขึ้นด้วย”
นี่ก็จริง!
เฉิงจิงไม่พูดอะไรมากอีก
ทั้งสองครอบครัวกลับไปที่ซอยซิ่งหลิน
คนหนึ่งคิดว่าทั้งสองครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างเบียดเสียดมานานหลายปี ตอนนี้ย้าย
ออกไปแล้ว สุดท้ายในบ้านก็กว้างขวางขึ้นแล้ว หยวนซื่อรู้สึกอารมณ์ดีมีความสุขขึ้นมาไม่น้อย
ส่วนอีกคนหนึ่งคิดว่าทั้งสองครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างเบียดเสียดมานานหลายปี ตอนนี้ย้าย
ออกไปแล้ว สุดท้ายก็ได้มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว อารมณ์ความรู้สึกล้วนเปลี่ยนเป็นชื่นชมยินดี
ขึ้นมา
วันต่อมา ทุกคนลงนามในหนังสือกันอย่างราบรื่น โจวเสาจิ่นสั่งการให้ในครัวจัดโต๊ะสุรา
หนึ่งโต๊ะ เฉิงจิงให้การรับรองท่านอาของตัวเองและใต้เท้าอู๋กินข้าวด้วยกันหนึ่งมื้อ และส่งใต้เท้าอู๋
ออกไป
4534
ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากัวรั้งเฉิงเซ่าไว้พูดคุยเรื่องฉลองเทศกาลปีใหม่ “…หากว่าปีนี้วังหลวง
พระราชทานอาหารคํ่าคืนท้ายปี พวกข้าก็จะกินกันก่อน รอให้พวกเจ้ากลับมาไหว้บรรพชน เช้าตรู่
วันรุ่งก็เข้าวังไปถวายพระพรแด่องค์ฮ่องเต้ องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียง และองค์ไทเฮาเหนียงเหนียง
แต่หากว่าปีนี้วังหลวงมิได้จัดเตรียมอาหารคํ่าคืนท้ายปีให้ เช่นนั้นพวกเราก็เฉลิมฉลองของตัวเอง”
เฉิงเซ่าพยักหน้ายิ้มๆ เอ่ยถึงเรื่องของเฉิงฉือขึ้นมา “…หลายวันก่อนองค์ฮ่องเต้ทรงเรียก
ข้าเข้าวังไปเดินหมาก ทรงถามถึงจื่อชวนขึ้นมาเป็นพิเศษ ทรงถามว่าเขาเป็นหลานชายของข้าใช่
หรือไม่ ยังทรงถามถึงพี่ใหญ่อีกด้วย ฟังจากสุรเสียงแล้วทรงมีภาพจําต่อจื่อชวนไม่เลวเลยทีเดียว
ข้าเขียนจดหมายส่งไปให้จื่อชวนฉบับหนึ่งแล้ว ให้เขาตั้งใจวางแผนการให้ดี คว้าโอกาสนี้เอาไว้”
ขุนนางมากมายขนาดนี้ ทําให้องค์ฮ่องเต้ทรงจดจําชื่อได้ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว
“ทําให้น้องเล็กต้องลําบากแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขอบคุณอย่างดีใจ รอให้เฉิงเซ่า
กลับไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรีบเขียนจดหมายถึงเฉิงฉืออย่างทนรอไม่ได้
ด้านของเผิงเฉิงป๋ อส่งจดหมายมาให้ สอบถามว่าพรุ่งนี้พบกันยามเฉินสือ272
3
ที่ประตูซีจื๋อได้
หรือไม่ พวกเขาจะได้เข้าวังไปคารวะองค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงพร้อมกัน
ตระกูลเฉิงบ้านสามอาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเมือง ให้พบกันที่ประตูซีจื๋อ เช่นนั้น
พวกนางต้องตื่นเช้ามากถึงจะทันการณ์ แต่การเข้าวังนั้น ฮูหยินตราตั้งนอกวังอย่างฮูหยินผู้
เฒ่ากัวนี้ กลับไปได้แค่ที่ประตูซีหนานเท่านั้น
โจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวพักผ่อนตั้งแต่หัวคํ่า วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่ทันสว่าง ก็เริ่มเกล้า
ผมแต่งตัวกันแล้ว ไม่กล้าดื่มนํ้ามาก กินก้อนแป้งอย่างลวกๆ ไปเพียงไม่กี่ก้อนก็ออกเดินทางไปที่
ประตูซีจื๋อแล้ว
3 ยามเฉินสือ เวลาประมาณ 7-9 นาฬิ
กา
4535
ฮูหยินเผิงเฉิงนั้นก่อนที่บุตรสาวจะได้แต่งเข้าราชวงศ์นั้น ก็เป็นเพียงฮูหยินผู้เฒ่าบ้าน
นอกผู้หนึ่งเท่านั้น ต่อให้หลายปีมานี้จะใช้ชีวิตสูงส่งและสะดวกสบาย ทว่าชีวิตอันยากลําบากที่
ชนบทยังคงทิ้งร่องรอยฝังรากลึกเอาไว้ให้นาง แม้สวมชุดแขนกว้างผ้าทอลายพิเศษเค่อซือสีแดง
สดและสวมตุ้มหูมรกตขนาดใหญ่เท่าไข่นกพิราบเอาไว้ก็ยังดูเหมือนหญิงชราตามชนบทผู้หนึ่งอยู่