ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 484 ส่งสาร
หยวนซื่อโกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง กล่าวขึ้นอย่างอดไม่อยู่ว่า “ท่านแม่ จี่หนิงอยู่ห่างไกล
จากจิงเฉิงขนาดนี้ ฝ่ายจัดการนํ้านั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของกรมโยธา ต่อให้ข้าเป็นเทพเซียน ก็ไม่อาจ
รู้ได้ว่าหยางโซ่วซานผู้นั้นจะถึงกับบีบคั้นจนทําให้คนงานเสียชีวิต และก็ไม่อาจรู้ได้ว่าคนงาน
เหล่านั้นจะถึงกับสังหารรองเจ้าเมืองผู้หนึ่งจนถึงแก่ความตายได้…นี่ท่านออกจะบีบคั้นผู้อื่นให้
กระทําในสิ่งที่ทําไม่ได้มากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ!”
กล้าเถียงแม่สามี…
ทําให้ชิวซื่อตกใจกลัวจนกระโดดตัวโหยงลุกขึ้นมายืนในทันที ก้มหน้าลงพลางบิด
ผ้าเช็ดหน้าในมือ ไม่รู้ว่าจะทําอย่างไรดี
โจวเสาจิ่นยังจมจ่อมอยู่กับข่าวที่เพิ่งได้รับมาเมื่อครู่นี้ กว่าครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
นั่นก็หมายความว่า เฉิงฉือมิได้ไปรายงานตัวตามปกติแต่ไปกอบกู้สถานการณ์แทน
ด้วยเหตุนี้ขุนนางใหญ่ซ่งถึงได้ให้คนไปตามตัวเขาที่เมืองเป่ าติ้ง ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้รีบ
ร้อนเร่งออกเดินทางตรงจากเมืองเป่าติ้งไปที่จี่หนิงเลย…ตอนนี้เฉิงฉือทําให้คนงานสงบลงได้แล้ว
เอาตัวหัวหน้าผู้กระทําผิดสองสามคนที่ตีจนรองเจ้าเมืองถึงแก่ความตายนั้นไปขังคุก ที่แม่นํ้าก็
เริ่มทํางานขุดลอกกันเป็นปกติแล้ว เดิมทีแล้วนี่เป็นเรื่องดี แต่สํานักข้าหลวงฝ่ ายจัดการนํ้ายังมี
อํานาจเคลื่อนกองพลไปรอบๆ ได้อยู่ เบื้องบนของสํานักข้าหลวงฝ่ายจัดการนํ้ามีผู้บัญชาการที่สั่ง
หยุดขุดลอกนํ้าได้ เบื้องล่างมีเสมียนฝ่ ายเอกสารที่คุ้นเคยกับงานจัดการนํ้าเป็นอย่างดี เขาเป็น
เพียงขุนนางตัวเล็กๆ ยศขั้นหกล่างจากกรมโยธาไปดูแลการขุดลอกแม่นํ้าผู้หนึ่ง อีกทั้งยังเป็นคน
ที่เพิ่งจะเข้ารับราชการเท่านั้น จะถึงคราวให้เขาต้องออกหน้าได้อย่างไร เช่นนี้จะเป็นการทิ้งภาพ
จําว่าเป็นคนทะนงตนไม่เคารพเจ้านายที่อยู่สูงขึ้นไปให้ผู้อื่นจดจําหรือไม่
โจวเสาจิ่นพลันนั่งไม่ติดที่แล้ว
นางต้องไปสืบความที่บ้านของขุนนางใหญ่ซ่งสักหน่อย
การที่เฉิงฉือเร่งเดินทางไปกอบกู้สถานการณ์ที่จี่หนิงได้ ก็เป็นเพราะตอบรับคําเชิญของ
ขุนนางใหญ่ซ่ง
นางเชื่อว่าขุนนางใหญ่ซ่งไม่มีทางให้เฉิงฉือไปจี่หนิงโดยไม่มีเหตุผล และก็เชื่อว่าเฉิงฉือ
ไม่มีทางตอบรับขุนนางใหญ่ซ่งเดินทางไปที่จี่หนิงโดยไม่มีเหตุผลเช่นกัน ตอนนี้เฉิงฉือยังกลับมา
ไม่ได้ หากนางไม่ได้รู้เหตุผลของเรื่องนี้ล่ะก็ เกรงว่ากลางคืนคงไม่อาจนอนหลับอย่างสบายใจได้
เป็นแน่!
ขณะที่นางกําลังคิดจะเอ่ยปากกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่นั้น ภายในห้องมีเสียงคําราม
เย็นเสียงหนึ่งดังขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่นหัวคิ้วขึ้นพลางกล่าว “ความจริงแล้ว ที่จี่หนิงนั้นเจ้าสี่ก็เป็น
เพียงขุนนางตัวเล็กๆ ยศขั้นหกล่างผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นเจ้าก็เลยไม่สนใจเรื่องที่จี่หนิง
เช่นนั้นเจ้าใหญ่อยู่ในสภา เป็นเจ้ากรมพิธีการ ไหนเจ้าลองบอกข้ามาว่าเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเจ้า
ใหญ่บ้าง”
หยวนซื่อถูกถามจนตกตะลึงงัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มเย็นอย่างดูแคลน กล่าวขึ้นว่า “ขุนนางใหญ่ชวีมีเจตนาจะเกี่ยวดองกับ
จวนเจ็ดของตระกูลหมิ่น ทว่าตระกูลหมิ่นจวนเจ็ดปฏิเสธไปอย่างสุภาพแล้ว เจ้ารู้เหตุผลที่อยู่ใน
นั้นหรือไม่ หวงหลี่คนที่เคยแย่งชิงตําแหน่งเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ ายซ้ายของกรมการตรวจตรา
กับเจ้าใหญ่ผู้นั้น ได้รับการโยกย้ายไปดํารงตําแหน่งหัวหน้าศาลต้าหลี่ผ่านทางหัวหน้าสํานักสาร
บรรณกลาง ไม่กี่วันมานี้พวกเขาได้สู่ขอบุตรสะใภ้มาผู้หนึ่ง เป็นบุตรสาวของที่ปรึกษาฝ่ าย
คัดเลือกทหารของกรมกลาโหม นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลหลี่ที่หลูเจียง หรือก็คือสหายร่วมชั้นปี
สอบของท่านอารองของเจ้าในปีนั้น ที่ต่อมาองค์ฮ่องเต้ทรงเลือกให้เป็นทั่นฮวาผู้นั้น ใกล้จะต้อง
ออกไปรับตําแหน่งเป็นผู้ปกครองเหลี่ยงเจียง269
1
ในไม่ช้านี้แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนผลักดัน…”
คําถามว่า เจ้ารู้หรือไม่ หลายต่อหลายครั้งของฮูหยินผู้เฒ่า ถามจนหน้าผากของหยวนซื่อ
ผุดเหงื่อเย็นออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองแล้วร้อง “ฮึ” ออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ตระกูลหลี่ของหลูเจียงนั้น
เป็นตระกูลใหญ่ของทางเหนือ อาจจะอยู่ห่างไกลจากพวกเราไปสักหน่อย ข้าเองก็จะไม่พูดถึง
พวกเขาแล้วก็แล้วกัน นั่นเป็นการทําให้เจ้าลําบากมากเกินไป เจ้าเพียงบอกข้ามาว่าเจ้ารู้หรือไม่
ว่าเหตุใดตระกูลหมิ่นถึงปฏิเสธนํ้าใจของขุนนางใหญ่ชวี และเหตุใดหวงหลี่ถึงสู่ขอบุตรสาวของที่
ปรึกษาฝ่ายคัดเลือกทหารของกรมกลาโหมก็พอแล้ว!”
หยวนซื่อไหนเลยจะตอบได้
โดยเฉพาะเรื่องที่ขุนนางใหญ่ชวีมีเจตนาอยากเกี่ยวดองกับตระกูลหมิ่น นางเป็นถึงญาติ
ฝั่งเขยของตระกูลหมิ่น ทว่ากลับไม่ได้ยินข่าวลืออะไรเลยแม้แต่นิดเดียว!
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเช่นนี้ กําลังจะบอกเป็นนัยว่าตระกูลหมิ่นมิได้เห็นนางเป็นญาติฝั่งเขย
จึงปฏิบัติต่อนางอย่างระแวดระวังตัวใช่หรือไม่
เหงื่อบนหน้าผากของนางยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองนางอย่างเย็นชาไม่กล่าวอะไร
โจวเสาจิ่นนึกถึงตอนที่ออกไปเยี่ยมเยียนผู้อื่นเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเมื่อหลายวันก่อน
ขึ้นมา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เพียงพูดคุยและหัวเราะกับบรรดาฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยิน บุตรสะใภ้หลาน
1 เหลี่ยงเจียง หมายรวมถึง เจียงหนานและเจียงซี
สะใภ้ต่างๆ เหล่านั้นเท่านั้น ยังเต็มไปด้วยไหวพริบและมีอารมณ์ขัน คล้ายกับเปลี่ยนเป็นคนละ
คนไปเลยก็ไม่ปาน…
นางอดหันไปมองหยวนซื่อไม่ได้
ทว่าสายตากลับสบประสานเข้ากับชิวซื่อที่หันมามองนางพอดี
ชิวซื่อมองฮูหยินผู้เฒ่ากัว คล้ายอยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไป
หยวนซื่อกลับกล่าวแก้ตัวอยู่ตรงนั้นอย่างอ่อนแรงว่า “ใกล้ปีใหม่แล้ว…เจียซ่านก็ใกล้จะ
แต่งงานแล้ว…ข้า ช่วงนี้ข้าก็เลยไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่สนใจนาง คล้ายกับมองไม่เห็นและไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น สายตา
พลันย้ายไปที่ชิวซื่ออย่างกะทันหัน กล่าวขึ้นว่า “เจ้ามีอะไรอยากพูดอย่างนั้นหรือ”
ชิวซื่อตกใจจนตัวสั่น
โจวเสาจิ่นมองแล้วก็ร้อนใจแทนนาง
เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวมิได้สนใจนาง รีบกล่าวกับชิวซื่อแบบไร้เสียงว่า “พูดไปตามจริง”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชิวซื่อคิดได้ถ่องแท้เองหรือเป็นเพราะเข้าใจรูปปากบอกใบ้ของโจวเสา
จิ่น ขบคิดจนดวงหน้าแดงกํ่า กว่าครู่ใหญ่ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “ข้า ข้าอยากรู้ว่าบุตรสะใภ้ของตระกูล
หวงผู้นั้นมีพื้นเพอย่างไรเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “เป็นหลานสาวตาของจางจวิ้นหวา”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเรียบเฉย ทว่านํ้าเสียงกลับอบอุ่น
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกแทนนางไปเปลาะหนึ่ง
สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าเกลียดที่สุดก็คือคนที่ไม่เข้าใจแต่แสร้งทําเป็นเข้าใจยามอยู่ต่อหน้านาง
หยวนซื่อกลับร้องขึ้นมาอย่างตกใจเสียงหนึ่ง
หวงหลี่และเฉิงจิงต่างเป็นศัตรูตัวฉกาจของกันและกัน ทั้งสองคนนั้นไม่ว่าจะเป็นพื้นเพ
หรือความรู้ความสามารถล้วนไม่ต่างกัน สุดท้ายตอนที่เฉิงจิงขับเคี่ยวตําแหน่งเจ้ากรมการตรวจ
ตราฝ่ายซ้ายกับหวงหลี่จนเอาชนะมาได้เล็กน้อยนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะในเวลาสําคัญนั้นเฉิง
ฉือเดินอยู่บนเส้นสายของว่านถง ตอนนี้พวกเขาดองกับตระกูลหมิ่น หวงหลี่สู่ขอหลานสาวตาของ
จางจวิ้นหวา หวงหลี่ผู้นั้นยังมีชื่อเสียงว่าเป็นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ ด้วยเส้นสายของจางจวิ้นหวา อีกทั้ง
ยังเป็นลูกศิษย์ของเซินหมิ่นจือ หวงหลี่ที่มีขุนนางใหญ่หนุนหลังอยู่ถึงสองท่าน ผู้ใดจะรู้ว่าจะพลิก
ตัวกลับมาได้หรือไม่ หลังจากพลิกตัวกลับมาได้แล้วจะขันแข่งกับเฉิงจิงต่อไปหรือไม่
นาง…ประมาทเกินไปแล้วจริงๆ!
“ท่านแม่! เรื่องนี้ล้วนเป็นความผิดของข้า!” หยวนซื่อยังมิได้โง่งมจนถึงที่สุด การที่ฮูหยิน
ผู้เฒ่ารู้เรื่องพวกนี้ได้ ทําให้ฮูหยินเผิงเฉิงจดจําได้ และติดต่อองค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงได้นั้น เกรง
ว่าก็คงมีวิธีและเส้นสายของตัวเองเช่นกัน ไม่แปลกที่ท่านผู้นําตระกูลเฉิงซวิ่นของจวนรองจะเกรง
กลัวฮูหยินผู้เฒ่ามากขนาดนั้น ท่านพ่อสามีช่างด่วนจากไปเร็วเกินไป ด้วยความสามารถนี้ของฮู
หยินผู้เฒ่า ตําแหน่งขุนนางใหญ่ในสภาตําแหน่งหนึ่งจะหนีไปไหนได้ เกรงว่านี่อาจจะเป็นหนึ่งใน
เหตุผลที่จวนรองพยายามคิดหาวิธีกดทับจวนหลักมาโดยตลอด ทว่านางกลับจับตาดูแต่ภายนอก
จนลืมภายในบ้านไป หากเอาเส้นสายความสัมพันธ์เหล่านั้นของฮูหยินผู้เฒ่ามาใช้ประโยชน์ให้
นางได้ เช่นนั้นเส้นทางของเจียซ่านก็จะยิ่งราบรื่นขึ้นแล้วมิใช่หรือ นางเปลี่ยนท่าทีไปโดยสิ้นเชิง
กล่าวขึ้นว่า “ที่ท่านต่อว่าข้านั้นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เป็นข้าที่มิได้ทําหน้าที่ของสะใภ้ใหญ่ มิได้
พยายามทําหน้าที่ของสะใภ้เอกให้ดี ข้าจะไปตระกูลหยวนสักครั้งเดี๋ยวนี้ ไปสอบถามพี่สะใภ้ของ
ข้าว่าตกลงเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่…” นางนึกขึ้นได้ว่าหยวนเหวยชางและซ่งจิ่งหรานนั้นไม่
ถูกกัน จึงกล่าวอีกว่า “จะหาวิธีพบพี่ชายข้าให้ได้ เรื่องนี้ให้เขายืนอยู่ข้างเดียวกับนายท่านใหญ่”
ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะมิได้คาดหวังอะไรกับหยวนเหวยชาง แต่สุดท้ายแล้วหยวนซื่อก็ได้
พูดภาษาคนที่สมเหตุสมผลมาประโยคหนึ่งแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “ไม่ต้องแล้ว อีกประเดี๋ยวนายท่านใหญ่ก็จะเลิกงานแล้ว ไปสืบข่าว
ที่ตระกูลหยวนในเวลานี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว พวกเราตั้งใจรอข่าวไปก็พอแล้ว!”
หยวนซื่อขานรับคําว่า “เจ้าค่ะ” อย่างอับอาย
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ลุกขึ้นมา กล่าวเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ข้าอยากไปพบฮูหยินซ่ง
สักหน่อย…ขุนนางใหญ่ซ่งเป็นคนเรียกนายท่านสี่ไป…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงหนึ่งอย่างกระชับและตรงประเด็นว่า “ได้” กล่าว
อีกว่า “ให้ซางมามาไปเป็นเพื่อนเจ้า”
โจวเสาจิ่นย่อเข่าทําความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างซาบซึ้งใจ รีบร้อนออกจาก
ห้องรับแขกไป
ชิวซื่อมองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างตกตะลึง
เมื่อครู่ไม่ให้หยวนซื่อไปหาหยวนเหวยชาง แต่เพียงพริบตาเดียวกลับอนุญาตให้โจวเสา
จิ่นไปพบฮูหยินซ่ง…ไม่ต้องพูดถึงหยวนซื่อ แม้แต่นางเองก็คิดไม่ตกเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจอย่างผิดหวัง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เสาจิ่นอายุยังน้อย แล้วก็
เป็นขุนนางใหญ่ซ่งที่ส่งคนไปเรียกให้เจ้าสี่ไป หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าสี่ เสาจิ่นไปหาเขาก็
เหมาะสมที่สุดแล้ว พวกเจ้าลองคิดให้ถี่ถ้วนเถอะ!”
กล่าวจบ ก็ตรงเข้าไปในห้องชั้นในโดยที่ไม่มองพวกนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ชิวซื่อยืนอยู่ตรงนั้นอย่างกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดี
โจวเสาจิ่นนั่งเกี้ยวผ้าม่านสีเขียวขนาดเล็กตรงเข้าไปที่ประตูชั้นในของตระกูลซ่ง
ฮูหยินซ่งรอนางอยู่ที่ประตูชั้นในด้วยตัวเอง
พอโจวเสาจิ่นเห็นนาง ยังไม่ทันได้พูดอะไรขอบตาก็แดงเรื่อก่อนแล้ว เรียก “ฮูหยินซ่ง” คํา
หนึ่ง แล้วก็สะอื้นไห้ออกมา
ความเสียใจฉายเต็มดวงหน้าของฮูหยินซ่ง รีบกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ไม่เป็นไรๆ นายท่าน
ของพวกข้านั้นเวลาทําอะไรล้วนเชื่อถือได้เป็นที่สุด ใต้เท้าเฉิงของพวกเจ้าก็เป็นคนรู้จักประเมิน
สถานการณ์ผู้หนึ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นายท่านของพวกข้าได้ไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วถึงได้
ตัดสินใจลงมา”
ก่อนมาโจวเสาจิ่นกลัวว่าฮูหยินซ่งจะไม่ทราบเรื่อง ทว่าดูจากตอนนี้แล้ว ฮูหยินซ่งไม่เพียง
ทราบเรื่องเท่านั้น ยังทราบรายละเอียดของเรื่องนี้ดีอีกด้วย
นางอดรู้สึกสะดุดใจไม่ได้
ฮูหยินซ่งเป็นคนไม่สนใจอะไรผู้หนึ่ง เป็นเพราะใต้เท้าซ่งพูดอะไรกับฮูหยินซ่งมาใช่หรือไม่
โจวเสาจิ่นฟังแล้ว ทันใดนั้นก็นึกถึงชาติก่อนตอนที่นางไปขอความช่วยเหลือจากหลินไท่
เฟยด้วยเรื่องของคุณหนูใหญ่มู่ ตอนนั้นไทเฮาเหนียงเหนียงทรงมาหาอย่างกะทันหัน นึกถึงความ
กระตือรือร้นที่หลินไท่เฟยปฏิบัติต่อไทเฮาเหนียงเหนียงขึ้นมา…นางอดไม่ได้คล้องแขนของฮูหยิ
นซ่งเอาไว้อย่างสนิทสนม พลางกล่าว “ท่านแม่เองก็กล่าวเช่นนี้เหมือนกัน แต่ข้าเป็นห่วงนายท่าน
สี่ของพวกข้ามากเกินไป ไม่มาคุยกับท่านสักหน่อย หัวใจดวงนี้ของข้าคงได้เหมือนกับแขวนอยู่
กลางอากาศจะยืนจะนั่งก็ไม่สบายใจเป็นแน่เจ้าค่ะ…”
“ข้ารู้ๆ” ฮูหยินซ่งตบที่มือของนางเบาๆ พร้อมกับกล่าวปลอบโยนนาง มองดวงตาแดงกํ่า
ของนางและเส้นผมที่ถูกลมหนาวพัดจนยุ่งเหยิงเล็กน้อยนั่นแล้ว หัวใจอ่อนยวบลงมาอย่างอดไม่
อยู่ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกระซิบที่ข้างหูของนางว่า “นายท่านของพวกข้าบอกว่า ใต้เท้าหยาง
เป็นคนที่เขาแนะนํามา เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น บางอย่างเขาก็พูดอะไรไม่ได้ ทางด้านของคนงานที่ฝ่ าย
จัดการนํ้านั้นยุ่งเหยิงมานานแล้ว เดิมทีเขาคาดหวังว่าใต้เท้าหยางไปแล้วจะนําความเป็นระเบียบ
เรียบร้อยกลับมาได้ คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่ฝ่ ายจัดการนํ้ายังจัดการได้ไม่กระจ่าง ใต้เท้าหยางเองกลับ
เข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาก่อนแล้ว หากว่าขุนนางใหญ่เฉิงช่วยออกหน้าจัดการให้ได้ ใต้เท้าเฉิงก็
น่าจะได้โยกย้ายจากกรมโยธาไปอยู่ที่กรมการตรวจตราพอดี…”
หัวใจของโจวเสาจิ่นเต้นตึกๆ วุ่นวายไปหมด
ชาติก่อนนางไม่ค่อยสนใจอยากรู้หรืออยากได้ยินเรื่องข้างนอกเท่าไรนัก ชาตินี้ได้อยู่กับฮู
หยินผู้เฒ่ากัว กลับได้รู้เรื่องราวมากมายที่เมื่อก่อนไม่เคยรู้และไม่เคยสนใจมาก่อน
การคัดเลือกขุนนางของราชสํานักนั้น ที่ผ่านมามีกฎอยู่ว่า ‘มิใช่สมาชิกของสํานักฮั่นหลิน
ไม่ได้เข้าสภา มิได้เป็นเจ้ากรมตรวจตรา มิได้เป็นขุนนางหลัก’
คําว่าขุนนางหลักในที่นี้หมายถึงเจ้ากรมของทั้งหกกรมนั่นเอง
ถ้าเฉิงฉือคิดจะก้าวหน้าขึ้นไป ก็ต้องมีประสบการณ์เป็นสมาชิกของสํานักฮั่นหลินหรือไม่
ก็มีประสบการณ์อยู่ในกรมการตรวจตรามาก่อน
แต่การจะเข้าสํานักฮั่นหลินได้นั้น ต้องเป็นบัณฑิตซู่จี๋
หลังผ่านพ้นการสอบขุนนางช่วงวสันตฤดูแล้วเฉิงฉือมิได้คิดจะเป็นขุนนาง ด้วยเหตุนี้จึง
ไม่ได้เข้าร่วมการคัดเลือกเป็นบัณฑิตซู่จี๋ และการคัดเลือกบัณฑิตซู่จี๋นั้นจํากัดให้เฉพาะคนที่เพิ่ง
เข้ามาเป็นจิ้นซื่อใหม่เท่านั้น
เขาได้สูญเสียโอกาสนั้นไปแล้ว
ตอนนี้จะให้ดีที่สุดคือต้องเริ่มจากการเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจตราแล้ว
สํานักข้าหลวงฝ่ ายจัดการนํ้านั้นขุดลอกแม่นํ้าเหลือง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ องค์ฮ่องเต้ต้อง
ทรงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่จากกรมตรวจตราเข้าไปตรวจสอบเป็นแน่
แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ ายตรวจตราทั้งหมดล้วนต้องมียศตั้งแต่ขั้นเจ็ดล่างขึ้นไป กรมการตรวจ
ตรามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจตราอยู่หนึ่งร้อยกว่าคน อยากจัดการปัญหาให้เสร็จเรียบร้อยทั้งหมดนั้น
กลับไม่ง่ายเลย
หากเฉิงฉือย้ายไปเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจตราของกรมการตรวจตราด้วยเรื่องนี้ได้ ต่อให้เป็น
การลดตําแหน่งจากการเป็นที่ปรึกษายศขั้นหกล่างมาเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจตราขั้นเจ็ดบน แต่เฉิง
ฉือมีชื่อเสียงแล้ว มีพื้นเพที่ดีแล้ว หากมีคนช่วยสนับสนุนและผลักดัน อย่างน้อยที่สุดก็เป็นได้ถึง
ขุนนางขั้นสามบนได้
เรื่องบางอย่าง ไม่ถูกทําลายก็ไม่มีการสร้างขึ้นใหม่จริงๆ
โจวเสาจิ่นสะกดกลั้นความตื่นเต้นในใจเอาไว้ อยู่กับฮูหยินซ่งไปหนึ่งชั่วยาม หลังจากที่
ปฏิเสธเรื่องที่ฮูหยินซ่งรั้งให้อยู่รับประทานอาหารด้วยอย่างสุภาพไปแล้ว ก็เร่งเดินทางกลับประตู
เฉาหยาง
หยวนซื่อไม่อยู่ ชิวซื่อปรนนิบัติจัดเตรียมนํ้าชาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ข้างๆ
โจวเสาจิ่นนึกถึงนิสัยของชิวซื่อแล้ว ก็ไม่ได้ปิดบังนาง เล่าผลลัพธ์ที่ได้จากการไปตระกูล
ซ่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง