ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 482 พึงพอใจ
หลังจากที่คนทั้งสี่รับประทานมื้อเที่ยงด้วยกันเสร็จแล้วก็ดื่มนํ้าชาพูดคุยกันครู่หนึ่ง กระทั่งดวงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูเหนื่อยล้าแล้ว เฉิงเซิงวางจอกชาลงยิ้มๆ พลางขยับไปตรงหน้าฮู หยินผู้เฒ่ากัว กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ท่านอาสะใภ้อยู่พูดคุยกับท่านแม่ของข้าที่นี่เถิด ไม่ง่ายเลย กว่าข้าจะได้มาหาสักครั้งหนึ่ง ให้ข้าได้แสดงความกตัญ�ู ปรนนิบัติท่านย่าไปพักผ่อนด้วยเถิด”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็กล่าวหยอกเย้าขึ้นว่า “ไอโหยว! เจ้าคงไม่ได้ไปถูกใจข้าวของ อะไรของข้าเข้าหรอกกระมัง”
โจวเสาจิ่นหัวเราะน้อยๆ
ชิวซื่อหัวใจกระตุก
เฉิงเซิงแกล้งเล่นมุกตลก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ต่อให้เป็นข้าที่ไปถูกใจข้าวของอะไรของท่านเข้า นั่นก็สมควรแล้ว ผู้ใดให้ท่านมีของดีมากมายกันเจ้าคะ!”
“ดูสิดู” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวกับโจวเสาจิ่นและชิวซื่อยิ้มๆ “นี่กลายเป็นความผิดของข้าไป แล้ว!”
คนในห้องต่างหัวเราะดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงกัน
สุดท้ายฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ให้เฉิงเซิงประคองเข้าไปในห้องชั้นใน รอยยิ้มของนางถึงได้จาง ลงเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ว่ามาเถิด ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่”
เฉิงเซิงเบิกตาโพลงมองฮูหยินผู้เฒ่ากัว “ท่านนี่น้า! ก็ข้อนี้แหละที่ไม่ดี เก่งกาจเกินไป! ทุก คนต่างไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าท่านกันไปหมดแล้ว! ผู้คนช่างกล่าวได้ดี ไม่โง่งมไม่หูหนวกบ้าง มิได้เป็นแม่สามี ท่านดูอย่างแม่สามีของข้า รู้จักแต่แสร้งเป็นคนโง่คนหูหนวก…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถูกเย้าแหย่จนทนต่อไปไม่ได้แล้ว หัวเราะออกมา พลางกล่าว “เจ้านี่น้า จะให้ข้าพูดอะไรดี”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไร” เฉิงเซิงยิ้มตาหยีกล่าว “ฟังข้าพูดก็พอเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองหลานสาวที่เกล้าผมของสตรีออกเรือนแล้วทว่ายังมีนิสัยเป็นเด็กสาว ตรงหน้า หัวใจอ่อนยวบลงมาอย่างอดไม่อยู่ ปล่อยให้นางประคองตนไปนั่งลงบนเตียง ยิ้มพลาง กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ได้ เจ้าว่ามา ข้าจะฟัง”
แววตาของเฉิงเซิงวูบไหวเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ข้าได้ยินท่านแม่พูดว่า พวกเราจะแยก บ้านกันหรือเจ้าคะ”
“พวกเราอะไรกัน” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ็ด “เจ้าแซ่เผิงแล้ว! ตระกูลเฉิงของพวกข้าแยกบ้าน เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”
เฉิงเซิงยู่ปากกล่าว “ก็ข้าได้ยินท่านแม่และท่านพ่อของข้าพูดอะไรทํานองว่าจะซื้อบ้านแต่ เงินไม่พอมิใช่หรือ ถามท่านแม่ของข้า ท่านแม่ของข้าก็ไม่ยอมบอกข้า ท่านเองก็ทราบว่าท่านแม่ ของข้าผู้นี้ไม่ค่อยฉลาดนัก แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ หากมิใช่ท่านเอ่ยปากพูดกับนางด้วยตัวเอง นาง ไหนเลยจะมีความกล้าหาญมาคิดเรื่องพวกนี้ลับหลังกัน! ข้าไม่แน่ใจจึงมาถามความเห็นของท่าน ที่นี่…”
ขณะที่กล่าว ยังมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยสายตาลําบากใจด้วยครั้งหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะฮ่าออกมา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเองก็อย่ามาแสร้งไม่รู้เรื่องต่อหน้าข้า เลย บ้านหลังนั้นราคาเท่าไร ข้าจะให้หลี่ว์มามาไปหยิบเงินมาให้เจ้า”
“ท่านช่างรํ่ารวยจริงๆ!” เฉิงเซิงรู้สึกหมดคําพูด กล่าวว่า “หกพันเหลี่ยงเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอย่ามาทําตัวเกกมะเหรกต่อหน้าข้า เงินหกพันเหลี่ยงก็ ทําให้เจ้าตาลุกวาวได้แล้วหรือ”
เฉิงเซิงหัวเราะร่า คล้องแขนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ พลางกล่าว “นี่มิใช่ว่าอยากหยอก เย้าให้ท่านดีใจหรอกหรือ”
“เช่นนั้นก็ดี!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลุกขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “มิใช่ว่าเจ้าอยากแสดงความกตัญ�ู ต่อข้าหรอกหรือ ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าก็แล้วกัน! ดูว่าเงินหกพันเหลี่ยงของข้านี้ทํางานได้ดี หรือไม่”
เฉิงเซิงทําหน้าทะเล้นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปนั่งลงตรงหน้าคันฉ่อง พลางกล่าว “ทํางานได้ดีเจ้าค่ะๆ”
ด้านโจวเสาจิ่น พาชิวซื่อไปยังห้องข้างของนางห้องหนึ่งที่อยู่ด้านหลังลานทิงเซียง “…ข้า ให้พวกนางทําความสะอาดห้องข้างเอาไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว ท่อทําความร้อนก็จุดเอาไว้ตลอด ประเดี๋ยวท่านก็พักผ่อนอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง รอท่านแม่ตื่นแล้ว จะมีสาวใช้มาแจ้งพวกเราเองเจ้าค่ะ”
ชิวซื่อกล่าวขอบคุณยิ้มๆ
โจวเสาจิ่นกล่าวต่อไปว่า “ต่อไปพี่สะใภ้รองคงได้มาอีกบ่อยๆ ข้าจะเก็บห้องข้างห้องนี้ เอาไว้ให้ท่าน” ขณะที่นางกล่าว สาวใช้เด็กข้างกายก็ผลักประตูห้องข้างเปิดออกและเลิกผ้าม่าน ขึ้น โจวเสาจิ่นจึงกล่าวอีกว่า “ท่านลองดูว่าต้องเพิ่มเติมอะไรอีกหรือไม่”
ชิวซื่อเห็นว่าห้องข้างห้องนั้นตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสีดําเงา กระเบื้องเคลือบหลากสี ฟูก สีม่วงดอกติงเซียง ผ้าห่มสีแดงสด จัดเก็บได้อย่างสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ตกแต่งได้อย่างสดใสมี ชีวิตชีวา ดอกล่าเหมยสีเหลืองตรงมุมห้องกระถางนั้นส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ กําจายออกมาอีกทั้งยัง
เบ่งบานได้อย่างงดงามอุดมสมบูรณ์ยิ่ง คนเดินเข้าประตูมาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นสบายแล้ว อดกล่าวกับโจวเสาจิ่นไม่ได้ว่า “น้องสะใภ้สี่ ทําให้เจ้าต้องลําบากแล้ว”
“พี่สะใภ้รองชื่นชอบก็ดีแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าจะไปนอนที่ห้องกั้นอุ่นทางด้าน โน้น ท่านมีเรื่องอะไรก็ให้สาวใช้ไปเรียกข้าได้”
ทั้งสองคนคุยกันสองสามประโยค ชุนหว่านก็ถือกล่องสีแดงสดลายเส้นสีทองกล่องหนึ่ง วิ่งเข้ามา เปล่งเสียงเรียก “ฮูหยินรอง” เสียงหนึ่ง แล้วกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ฮูหยินสี่ ดอกไม้ผ้า มาแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพร้อมกับยื่นส่งกล่องใบนั้นให้ชิวซื่อ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านมอบให้อาเซิงก็ แล้วกัน!”
นี่ก็นับว่าผู้ใหญ่ให้ของขวัญแล้ว ชิวซื่อครุ่นคิดพลางยิ้มออกมา เป็นตัวแทนรับของเอาไว้แทนเฉิงเซิง โจวเสาจิ่นคุยกับนางอีกสองสามประโยค แล้วจึงกล่าวขอตัว ชิวซื่อยิ้มขณะเปิดกล่องออก มีดอกไม้ผ้าสามดอก สีแดงกุหลาบหนึ่งชิ้น สีชมพูหนึ่งชิ้น และสีเหลืองอ่อนหนึ่งชิ้น ชิวซื่อใจลอยไปครู่หนึ่ง น้องสะใภ้สี่นั้นแม้นอายุน้อย ทว่ากระทําสิ่งใดกลับไว้วางใจได้เป็นอย่างยิ่ง ปฏิบัติตัวต่อ ผู้อื่นก็จริงใจ หากทั้งสองคนเป็นอย่างเช่นตอนนี้ต่อไปได้ นางก็รู้สึกพอใจมากแล้ว นางเอนตัวงีบอยู่บนเตียงเตาได้ครู่หนึ่ง เฉิงเซิงก็เข้ามา ชิวซื่อลุกขึ้นมานั่งในทันใด ถามขึ้นว่า “ท่านย่าของเจ้าว่าอย่างไรบ้าง”
เฉิงเซิงไม่ได้มีท่าทางไร้เดียงสาเหมือนยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีก ล้วงกล่องขนาด เล็กกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋ าเสื้อยื่นส่งให้มารดา กล่าวขึ้นว่า “นี่คือตั๋วเงินหกพันเหลี่ยงเจ้า ค่ะ”
ชิวซื่อถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง เฉิงเซิงอดไม่ได้กล่าวขึ้นว่า “ไม่แยกบ้านได้หรือไม่เจ้าคะ” ชิวซื่อกล่าว “ข้าเชื่อใจท่านย่าของเจ้า”
เฉิงเซิงไม่กล่าวอะไรอีก ขึ้นเตียงเตาไป ชิวซื่อดันกล่องที่อยู่บนโต๊ะเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “อาสะใภ้สี่ของเจ้าส่งมาให้” เฉิงเซิงเปิดกล่องออก มองดอกไม้ผ้าในกล่องนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง หากคนทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียวเช่นนี้ได้ จะดีเพียงใดนะ!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลับไปเพียงหนึ่งงีบก็ตื่นขึ้นมาแล้ว นางถามเจินจูที่เฝ้าเวรยามอยู่ว่า “ฮู หยินรองและฮูหยินสี่ตื่นกันหรือยัง”
“ยังเจ้าค่ะ!” เจินจูสานเงื่อนมงคลอยู่ข้างๆ รีบวางเงื่อนมงคลในมือลงพลางกล่าวว่า “ท่านเพิ่งจะนอนไปได้เพียงสองเค่อเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง สายตาเคลื่อนไปตกอยู่บนเงื่อนมงคลสีแดงสดนั่น เห็นว่าเงื่อนมงคลนั่นสานได้งดงามยิ่ง เป็นรูปแบบที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน ถามยิ้มๆ ว่า “ใน ตลาดเริ่มมีเงื่อนมงคลรูปแบบใหม่ออกมาอีกแล้วหรือ”
“มิใช่เจ้าค่ะ” เจินจูเอ่ยยิ้มๆ “ฝึกทําตามชุนหว่านมาเจ้าค่ะ ชุนหว่านบอกว่าฮูหยินสี่สอน นางทําเมื่อสองปีก่อน ตอนนี้คนในบ้านต่างฝึกทําตามกันหมดเลยเจ้าค่ะ!”
เมื่อก่อนเรือนหานปี้ซานนั้นเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว ทุกคนต่างใช้ชีวิตตามกฎระเบียบ อย่างเคร่งครัด ไม่กล้าออกนอกกฎเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งของแปลกใหม่พวกนี้ย่อมไม่กล้าพกพา มาต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้ามาอาศัยอยู่ในลานทิงเซียง ได้ยินว่าดอกไม้ ภายในลานไม่แห้งเหี่ยวเลยตลอดทั้งสี่ฤดูกาล แม้แต่วันที่อากาศหนาวเย็นมากนี้ ภายในเรือนก็ ยังประดับดอกล่าเหมยและดอกซานฉาเอาไว้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร สภาพ อารมณ์ของทุกคนต่างก็ล้วนมีชีวิตชีวาขึ้นมา ไม่เพียงฝึกทําเงื่อนมงคลรูปแบบใหม่ๆ กับพวกชุน หว่านเท่านั้น แม้แต่ในสถานที่ที่ไม่เป็นที่จับตามอง ก็มีคนแอบปักดอกไม้ด้วย เวลาทําอะไรต่างๆ ทุกคนต่างรู้สึกมีความสุขขึ้นไม่น้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองผ้าม่านบนศีรษะไม่เอ่ยคําใด
เจินจูพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา กําลังคิดว่าจะแอบเก็บเงื่อนมงคลออกไป จู่ๆ ฮูหยินผู้ เฒ่ากัวก็สั่งการนางขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “เจ้าไปเอาเทียบเชิญที่ส่งมาให้ข้าเมื่อหลายวันก่อน เหล่านั้นเข้ามาหน่อย”
นางรีบลุกขึ้นพลางขานรับคําว่า “เจ้าค่ะ” คอยกํากับให้สาวใช้สองคนยกเทียบเชิญหนึ่ง ตะกร้าเข้ามา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้พวกนางแยกเทียบเหล่านั้นออกมาตามลําดับตําแหน่ง เจินจูและสาวใช้อีกสองคนช่วยจําแนกเทียบเชิญไปเกือบหนึ่งชั่วโมงก็ยังจําแนกไม่เสร็จ โจวเสาจิ่น ชิวซื่อและเฉิงเซิงเข้ามาคารวะนาง
“นี่ท่านจะทําอะไรหรือเจ้าคะ” ชิวซื่อมองสาวใช้สองสามคนที่ยุ่งกันจนเหงื่อท่วมศีรษะ ถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ “ต้องการให้พวกข้าช่วยหรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้ามานั่งเป็นเพื่อนข้าครู่หนึ่ง ให้เสาจิ่นกับอา เซิงไปช่วยกันแยกก็แล้วกัน”
ชิวซื่อเห็นว่าล้วนเป็นเทียบเชิญของบรรดาญาติสนิทมิตรสหายเก่าแก่ทั้งสิ้น รู้ว่านี่เป็น โอกาสอันดีที่จะได้ทําความรู้จักคนที่ตระกูลเฉิงสนิทสนมด้วย เฉิงเซิงรู้แล้วก็จะเป็นผลดีต่อตัวนาง เองด้วยเช่นกัน จึงปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวดื่มนํ้าชาอย่างยิ้มแย้ม ปล่อยให้โจวเสาจิ่นและเฉิงเซิง ไปจําแนกเทียบเชิญเหล่านั้น
กระทั่งจําแนกของตามที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคิดเอาไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เริ่ม ดูเทียบเชิญจากสตรีของขุนนางยศขั้นสามขึ้นไป เห็นใบไหนที่ต้องตอบกลับก็วางไว้ข้างๆ ใบที่ไม่ ต้องตอบกลับก็วางกลับลงไปในตะกร้าอีกครั้ง ให้ชิวซื่อสอนโจวเสาจิ่นว่าการตอบกลับเทียบเชิญ ต้องทําอย่างไร จากนั้นจะได้ส่งกลับไปให้แต่ละตระกูลพร้อมกับของขวัญ
เฉิงเซิงกระซิบกระซาบกับโจวเสาจิ่นอยู่ข้างๆ บอกนางว่านี่เป็นของตระกูลใด นั่นเป็นของ ตระกูลใด ตระกูลนี้มีความสัมพันธ์กับตระกูลเฉิงอย่างไร และตระกูลนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไร ตระกูลใดเคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง ตระกูลใดเคยได้รับแต่งตั้งอะไรมาบ้าง…บางครั้งตอนที่ นางกล่าวอิงตามความคิดเห็นของตัวเองมากเกินไป ชิวซื่อจะคอยแก้ไขให้อยู่ข้างๆ
โจวเสาจิ่นฟังอย่างออกรสชาติประหนึ่งฟังนิทาน เปรียบเทียบกับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ฮู หยินผู้เฒ่ากัวเคยเล่าให้นางฟังตอนเดินทางไปเขาผู่ถัวก่อนหน้านี้ รวมถึงความทรงจําบางส่วน จากชาติก่อนแล้ว โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนไม่เคยเข้าใจกระจ่างแจ้งเท่าเวลานี้มาก่อน เริ่มมีภาพจํา เกี่ยวกับลําดับตระกูลของคนใหญ่คนโตในจิงเฉิงไม่มากก็น้อยบ้างแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มพลางฟังอยู่ข้างๆ
พวกนางจําแนกเทียบเชิญเหล่านั้นอยู่ที่นั่นกันตลอดทั้งบ่าย ทว่ากลับมิได้รู้เบื่อหน่ายเลย สักนิด
จวบจนรับประทานอาหารเย็นและส่งชิวซื่อสองแม่ลูกกลับไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลือก เทียบเชิญที่สําคัญๆ ออกมาเขียนตอบเทียบเชิญ
โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “ท่านเตรียมจะไปเยี่ยมคนเหล่านี้หรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “สองสามท่านนี้เมื่อก่อนมีความสัมพันธ์กับข้าไม่ เลวนัก ข้ามาอยู่จิงเฉิง อีกทั้งก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว ด้วยหลักและนํ้าใจแล้วข้าควรจะไปมาหาสู่ด้วย สักหน่อย เจ้าสะสางงานในมือให้แล้วเสร็จ แล้วไปเป็นเพื่อนข้าด้วยก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นขานรับคํายิ้มๆ เมื่อจัดเตรียมของขวัญเสร็จแล้ว ก็เริ่มติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัว ออกไปเยี่ยมเยียนผู้อื่น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมักจะให้นางประคองแขนตนเอาไว้ด้วยท่าทางของคนที่ต้องการให้นาง ช่วยดูแล โจวเสาจิ่นเองก็ได้รู้จักสนิทสนมกับคนที่เคยสนิทสนมกับตระกูลเฉิงเหล่านั้นไปด้วย
กระทั่งถึงเทศกาลล่าปาในวันนั้น หยวนซื่อและคนอื่นๆ มารวมตัวกันยังบ้านที่ประตูเฉาห ยาง ข่าวคราวของจี่หนิงก็แพร่ออกมาในเวลานี้เช่นเดียวกัน
ขุนนางใหญ่ในสภาหลายท่านต่างหน้าเปลี่ยนสีกันหมด
เนื่องด้วยความสัมพันธ์ที่มีกับหยางโซ่วซาน ซ่งจิ่งหรานจึงยังคงเงียบเชียบ
ส่วนชวีหยวนผู้เป็นเจ้ากรมโยธาและที่ปรึกษาประจําพระที่นั่งเป่ าเหอรู้สึกว่าหยางโซ่ว ซานเป็นขุนนางระดับสูงขั้นสอง เรื่องราวจึงไม่จําเป็นต้องเร่งร้อนขนาดนั้น ให้องค์ฮ่องเต้ทรงเป็น ผู้ตัดสินใจพระทัยจะดีกว่า
ส่วนที่ปรึกษาท่านอื่นๆ บ้างก็ดื่มชาบ้างก็ถือบันทึกสรุปเหตุการณ์ที่ได้มาจากจี่หนิงเอาไว้ พร้อมกับมองไปที่หยวนเหวยชาง
เพียงแต่ว่าไม่รอให้หยวนเหวยชางได้เอ่ยปาก เฉิงจิงก็กล่าวยิ้มๆ ขึ้นก่อนว่า “ไม่ว่าจะ กล่าวอย่างไร เรื่องนี้น่าจะปิดต่อไปก่อน ทําเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กก็ดี จะให้องค์ฮ่องเต้ ทรงตัดสินพระทัยก็ดี ข้าคิดว่าล้วนได้ทั้งนั้น”
บรรยากาศภายในห้องพลันนิ่งสงัดขึ้นมาในทันใด
ทุกคนต่างนึกขึ้นมาได้แล้วว่าคนที่ไปช่วยสถานการณ์เอาไว้ได้ในนาทีสุดท้ายผู้นั้นมีนาม ว่าเฉิงฉือ เป็นน้องชายร่วมอุทรของเฉิงจิง
นี่เฉิงจิงคงอยากให้ทุกคนอย่าลืมตกรางวัลให้แก่คนที่สร้างคุณความดีด้วยกระมัง
ภายในห้องจึงมีเสียงกระแอมไอไม่หนักไม่เบาดังขึ้นมาหลายเสียง
หยวนเหวยชางมองเฉิงจิงที่นั่งตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผยไปครั้งหนึ่ง แล้วก็มองซ่งจิ่งหรานที่ มีสีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้งหนึ่ง ถึงได้กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าเห็นว่าเรื่องนี้ ให้องค์ฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ ตัดสินพระทัยก็แล้วกัน!”
ให้เฉิงจิงและซ่งจิ่งหรานไปฉีกทึ้งกันเอาเอง!
เฉิงจิงและซ่งจิ่งหรานต่างคํารามเสียงเย็นอยู่ในใจครั้งหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้ นัดหมาย