ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 472 ความปรารถนา
แต่เช้าตรู่ ฟ้ายังไม่ทันสาง ก็ได้ยินเจินจูมารายงานว่าเฉิงเจียเป็นลมล้มพับไปอย่างไม่รู้ สาเหตุ ต่อให้เป็นคนมีประสบการณ์ผ่านลมพายุฝนมาก่อนอย่างฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ยังอดตกใจ ไม่ได้เหมือนกัน รีบกล่าวขึ้นว่า “เกิดเรื่องใหญ่กับหลานเจียเช่นนี้ เจ้าย่อมต้องไปดูด้วยตัวเองสัก หน่อย!” กล่าวอีกว่า “คนที่แจ้งข่าวยังบอกอะไรอีกบ้างหรือไม่”
เจินจูกล่าว “บอกว่าหลังจากรับประทานอาหารเย็นเมื่อวานแล้วก็รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย จึงนอนพักผ่อนไปตั้งแต่หัวคํ่า บุตรเขยตระกูลหลี่ยังคิดว่าเป็นเพราะกูไหน่ไนที่สี่ต้องลมหนาว คิด ว่าจะเชิญท่านหมอมาดูอาการสักหน่อย แต่หนึ่งเพราะดึกแล้ว และสองเพราะกูไหน่ไนที่สี่บอกว่า ตัวเองไม่เป็นอะไร เพียงรู้สึกง่วงมากเท่านั้น บุตรเขยตระกูลหลี่จึงไม่เก็บมาใส่ใจอีก แต่ผู้ใดจะรู้ ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า สาวใช้เพิ่งจะยกนํ้าชาเข้าไปให้ กูไหน่ไนที่สี่ได้กลิ่นแล้วก็อาเจียน ออกมา ยังไม่ทันได้ยืนตรงๆ ก็เป็นลมล้มพับไปก่อนแล้ว บุตรเขยตระกูลหลี่ดวงหน้าซีดเผือด เรียกให้คนไปเชิญท่านหมอมาทันที แล้วก็ให้คนไปเชิญแม่นมของฮูหยินสี่ไปด้วย บอกว่าคนที่เคย ให้นมดูแลพวกคุณหนูทั้งหลายมาก่อน ย่อมละเอียดลออและรู้อะไรมากกว่าผู้อื่น…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า กล่าวชมว่า “บุตรเขยของหลานเจียผู้นี้เป็นคนละเอียดรอบคอบ ผู้หนึ่ง” เมื่อหวนนึกขึ้นได้ว่าโจวเสาจิ่นและเฉิงฉือนั้นกว่าจะได้พักผ่อนก็ยามสามเข้าไปแล้ว ไป เรียกพวกเขาเวลานี้ เกรงว่าจะยังเหน็ดเหนื่อยอยู่ จึงรีบกล่าวกับหลี่ว์มามาว่า “เจ้ารีบตามไปดู ให้ ฮูหยินสี่ไม่ต้องรีบตื่น นางไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทางด้านของบุตรเขยตระกูลหลี่ได้ไปเชิญท่านหมอ แล้ว ไม่นานท่านหมอก็น่าจะมาถึง นางไปอออยู่ตรงนั้นด้วยก็ไม่ค่อยดีเท่าไร รอให้ท่านหมอมาถึง และตรวจชีพจรให้หลานเจียแล้วนางค่อยไปก็ยังไม่สาย” กล่าวอีกว่า “ผู้ใดเป็นคนไปเชิญท่าน หมอให้บุตรเขยตระกูลหลี่หรือ รีบไปหยิบป้ายชื่อของนายท่านใหญ่มา จะให้ดีที่สุดให้ไปเชิญท่าน หมอจากสํานักหมอหลวงมาดูอาการสักคน”
4389
เจินจูรับคําแล้วออกไป
แต่ขณะที่ข่าวคราวไปถึงหูของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นก็มาถึงโจวเสาจิ่นทางด้านนี้ด้วยเช่นกัน
โจวเสาจิ่นตกใจจนทั้งร่างเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น จึงไม่ทันได้สนใจความเหนื่อยล้าของ ร่างกายนัก นางลูบตรงส่วนนั้นอย่างไม่รู้ตัวไปด้วย กล่าวกับชุนหว่านที่ยืนอยู่นอกผ้าม่านไปด้วย ว่า “เจ้ารีบไปดูสักหน่อย เนื่องจากมิได้อยู่บ้านของตัวเอง เกรงว่าบุตรเขยตระกูลหลี่จะทําอะไรก็ คงไม่สะดวกเหมือนอยู่บ้าน เจ้าให้คนไปบอกพวกพ่อบ้านสักคน ไม่ว่าบุตรเขยตระกูลหลี่สั่งการ อะไรก็ให้พวกเขาทําตามนั้น ห้ามมิให้มีอะไรล่าช้าแม้แต่ครึ่งเดียว กระทําการอะไรก็ต้องรู้จักหนัก เบา อย่าให้รบกวนแขกท่านอื่น ทําเอาผู้อื่นตกใจกลัว เป็นเหตุให้ทุกคนต่างกังวลใจตามไปด้วย ได้”
ชุนหว่านรับคํา แล้วออกไปส่งสารอย่างรีบร้อน
โจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกว่าท่ามกลางทุ่งดอกไม้นั้นมีก้อนอะไรใหญ่ๆ ก้อนหนึ่งตกลงมา
ภาพเหตุการณ์ที่เขากอดตนเอาไว้ในอ้อมแขนกระทําการอันน่าอับอายเมื่อคืนนั่นพลัน ปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิดของนาง
นางหน้าแดงหูแดงไปหมด ก้มหน้าลง ตนยังคงเปลือยเปล่า รู้สึกอับอายขึ้นมาอีกครั้ง อย่างห้ามไม่อยู่ รีบคว้าเสื้อตัวหนึ่งอย่างลวกๆ มาห่มกายเอาไว้ หมุนกายไปหาอะไรมาทําความ สะอาดส่วนนั้นของตน ทว่ากลับพบเฉิงฉือที่เอนกายอยู่กับหัวเตียง ไหล่เปลือยเปล่า เผยให้เห็น ผิวขาวเนียนละเอียดและช่วงอกแกร่ง กําลังมองนางอย่างให้ความสนใจ แววตากระจ่างใสดุจนํ้า
ภายในผ้าม่านยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความอบอุ่น
นางใจเต้นระรัว ไม่กล้ามองเขาอีกแม้แต่ครั้งเดียว หันหน้าหนีไปทางอื่น พึมพํากล่าว เสียงหนึ่งว่า “ซื่อ ซื่อหลาง”
4390
เฉิงฉือหัวเราะ ยื่นมือออกมารวบนางเข้าสู่อ้อมกอด ก้มหน้าลงมาจูบกระหม่อมของนาง กล่าวขึ้นว่า “สาวน้อยของข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว วันนี้เจอกับเรื่องกะทันหันก็รู้ว่าต้องจัดการอย่างไร แล้ว…”
ผิวกายที่แนบเนื้อกันอย่างแนบแน่น ทําให้นางนึกถึงท่วงทํานองวาบหวามของเมื่อคืน ขึ้นมาอีกครั้ง
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว กล่าวขึ้นด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “ข้า ข้าเองก็ ไม่รู้ว่าทําถูกหรือไม่เจ้าค่ะ”
“ถูกต้องแล้ว!” เฉิงฉือกล่าวชมเชย “ในบ้านเกิดเรื่องเช่นนี้ ก็ควรจะจัดการเช่นนี้ถึงจะถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ยังไม่รู้ว่าหลานเจียเป็นอะไรนั้น ทางที่ดีที่สุดอย่าเพิ่งให้แขกเหรื่อในบ้าน รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้น เช่นนี้จะเป็นผลดีต่อหลานเจียมากกว่าด้วย ข้า…”
เสียงพูดของเขายังไม่ทันจบลง ก็มีเสียงของซางมามาดังขึ้นมาจากด้านนอกว่า “นาย ท่านสี่ ฮูหยินสี่ กูไหน่ไนที่สี่ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ บอกเพียงว่ารู้สึกไม่สบาย อยากอาเจียน เกรงว่าอาจไป กินอะไรที่ไม่ค่อยสะอาดมา บุตรเขยตระกูลหลี่กําลังตรวจสอบอยู่เจ้าค่ะ!”
ความรักและความเคารพให้เกียรติที่หลี่จิ้งมีต่อเฉิงเจียในชาติก่อนนั้นโจวเสาจิ่นทราบดี จึงมิได้รู้สึกดูแคลนอะไร กล่าวยํ้ากําชับกับจี๋เสียงว่า “ให้คนที่รับใช้อยู่ในเรือนรับรองแขกเชื่อฟัง บุตรเขยตระกูลหลี่ เขาให้พวกเขาทําอะไรก็ให้ทําตามนั้น!”
จี๋เสียงนําความไปแจ้ง
โจวเสาจิ่นรีบตะเกียกตะกายออกมาจากอ้อมกอดของเฉิงฉือ กล่าวขึ้นว่า “ข้าต้องไปดูสัก หน่อยดีกว่าเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือเองก็ลุกขึ้นด้วย พลางกล่าว “ข้าเองก็จะไปดูด้วย!”
4391
นี่เป็ นบ้านของพวกเขา เกิดเรื่องขึ้นกับแขกในบ้าน พวกเขาย่อมต้องออกหน้าไป ปลอบโยนและแก้ปัญหาให้
โจวเสาจิ่นกระโดดลงจากเตียง หลบไปจัดการตัวเองอยู่หลังฉากกั้น กว่าครู่ใหญ่ถึงได้ เดินออกมาโดยที่สวมชุดชั้นกลางที่ติดกระดุมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลิกผ้าม่านขึ้นเดินออกไป เรียก หยวนหยวนและหมานหม่านเข้ามาช่วยนางเกล้าผมและเปลี่ยนอาภรณ์
เฉิงฉือหลุดยิ้ม รู้สึกว่าโจวเสาจิ่นที่ทําตัวมึนๆ งงๆ นั้นกลับมิได้ขาดความเฉลียวฉลาด ช่างน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสองคนเดินไปหาเฉิงเจียพร้อมกัน
ท่านหมอยังไม่มา หลี่จิ้งกําลังเดินกลับไปกลับมาอย่างร้อนใจอยู่ใต้เฉลียงทางเดิน พอ เห็นพวกเขาก็ก้าวออกมาต้อนรับในทันที อากาศหนาวเย็นขนาดนั้น แต่หน้าผากของเขาก็ยังมี เหงื่อผุดออกมา กล่าวขึ้นอย่างร้อนใจว่า “ขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าและท่านอาฉือเป็นอย่างยิ่ง…ฮู หยินผู้เฒ่าเพิ่งจะให้คนส่งป้ายชื่อของท่านลุงจิงมาให้ พ่อบ้านเซี่ยงไปเชิญท่านหมอหลวงเฉาที่ สํานักหมอหลวงแล้ว ข้าเองก็ให้คนไปตามหมอที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้แล้วเช่นกัน ทําให้ท่านอาฉือ และท่านอาสะใภ้สี่ต้องเป็นกังวลใจแล้ว ท่านช่วยไปดูภรรยาของข้าสักหน่อย ส่วนท่านอาฉือ ข้า จะพาท่านไปดื่มชาร้อนๆ ที่ห้องด้านข้างสักจอกขอรับ!”
คนที่เฉลียวฉลาดอย่างหลี่จิ้ง เผชิญกับเรื่องเช่นนี้ก็ดูร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน
เฉิงฉือมีความประทับใจที่ดีต่อเขา จึงไปดื่มชาที่ห้องกั้นด้านข้างกับเขา
ส่วนโจวเสาจิ่นให้สาวใช้นําทางเข้าไปในห้องชั้นใน
เนื่องจากเมื่อวานอยากไปดูดอกไม้ไฟ เมื่อกลับมาก็ค่อนข้างดึกแล้ว พวกเขาก็เลยมิได้ กลับบ้าน พักอยู่ที่เรือนรับรองแขกชั่วคราวก่อน คนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายของเฉิงเจียนั้น นอกจาก
4392
ชุ่ยหวนและสาวใช้เด็กอีกคนหนึ่งแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลเฉิงที่ทําหน้าที่อยู่ใน เรือนรับรองทั้งสิ้น
ตอนที่โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปนั้นมีคนยอบกายนั่งอยู่ในห้อง นางเองก็ไม่มีแก่ใจไปแยกแยะ ว่าผู้ใดเป็นผู้ใด ตรงเข้าไปหาเฉิงเจียที่เอนกายนอนอยู่บนเตียง นั่งลงบนเบาะสี่เหลี่ยมข้างเตียง แล้วจับมือของเฉิงเจียเอาไว้ ถามนางไม่หยุดว่า “ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
“ดีขึ้นแล้ว” เฉิงเจียดูเงื่องหงอยไร้ชีวิตชีวา สีหน้าซีดเหลืองเล็กน้อย “เพียงแต่รู้สึกว่าไม่มี แรง อยากนอนแต่ก็นอนไม่หลับ”
“ไม่เป็นไร!” โจวเสาจิ่นปลอบโยนเฉิงเจีย “ให้คนนําเอาป้ายชื่อของนายท่านใหญ่จิงไป เชิญหมอหลวงแล้ว ประเดี๋ยวท่านหมอก็คงจะมาถึง หากเจ้ารู้สึกไม่สบายก็หลับตาลงพักผ่อน สักครู่หนึ่งก่อน”
เฉิงเจียยิ้มอย่างอ่อนแรง กล่าวขึ้นว่า “หากรู้เช่นนี้แต่เนิ่นๆ ก็คงไม่ไปแกล้งหยอกเย้าเจ้า แล้ว นี่ต้องเป็นเพราะองค์พระโพธิสัตว์เห็นข้าสร้างความวุ่นวายไปทั่ว ก็เลยตั้งใจสั่งสอนข้าเป็น แน่”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วรู้สึกทั้งน่าเศร้าและน่าขบขันไปด้วย กล่าวขึ้นว่า “จะคอยดูว่าต่อไป เจ้ายังจะซุกซนอีกหรือไม่”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างลวกๆ ไปสองสามประโยค ท่านหมอที่หลี่จิ้งให้คนไปเชิญมา จากบริเวณใกล้ๆ ก็มาถึง
โจวเสาจิ่นหลบไปอยู่หลังฉากกั้น
ท่านหมอผู้นั้นจับชีพจรอยู่กว่าครึ่งค่อนวัน กล่าวกับหลี่จิ้งที่ยืนร้อนใจอยู่ด้านข้างยิ้มๆ ว่า “ยินดีด้วย ชีพจรของสะใภ้เป็นชีพจรมงคลขอรับ!”
4393
“ชีพจรมงคลหรือ!” หลี่จิ้งเบิกดวงตาโต กว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา
เป็นชุ่ยหวนที่กล่าวขอบคุณท่านหมอผู้นั้นด้วยความยินดีปรีดา หลี่จิ้งถึงได้สติกลับคืนมา กล่าวขึ้นอย่างไม่ปะติดปะต่อว่า “ท่านคงไม่ได้ดูผิดกระมัง จะเป็นชีพจรมงคลไปได้อย่างไร นี่ข้า ยังเป็นแขกอยู่ในบ้านของผู้อื่น เช่นนั้นพวกข้าต้องเร่งเดินทางกลับลั่วหยางแล้วถึงจะถูก มิใช่ ต้อง ไปจุดธูปบอกกล่าวบรรพบุรุษก่อน…”
ท่านหมอผู้นั้นไม่เคยเข้ามาตรวจอาการเจ็บป่ วยของคนตระกูลเฉิงมาก่อน จึงไม่รู้ว่าห ลี่จิ้งเป็นผู้ใด เวลานี้เห็นเขาดีใจจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ถึงได้วางใจลงมาได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านวางใจเถิด ข้าตรวจรักษาคนไข้บริเวณประตูเฉาหยางนี้มาเกือบยี่สิบปีแล้ว ยังไม่เคยตรวจ ผิดพลาดมาก่อน! นอกจากนี้ชีพจรนี้ก็ชัดเจนยิ่งนัก…”
ขณะที่เขากําลังกล่าว พ่อบ้านเซี่ยงก็พาหมอหลวงเฉาเข้ามา
ท่านหมอผู้นั้นรีบถอยออกไปอยู่ด้านนอก
หมอหลวงเฉาจับชีพจร ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นชีพจรมงคล “อย่างไรก็ตาม ครรภ์ ของฮูหยินยังไม่แข็งแรงนัก จะให้ดีที่สุดภายในสองถึงสามเดือนนี้ต้องบํารุงครรภ์อย่างระมัดระวัง อย่าวิ่งหรือขยับเขยื้อนไปทั่ว ข้าจะจ่ายเทียบยาให้ ท่านเอาให้นางกินไปก่อน เมื่อกินหมดแล้วข้า ค่อยมาตรวจชีพจรให้ฮูหยินอีกครั้งแล้วค่อยเปลี่ยนเทียบยาตัวใหม่ให้”
เนื่องจากท่านหัวหน้าหมอหลวงของสํานักหมอหลวงก็ยืนยันว่าเป็นชีพจรมงคล หลี่จิ้งจึง ไม่กังขาอะไรอีก เชิญหมอหลวงเฉาไปจ่ายเทียบยาอย่างนอบน้อม แล้วก็จ่ายเงินจํานวนยี่สิบเหลี่ ยงเป็นค่าตรวจอาการให้กับท่านหมอคนก่อนหน้าผู้นั้น หลังจากส่งท่านหมอที่ดีใจจนยิ้มไม่หุบผู้ นั้นออกไปแล้ว ถึงได้ไปพบเฉิงฉือที่รออยู่ในห้องกั้นข้างๆ ด้วยความยินดีปรีดา
โจวเสาจิ่นเองก็เดินออกมาจากหลังฉากกั้น
4394
เฉิงเจียจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ด้วยดวงตาแดงเรื่อ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าหยิกข้าที ข้ามิได้ กําลังฝันอยู่ใช่หรือไม่ เหตุใดข้าเพิ่งพูดไปว่าอยากได้ลูกสักคนก็ตั้งครรภ์แล้วจริงๆ” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็ร้อง “ไอ้โหยว” เสียงหนึ่งพร้อมกับนั่งตัวตรงขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ข้านึกออกแล้ว หลายวัน ก่อนข้าไปขอลูกที่วัดหงหลัว ยังบนบานต่อองค์พระโพธิสัตว์เอาไว้ว่า หากสมปรารถนา ข้ายินดี บริจาคทองคําสิบจินสําหรับปิดทององค์พระโพธิสัตว์ ข้าต้องไปแก้บนแล้ว!”
“เจ้าไม่ได้ยินที่ท่านหมอบอกหรอกหรือ” โจวเสาจิ่นจับเฉิงเจียเอาไว้ กล่าวว่า “ครรภ์ของ เจ้าไม่แข็งแรง ไม่ควรจะเดินไปเดินมา เจ้าตั้งใจนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงดีๆ เถิด ให้หลี่จิ้งไปแก้บน แทนเจ้าก่อน รอให้ร่างกายเจ้าแข็งแรงดีแล้ว ค่อยไปที่วัดหงหลัวอีกครั้งด้วยตัวเองก็ยังไม่สายนี่ นา!” กล่าวอีกว่า “เจ้าอย่าได้ตื่นตระหนกเช่นนี้อีก เช่นนี้ทําให้กระทบกระเทือนได้ง่ายเป็นที่สุด”
เฉิงเจียไม่กล้าขยับเขยื้อนอย่างไม่ระวังอีก เอนกายนอนลงอย่างระมัดระวัง สีหน้าแววตา ล้วนปิดความยินดีเอาไว้ไม่มิด กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าเพิ่งแต่งงาน เหตุใดถึงรู้เรื่องพวกนี้ดี นัก”
โจวเสาจิ่นใช้สมองขบคิดอย่างรวดเร็ว กล่าวขึ้นว่า “เจ้าอย่าลืมว่าข้ามาจิงเฉิงก็เพื่อมา ดูแลพี่สาวอยู่เดือน”
“อ้อ!” เฉิงเจียไม่สงสัยอะไรอีก
หลี่จิ้งสาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้ามา รอยยิ้มสว่างสุกใส พุ่งตัวเข้าหาเฉิงเจียอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวอย่างยินดีว่า “อาเจีย ลําบากเจ้าแล้ว! ตอนนี้เจ้าตั้งครรภ์แล้ว…” ยังพูดไม่ทันจบประโยค ดวงตาก็รื้นชื้นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
โจวเสาจิ่นรีบลุกขึ้นกล่าวขอตัวลาอย่างเข้าอกเข้าใจ ปล่อยให้พวกเขาสองสามีภรรยาได้ พูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน
4395
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับประคองโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงแม้จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ได้ยินเรื่องมงคลเช่นนี้ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว!”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม เฉิงฉือจึงกระซิบกล่าวที่ข้างหูของนางว่า “ทําให้ข้ารู้สึกอิจฉายิ่งนัก!” นี่หมายความว่าอะไร
เขาเองก็อยากเป็นบิดาแล้วหรือ ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นแดงเรื่อเป็นริ้วชมพูสายหนึ่ง ถลึงตาใส่เฉิงฉือครั้งหนึ่ง เฉิงฉือหัวเราะร่า
เวลาผ่านไปเพียงไม่ถึงหนึ่งจอกชา ข่าวคราวการตั้งครรภ์ของเฉิงเจียก็แพร่กระจาย ออกไปทั่วแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวด “อมิตาภพุทธ” เสียงหนึ่ง เอาแต่พูดว่าเป็นเรื่องน่ายินดี หากโจวเสา จิ่นได้อานิสงส์ไปด้วยก็คงจะดี ให้คนนําโสมอายุห้าสิบปีสองต้น รังนก เห็ดหูหนูและยาบํารุงเลือด ลมอื่นๆ ไปมอบให้เฉิงเจีย
ญาติพี่น้องต่างมาเยี่ยมเยียนเฉิงเจีย เฉิงเจียไม่อาจพักผ่อนอย่างสงบได้
หลังจากที่หลี่จิ้งไปโขกศีรษะขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วก็ไปพบเฉิงฉือ “ทําให้ที่จวนต้อง วุ่นวายแล้ว ข้าได้จัดเตรียมเกี้ยวเอาไว้แล้ว หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จพวกข้าก็จะกลับ เลยขอรับ”
4396
เฉิงฉือรั้งเขาไว้ “เจ้าเองก็อย่าได้เกรงใจข้า หากท่านหมอเห็นว่าหลานเจียยังไม่สมควร เดินทาง ก็ให้นางพักอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งก่อนก็ได้ เจ้าส่งบ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้นางอยู่เป็น ประจําเข้ามาดูแลนางก็ได้แล้ว กลับไปยังสถานที่พักของพวกเจ้า ไม่มีผู้อาวุโสอยู่ด้วยสักคน มิสู้ อยู่ที่นี่จะสะดวกกว่า!”