ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 470 วางแผนการ
ในบรรดาสตรีที่มาร่วมงานทำความรู้จักญาติพี่น้องนั้น คนที่ไม่ไปดูดอกไม้ไฟยังมีฮูหยินของหยวนเหวยชางด้วยอีกผู้หนึ่ง
นางกำลังนั่งคุยกับหยวนซื่ออยู่ในห้องส่วนตัว “เป็นเพราะเวลากระชั้นชิดเกินไปใช่หรือไม่ เหตุใดถึงรู้สึกว่าในบ้านยุ่งเหยิงถึงเพียงนี้ หลุมศพของพ่อสามีเจ้ายังอยู่ที่จินหลิง ครอบครัวของพวกเจ้าที่จิงเฉิงแบ่งเป็นสองที่ หอบรรพชนกลับตั้งอยู่ที่ประตูเฉาหยางทางด้านนี้ นายท่านใหญ่ของพวกเจ้าเป็นบุตรชายคนโต ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับอาศัยอยู่กับบุตรชายคนเล็ก…กูไหน่ไน ท่านอย่าได้มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กไม่สำคัญเชียว นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ฟ้องร้องทางการได้ทั้งสิ้น!”
“ผู้ใดว่ามิใช่กัน!” ดวงหน้าของหยวนซื่อเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ยิ้มขื่นพลางกล่าว “มิใช่ว่าข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้หรอกหรือ ก่อนหน้านี้หารือกับนายท่านของพวกข้าเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะจัดเตรียมสุสานของตระกูลให้แล้วเสร็จก่อนปีใหม่ รอให้ผ่านพ้นปีใหม่แล้วจะเลือกวันมงคลเคลื่อนย้ายหลุมศพของบรรพบุรุษมาที่นี่ เนื่องจากบ้านที่ประตูเฉาหยางนี้เป็นฮูหยินผู้เฒ่าใช้เงินส่วนตัวซื้อให้น้องสี่ พวกข้าเองก็จะไม่ริษยา มอบให้เขาเลยก็แล้วกัน จะปรับปรุงห้องหนังสือเก่าของพ่อสามีขึ้นมาใหม่สำหรับตั้งป้ายวิญญาณของพ่อสามี และจัดห้องฝั่งตะวันตกของเรือนหลักให้ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าพัก…
…แต่พอฮูหยินผู้เฒ่ามาถึง ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงวุ่นวายไปหมด ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องหอบรรพชนนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยประโยคเดียวก็สร้างหอบรรพชนที่ประตูเฉาหยางแล้ว ต่อมาก็บอกว่าตัวเองเป็นหญิงหม้าย กลัวว่าจะเป็นอัปมงคล ต้องการสละที่ทางให้เจียซ่าน ภรรยาของน้องรองต้องไปถามไถ่สารทุกข์ของฮูหยินผู้เฒ่าเช้าเย็นทุกวันใช่หรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นใจบุตรสะใภ้และหลานชายของตัวเอง ภรรยาของน้องรองก็เลยย้ายไปอยู่ที่ประตูเฉาหยาง ยามน้องรองกลับมาถึงบ้านไม่มีใครอยู่ดูแลสักคน มิให้เขาไปประตูเฉาหยางแล้วจะไปที่ใด เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนนี้จึงเหลือพวกข้าเพียงครอบครัวเดียวที่อาศัยอยู่ที่ซอยซิ่งหลิน จากนั้นก็กำหนดวันแต่งงานของน้องสี่ก่อนหน้าวันแต่งของเจียซ่านอีก จัดพิธีแต่งที่ประตูเฉาหยาง ราวกับกลัวว่าคนในหกกรมสามสำนักจะไม่รู้ว่านางอาศัยอยู่กับบุตรชายคนเล็กอย่างไรอย่างนั้น…
…ข้าคิดๆ แล้วก็ชื่นชมตัวเองยิ่งนักที่หนังหน้าช่างหนา…
…ยังไม่อับอายจนตายไปก่อน!…
…ท่านลองดูงานแต่งของน้องสี่อีกครั้ง ดียิ่งกว่าดี ครึกครื้นยิ่งกว่าครึกครื้น อึกทึกคึกโครมยิ่งกว่างานแต่งขององค์ชายเสียอีก...
…ท่านจะให้ข้าพูดอะไรได้อีกเจ้าคะ”
ฮูหยินของหยวนเหวยชางอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร คงไม่อาจปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเลอะเลือนต่อไปเช่นนี้กระมัง!”
“ข้าจะทำอะไรได้” หยวนซื่อกล่าวด้วยใจที่เต็มไปด้วยความระทมทุกข์ “ข้าก็เป็นเพียงบุตรสะใภ้คนหนึ่ง หากนายท่านใหญ่ของพวกข้าไม่ว่าอะไร ข้าจะพูดอะไรได้”
ฮูหยินของหยวนเหวยชางอดกล่าวไม่ได้ว่า “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”
หยวนซื่อกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “น้องสี่ของพวกข้ากล่าวว่า ฮูหยินผู้เฒ่าอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่โตมาตลอดชีวิต เลี้ยงบุตรชายที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจิ้นซื่อได้ถึงสามคน ไม่มีเหตุผลที่เมื่อแก่ชราลงแล้ว ยังต้องเบียดเสียดกันอยู่ในบ้านสามวงห้าทางเข้ากันทั้งครอบครัว ที่ต้องเงยหน้าขึ้นถึงจะมองเห็นท้องฟ้าได้เช่นนั้น ความหมายโดยนัยก็คือ ต่อไปฮูหยินผู้เฒ่าจะอยู่ที่ประตูเฉาหยางกับพวกเขา ด้วยความที่นายท่านใหญ่ของพวกข้าเป็นคนยอมคน จึงไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว”
ฮูหยินของหยวนเหวยชางเบิกดวงตาโต ถามขึ้นว่า “แล้วเจ้าก็ปล่อยไปเช่นนั้นน่ะหรือ”
หยวนซื่อกล่าว “เขาแสดงเจตจำนงชัดแจ้งแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ข้ายังจะโต้แย้งกับเขาได้หรือ แต่อย่างไรก็ตาม ข้าคิดถี่ถ้วนแล้ว บุตรชายคนโตเป็นคนรับสืบทอดมรดกของตระกูล ไม่มีบ้านไหนที่แยกตระกูลกันขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไม่มีบ้านไหนที่ฮูหยินผู้เฒ่าไปอยู่กับบุตรชายคนเล็กมาก่อน หากฮูหยินผู้เฒ่ายืนกรานจะอยู่ที่ประตูเฉาหยาง เช่นนั้นพวกข้าก็จะย้ายเข้าไปอยู่ด้วย อย่างมากรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าจากไปแล้วพวกข้าค่อยย้ายกลับมาอยู่ที่ซอยซิ่งหลินก็ยังไม่สาย น้องรองสองสามีภรรยาเข้าไปอยู่แสดงความกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ พวกข้าก็ทำได้เช่นกัน!”
ฮูหยินของหยวนเหวยชางได้ยินแล้วก็กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “เรื่องนี้เจ้าเองก็อย่าใจร้อนกระทำการวู่วาม ต้องพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าให้กระจ่างถึงจะถูก ผู้อื่นจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าพวกเจ้าแม่สามีและบุตรสะใภ้ทั้งสองคนต้องการแย่งชิงทรัพย์สมบัติกัน หากแพร่ออกไปคงไม่ดีเป็นแน่แล้ว!”
“ข้าทราบเจ้าค่ะ” หยวนซื่อกล่าว “นอกจากท่าน ข้าก็มิได้บอกผู้ใดทั้งนั้น!”
ฮูหยินของหยวนเหวยชางพยักหน้า
หยวนซื่อกล่าว “ท่านก็อย่าได้เป็นกังวลใจแทนข้า ข้าไม่สนว่าฮูหยินผู้เฒ่าคิดจะทำอะไร รอให้เสร็จจากเรื่องยุ่งๆ สองสามวันนี้แล้วจะให้นายท่านใหญ่ของพวกข้าไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าเรื่องซื้อที่ดินสำหรับสร้างเป็นสุสานของตระกูลและเรื่องย้ายหลุมศพมาที่นี่ รอให้ถึงตอนที่เจียซ่านแต่งงาน อย่างไรก็ต้องรับตัวฮูหยินผู้เฒ่ากลับไปให้ได้”
“เช่นนั้นก็ดี!” ฮูหยินของหยวนเหวยชางกล่าว “หากมีเรื่องอะไรที่ต้องการให้ข้าช่วยออกหน้า เจ้าเพียงบอกข้าสักคำก็พอ”
หยวนซื่อรีบกล่าวขอบคุณฮูหยินของหยวนเหวยชาง
***
ด้านลานทิงเซียง ฮูหยินใหญ่กัวก็กำลังคุยเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่เช่นกัน “…แม้นจะพูดว่าเป็นบ้านที่ท่านใช้เงินส่วนตัวสร้างให้ซื่อหลาง แต่สุดท้ายแล้วต้าหลางต่างหากที่เป็นบุตรชายคนโต หากท่านคิดจะให้ซื่อหลางแยกออกมาอยู่ลำพังก็มิใช่ว่าทำไม่ได้ แต่การที่ท่านมาอาศัยอยู่ที่ประตูเฉาหยางเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้ต้าหลางอับอายได้ ตอนที่เจียซ่านแต่งงาน ท่านย้ายกลับไปดีกว่าเจ้าค่ะ เวลาญาติพี่น้องกล่าวถึงขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเพราะท่านดีใจที่ซื่อหลางแต่งงานมาก ดังนั้นก็เลยมาอยู่ทางนี้สักระยะหนึ่งเท่านั้น เช่นนี้ล้วนช่วยรักษาหน้าของทุกคนเอาไว้ได้ และเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่ายด้วยมิใช่หรือ?…
…ท่านก็อย่าหาว่าข้าว่าท่านเลย ท่านก็ช่างจิตใจเอนเอียงเกินไปแล้ว สร้างบ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้ให้ซื่อหลาง แค่มองก็ทำให้ผู้คนริษยาแล้ว น้ำในถ้วยของท่านไม่ราบเรียบเช่นนี้ เกรงว่าภรรยาของต้าหลางคงไม่สบายใจมากเป็นแน่”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เห็นด้วย กล่าวยิ้มๆ ว่า “นางไม่สบายใจ ข้ายิ่งไม่สบายใจมากกว่า! ข้าถามเจ้า หากข้าไม่โหวกเหวกว่าจะย้ายออกมาเช่นนี้ พวกเจ้าจะรู้หรือว่าบ้านที่ประตูเฉาหยางนี้เป็นของขวัญแต่งงานที่ข้ามอบให้เจ้าสี่”
ฮูหยินใหญ่กัวตกตะลึง ถามขึ้นว่า “ความหมายของท่านคือ?”
“ตอนที่ลุงเขยของเจ้าจากไปนั้นในบ้านมีทรัพย์สินเท่าไรกัน ตอนแยกตระกูลนั้นพวกข้าต้องใช้เงินไปเท่าไรบ้าง คิดว่าเป็นชิ้นเนื้อที่ตกลงมาจากบนฟ้าหรืออย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “นี่ล้วนเป็นทรัพย์สินที่เจ้าสี่หามาได้ทั้งสิ้น หยวนซื่อโวยวายต้องการแยกตระกูล เจ้าสี่เอาทรัพย์สินของครอบครัวมอบให้นางทั้งหมด หากข้าไม่ชดเชยให้เขาสักหน่อย จิตใจของข้าจะอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างไร แต่ข้าก็ไม่อยากให้จวนหลักที่เพิ่งแยกตระกูลกับซอยจิ่วหรูมาไม่นาน พอข้าจากไป ก็มีเรื่องอื้อฉาวว่าพวกเขาพี่น้องทะเลาะกันเรื่องแย่งทรัพย์สมบัติกันอีก เช่นนั้นสิ่งที่พวกข้าทำไปทั้งหมดในตอนนี้ก็ถือว่าสูญเปล่าทุกอย่างแล้ว!”
“ท่านคิดจะแบ่งทรัพย์สมบัติให้พวกเขาพี่น้องให้ชัดเจนเสียตั้งแต่ตอนนี้หรือเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่กัวถาม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า พลางกล่าว “ข้าตั้งใจเอาไว้ว่าจะให้พวกเขาแยกบ้านกันอยู่ตั้งแต่ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่”
ฮูหยินใหญ่กัวใคร่ครวญครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “พี่ชายน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง แบ่งทรัพย์สินกันให้ชัดเจน ก็มิใช่เรื่องไม่ดีเสมอไปเจ้าค่ะ”
“ฉะนั้นบ้านหลังนี้ข้าจะเก็บเอาไว้ให้เจ้าสี่” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “ถือโอกาสตอนที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้านี้พูดให้ชัดเจนเสีย”
ฮูหยินใหญ่กัวอดส่ายศีรษะยิ้มๆ ไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “หากท่านเป็นแม่สามีของข้า ข้าต้องโมโหจนตายไปแล้วเป็นแน่!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับกล่าวแย้งขึ้นว่า “เหตุใดไม่เห็นชิวซื่อต้องโมโหจนจะเป็นจะตายเลยเล่า”
ฮูหยินใหญ่กัวไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว
***
ฮูหยินใหญ่กู้และชิวซื่อยืนคุยกันอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวาในสวนดอกไม้ “แม่สามีของเจ้าช่างมีความสามารถจริงๆ ดูอย่างบ้านหลังนี้สิ” จากนั้นกดเสียงลงต่ำกล่าวว่า “แม่สามีของเจ้ามีแผนการอะไรให้พวกเจ้าบ้างหรือไม่”
นางและชิวซื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
ชิวซื่อกล่าว “เจ้าเองก็รู้ดีว่านายท่านของพวกข้าผู้นั้น ที่ผ่านมาไม่เคยแก่งแย่งเรื่องนี้เลย ข้าเองก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องไปแก่งแย่ง เงินเป็นของแม่สามี นางชื่นชอบผู้ใดก็ให้มากหน่อย ไม่โปรดปรานคนไหนก็ให้น้อยหน่อย ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นเรื่องของนาง พวกเราที่เป็นบุตรชายหญิงเหล่านี้ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว”
“นิสัยของเจ้านี้ ช่างได้มาจากท่านป้าจริงๆ” ฮูหยินใหญ่กู้กล่าวยิ้มๆ “แต่ว่าก็ถูกต้องแล้ว นิสัยของแม่สามีของเจ้านั้นเถรตรงและเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก บางครั้งยิ่งเจ้าอยากได้นางก็ยิ่งไม่ชอบ เจ้าดูน้องสะใภ้คนเล็กที่เพิ่งแต่งเข้ามาของเจ้าผู้นั้น นิสัยอ่อนโยนเชื่อฟัง แม่สามีของเจ้าจึงชื่นชอบเป็นที่สุด”
ชิวซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “นั่นเป็นเพราะแม่สามีของข้าโปรดปรานน้องสี่มากที่สุดต่างหาก!”
ทั้งสองคนหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
ฮูหยินใหญ่กู้ลังเลครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เรื่องงานแต่งของรั่งเกอเอ๋อร์ เจ้ามีแผนการอะไรหรือยัง”
ฮูหยินใหญ่เซินอยากให้บุตรสาวคนเล็กแต่งเข้ามา
ชิวซื่อไม่กล้าตัดสินใจเรื่องเช่นนี้จริงๆ นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ข้าคิดว่าคงต้องไปสอบถามฮูหยินผู้เฒ่าดูสักหน่อย นางมีประสบการณ์และวิสัยทัศน์กว้างไกล คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดได้”
ฮูหยินใหญ่กู้รู้อยู่แล้วว่านางต้องตอบเช่นนี้ จึงหัวเราะออกมาดังลั่น กล่าวขึ้นว่า “ดียิ่ง! ผู้อื่นกล่าวว่าวันฝนตกคือวันรั้งให้แขกพักอยู่ด้วย นี่เจ้ากำลังใช้หลักที่ว่าตระกูลที่อยากเกี่ยวดองด้วยก็ต้องมาร่วมงานแต่งของเจียซ่าน เจ้าช่างรู้จักวิธีรั้งแขกให้อยู่ที่บ้านของพวกเจ้าต่อยิ่งนัก!”
ชิวซื่อเม้มปากกลั้นยิ้ม ลากตัวฮูหยินใหญ่กู้ออกเดิน “พวกเราไปดูดอกไม้ไฟกันดีกว่า หากไม่ชอบก็ควรจะหาสถานที่ที่มีท่อทำความร้อนคุยกันสักที่หนึ่ง ยืนอยู่ตรงนี้ลมหนาวพัดจนข้าจะกลายเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว!”
ทั้งสองคนสบตากันแล้วหัวเราะขึ้นมา
***
โจวเสาจิ่นกลับถูกเฉิงเจียลากตัวไปที่มุมห้องของห้องน้ำชาอย่างลับๆ ล่อๆ
นางกระซิบถามโจวเสาจิ่นด้วยสีหน้ามีเลศนัยว่า “แต่งงานแล้วดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นงงงันไปครู่ใหญ่ถึงได้เข้าใจความหมายของเฉิงเจีย นางร้อง “บ้า” ใส่เฉิงเจียคำหนึ่ง สะบัดมือออกจากห้องน้ำชาไป
เฉิงเจียหัวเราะไม่หยุด
โจวเสาจิ่นชนเข้ากับอกกว้างของเฉิงฉือ
“ระมัดระวังหน่อย!” เฉิงฉือประคองนางเอาไว้อย่างว่องไว ถามขึ้นว่า “เหตุใดถึงไม่ไปดูดอกไม้ไฟ มาแอบคุยเรื่องส่วนตัวกับหลานเจียที่นี่หรือ”
หลังจากทำความรู้จักญาติพี่น้องที่ห้องโถงหลักเสร็จแล้วโจวเสาจิ่นก็ไม่ได้เจอหน้าเฉิงฉืออีก เวลานี้จึงรู้สึกแค่ว่าหัวใจเบิกบานมากเพียงเท่านั้น ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจไปคิดบัญชีกับเฉิงเจียได้อีก
นางรีบถามขึ้นว่า “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนแขกหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “อยากมาดูว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่…แต่ผู้ใดจะรู้ว่ากลับไม่เห็นเจ้า…เจอฮูหยินใหญ่กู้และพี่สะใภ้รองด้วย ข้าบอกว่ามาคารวะท่านแม่…”
เฉิงเจียวิ่งออกมา ยิ้มพร้อมกับหันไปเรียกเฉิงฉือเสียงหนึ่งว่า “ท่านอาฉือ” กล่าวขึ้นว่า “ท่านมารับเสาจิ่นหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือหันไปพยักหน้าให้เฉิงเจียยิ้มๆ
เฉิงเจียจึงหันไปขยิบตาให้โจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านกับท่านอาสะใภ้สี่ค่อยๆ คุยกันเถิด ข้าขอตัวไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกว่าในรอยยิ้มของเฉิงเจียนั้นเต็มไปด้วยความขบขันยั่วเย้า นางอับอายจนดวงหน้าแดงก่ำไปหมด
เฉิงฉือถามยิ้มๆ ว่า “นางกลั่นแกล้งเจ้าอีกแล้วหรือ”
“เปล่าเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นตอบปฏิเสธกลับไปโดยสัญชาตญาณ “ตอนนี้ข้าเป็นอาสะใภ้ของนางแล้ว หากนางยังกล้ากลั่นแกล้งข้าอีก คอยดูว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร!”
เฉิงฉือประหลาดใจ จากนั้นก็หัวเราะออกมาดังลั่น โอบโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น กล่าวขึ้นว่า “พวกเราไปคารวะท่านแม่กัน จากนั้นก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องกันเถิด! วันนี้เจ้ายุ่งมาทั้งวัน คงเหนื่อยแย่แล้ว!”
“ข้าไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่นางได้นอนพักอยู่ในห้องกั้นของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาตลอดทั้งบ่ายให้เฉิงฉือฟัง ถามขึ้นว่า “พวกเรากลับไปเช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ”
“มีอะไรที่ไม่ดีกัน” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ทุกคนต่างยุ่งเรื่องของตัวเอง จะมีใครมาสังเกตเห็นว่าไม่พบตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวกัน ยิ่งไปกว่านั้นข้ามีของจะมอบให้เจ้าด้วย!”
“มีของจะมอบให้ข้าหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
เฉิงฉือจึงดึงนางไปที่สวนดอกไม้ข้างทะเลสาบ
ข้างทะเลสาบไม่มีผู้ใดอยู่เลยสักคน ต้นไม้หนาทึบซ่อนตัวอยู่ในร่มเงา ลมเย็นพัดโชยมา ทั้งเย็นและเงียบเหงาวังเวง
โจวเสาจิ่นจับมือของเฉิงฉือเอาไว้แน่น
เฉิงฉือพานางไปนั่งลงบนก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง กล่าวกับนางยิ้มๆ ว่า “เจ้าลองมองไปที่ใต้ฝ่าเท้า!”
แสงจันทร์นวลเย็นส่องสว่างอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ บนก้อนหินมีน้ำแข็งจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งค้างหกแฉกแผ่นแล้วแผ่นเล่า เปล่งประกายแวววาว คล้ายกับเบ่งบานขึ้นมาจากฝ่าเท้าของนางก็ไม่ปาน
“นะ…นี่คือ…” โจวเสาจิ่นพูดตะกุกตะกักพร้อมกับมองไปที่เฉิงฉือ
……………………………………………………………………….