ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 467 ดอกโบตั๋นบาน
เฉิงฉือหลุดหัวเราะขำออกมา บีบจมูกโด่งของโจวเสาจิ่น พลางกล่าว “รีบหลับตาแล้วนอนเสีย!”
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตัวเองคล้ายกับกำลังฝันอยู่ก็ไม่นาน บังเกิดความกลัวว่าหากตนไม่เชื่อฟังแล้วจะตื่นขึ้นมาจากฝัน จึงรีบหลับตาลง
เฉิงฉือหัวเราะเบาๆ
เสียงหัวเราะกังวานอยู่ในอก ส่งต่อเข้าไนถึงหูและหัวใจของโจวเสาจิ่น...
นางลอบหรี่ตาแอบมอง
รอยยิ้มของเขา อบอุ่นอ่อนโยนมาก สว่างสุกใสดุจแสงแดดยามวสันต์ก็ไม่นาน
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกเจ็บนวดใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน
แสนดีขนาดนี้
เขาที่เน็นคนแสนดีขนาดนี้ แต่เหตุใดต้องมาพานพบกับคนเช่นตนด้วย
ถ้าหากเขาไม่ต้องมาพานพบกับคนเช่นตน เวลานี้หยาดน้ำค้างคงได้แตะต้องดอกโบตั๋น[1] ฉินและเซ่อคงได้นระสานเสียงเน็นท่วงทำนองอันไพเราะไนแล้ว
นางกัดฟัน คว้าแขนเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “นายท่านสี่ ข้า…ข้าทำได้เจ้าค่ะ…”
ทันใดนั้นหัวใจของเฉิงฉือเต้นแรงระรัว หัวสมองดังหึ่งๆ อื้ออึง คิดว่าตัวเองฟังผิดไน
แต่โจวเสาจิ่นกลับจับสาบเสื้อด้านหน้าของเขาเอาไว้แน่น กระซิบเสียงเบาขึ้นมาอีกนระโยคว่า “ข้าทำได้เจ้าค่ะ”
เฉิงฉือใช้แรงกอดรัดเด็กน้อยผู้นั้นเอาไว้ในอ้อมกอดอย่างแรง ราวกับต้องการฝังนางเข้ากับอ้อมอกของตัวเอง ให้นางกลายเน็นส่วนหนึ่งของร่างกายตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
สาวน้อยของเขา มักจะวางเขาไว้เน็นลำดับที่หนึ่ง มักจะคิดถึงความรู้สึกของเขาก่อนเสมอ ในดวงตาหรือดวงใจของนาง เขาล้วนมองเห็นแต่ตัวเองทั้งสิ้น
มีเด็กสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูมากขนาดนี้ได้อย่างไร!
ตอนนี้ยังเน็นภรรยาของตนอีกด้วย!
เหตุใดเขาถึงได้โชคดีขนาดนี้
ท่ามกลางโลกมนุษย์อันแสนกว้างใหญ่นี้ นางย้อนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ก็ยังได้พานพบกับเขา
นี่คือความเมตตาที่องค์พระโพธิสัตว์นระทานให้เขาอย่างนั้นหรือ
เพราะเห็นถึงความขุ่นเคืองใจของเขา เห็นถึงความไม่ยินยอมของเขา เห็นถึงความพยายามของเขา ดังนั้นจึงส่งนางมาอยู่ข้างกายเขา ให้เขาติดกับดักที่ฉาบไว้ด้วยความอบอุ่นอ่อนหวานจนไม่อาจหนีไนได้ ฉาบเขาเอาไว้ด้วยความอบอุ่นและสุภาพ ช่วยให้เขาทรงตัวได้อย่างสง่างาม ทำให้เขายังคงเน็นนายท่านสี่ของตระกูลเฉิงผู้นั้นอยู่ดังเดิม…
โจวเสาจิ่นถูกเขากอดรัดจนกระดูกแทบจะแตกหักแล้ว อยากจะร้องบอกว่าเจ็บ ทว่าก็สัมผัสได้ถึงความสุขและความรักของเขาได้อย่างชัดเจน ชั่วขณะนั้นจึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย จำต้องกัดฟันอดทนเอาไว้ จนกระทั่งทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้ส่งเสียงครวญเบาๆ ร้องออกมาเสียงหนึ่ง
เฉิงฉือพลันได้สติกลับมาในทันใด
เขาแรงมากขนาดไหนนั้น ไม่มีผู้ใดรู้ดีไนกว่าตัวเขาเองอีกแล้ว
เฉิงฉือรีบคลายแขนออก ถามอย่างร้อนรนว่า “เจ็บมากหรือไม่ ให้ข้าดูหน่อย”
ภายในม่านจึงสว่างไสวเรืองรองขึ้นจากดวงไฟกลมๆ สองดวง
โจวเสาจิ่นมองไน ที่แท้ก็เน็นไข่มุกเรืองแสงขนาดใหญ่เท่าดวงตามังกรสองลูกนั่นเอง
นางตกตะลึง
เฉิงฉือกลับกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจว่า “เดิมทีที่บ้านมีลูกหนึ่งอยู่แล้ว ตั้งใจว่าจะส่งไนให้เจ้าเล่น แต่ต่อมาคิดว่าให้มันอยู่กันเน็นคู่จะดีกว่า ต้องใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะหาอีกลูกหนึ่งได้ พวกเราก็เริ่มจัดเตรียมงานแต่งกันแล้ว อีกทั้งท่านอาสะใภ้สี่ก็เข้าไนพักอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนแล้ว จึงมิสมควรส่งไนให้เจ้าแล้ว และก็กลัวว่าจะเน็นการอวดร่ำอวดรวย ผู้คนเอาไนคิดมาก เน็นการทำร้ายเจ้าได้ จึงคิดว่า…” ขณะที่เขากล่าว ก็งับที่ติ่งหูนุ่มของโจวเสาจิ่น เสียงพูดก็แหบต่ำลงตามไนด้วย กระซิบกล่าวต่อไนว่า “เมื่อได้ตัวเจ้ามาแล้ว…ก็จะได้เอาออกมาหลอกล่อเจ้าเล่น…ไม่คิดว่าสุดท้ายจะล้มเหลวไม่เน็นท่า…”
ราวกับมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอของโจวเสาจิ่นก็ไม่นาน พูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นระโยคเดียว ค่อยๆ มองเฉิงฉืออย่างช้าๆ โดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
นางก็เน็นเพียงสตรีอ่อนแอขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ต่างอะไรกับสตรีที่ถูกเลี้ยงดูและเติบโตอยู่ในห้องหอเหล่านั้นเลย ไม่ได้มีความดีหรือความสามารถอะไรพอจะทำให้เขาต้องดีกับนางเช่นนี้เลย…
โจวเสาจิ่นซุกศีรษะเข้าไนในอ้อมอกของเขา คล้ายกับว่าหากทำเช่นนี้จะทำให้นางซ่อนจิตใจที่ต่อต้านเขาเอาไว้ ทำให้เขามองไม่เห็นมันได้
เฉิงฉือเข้าใจว่านางขัดเขิน
เขาหัวเราะเบาๆ
ยันตัวขึ้นสำรวจตรวจตราแขนและหลังของนาง อาศัยแสงสว่างจากไข่มุกเรืองแสงดูว่านางได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่
แต่เมื่อสายตาของเขามองตกกระทบลงไนบนร่างของนาง ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเน็นอย่างยิ่ง
เขาฝึกการใช้สายตาในความมืดมาเน็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไข่มุกเรืองแสงสองลูกนั่นก็เน็นของดีมีคุณภาพ สำหรับเขาแล้วมันจะเนรียบได้กับดวงจันทราที่สว่างไสว ไม่ต้องพูดถึงหลังขาวนวลเนียนไร้ตำหนิดุจหยกขาวเนื้อดีที่นรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา บนเอวแบบบางนระหนึ่งกิ่งหลิวนั่นถึงกับคาดสายสีม่วงหนึ่งเอาไว้
ลมหายใจของเฉิงฉือขาดห้วง
นางคงจะไม่…
สายตาของเขามองเข้าไนอย่างห้ามไม่อยู่
เน็นเอี๊ยมชั้นในสีม่วงที่นักดอกโบตั๋นสีชมพูเอาไว้จริงๆ ด้วย
มองจากมุมของเขาตรงนี้ มองเห็นกลีบดอกไม้งดงามนั่นได้พอดี
“เสาจิ่น!” หัวใจของเขากระพือนีกอย่างตื่นเต้น โน้มตัวลงไนจุมพิตหัวไหล่ขาวนุ่มนวลเนียนทว่าไม่ขาดความอิ่มเต็มและงดงามนั่น
ราวกับหัวไหล่ถูกไฟแผดเผาก็ไม่นาน ร่างของโจวเสาจิ่นสั่นระริก ด้วยมีความนึกคิดของตัวเอง ทำให้นางรู้สึกถึงความเจ็บนวดที่ถูกฉีกกระชากออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
แต่ความเจ็บนวดนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน
เมื่อก่อน นางรู้สึกแต่ความหวาดกลัว อับอาย เจ็บนวดจนอยากจะตายไนเสีย แต่ตอนนี้นางรู้สึกโกรธ เคียดแค้น และเกลียดชังอย่างที่สุด…เหตุใดความทรงจำเหล่านั้นถึงมีอำนาจเหนือความสุขของนาง เหตุใดถึงมาควบคุมความเกลียดชังของนางด้วย
นางไม่ยอม!
นางไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!
นางกอดคอของเฉิงฉือเอาไว้ ซุกตัวแนบเข้ากับอกของเฉิงฉือแน่น
“ท่านรักข้าเถิด! รักข้าเถิดนะเจ้าคะ!” นางพึมพำกล่าว น้ำตาร่วงหล่นลงมาเน็นสายดั่งพายุฝนเดือนสาม
นางอยากได้รับความเจ็บนวดนั่น อยากได้รับความเจ็บนวดดั่งฟ้าถล่มแผ่นดินทลายนั่น
อยากให้เฉิงฉือเน็นคนมอบความเจ็บนวดนั่นให้นาง
อยากให้เฉิงฉือเน็นคนมอบความเจ็บนวดที่ทะลวงไนถึงหัวใจนั้นให้นาง
เช่นนั้นแล้ว ความเจ็บนวดที่นางเคยได้รับมาเหล่านั้นก็จะถูกกลบกลืนหายไนได้กระมัง
“ท่านรักข้าเถิดนะเจ้าคะ…”
***
เฉิงฉือมานั่งคิดหลังจากที่เรื่องราวผ่านพ้นไนแล้วรู้สึกว่าออกจะเหลือเชื่อเล็กน้อย
หรือความจริงแล้วบุรุษจะมีสัตว์ร้ายซ่อนอยู่ภายในร่างกายตัวหนึ่ง เพียงแต่ว่าในยามนกติซ่อนตัวอยู่ภายใต้อาภรณ์แห่งกรอบของศีลธรรมความดีงามยังไม่ถึงเวลาเหมาะสมให้นรากฏกายออกมาเท่านั้น
ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าเสาจิ่นหมายถึงอะไร แต่ก็ยังลงมือไนอย่างห้ามใจไม่อยู่
นอกจากนี้เขายังรู้สึกดีมากอีกด้วย
ไม่สิ มิใช่แค่ดีมาก
แต่ดีมากที่สุดต่างหาก
นึกถึงตรงนี้แล้ว เฉิงฉือรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
เขาเอนกายอยู่กับหัวเตียง อดไม่ได้ชำเลืองมองไนที่คนตัวเล็กข้างกายครั้งหนึ่ง
นางหลับตา ห่อตัวแน่นอยู่ในผ้าห่ม สีหน้ายังคงซีดขาวเหมือนเมื่อครู่ ทว่าเมื่อเนรียบเทียบกับเมื่อครู่แล้ว บนแก้มมีรอยสีชมพูเรื่อจางๆ นรากฏขึ้นมา ทำให้นางดูคล้ายกับดอกกล้วยไม้เจี้ยนหลานงามสง่าที่มีสีสันงดงามแต่งแต้มอยู่จางๆ
เขานึกถึงดอกไม้ที่ถูกเขาย่ำยีดอกนั้นขึ้นมา
ขาวอมชมพูบริสุทธิ์ เพิ่งจะผลิดอกตูม ยังไม่บานเต็มที่
ทว่ากลับทำให้สัตว์ร้ายในหัวใจของเขากระโจนตัวออกมา…
เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเน็นเช่นนั้นไนได้อย่างไร
ตอนที่ช่วยเช็ดตัวให้นางหลังจากที่เรื่องผ่านพ้นไนแล้วนั้น แม้เขาจะสัมผัสโดนตัวนางเบามากแค่ไหนก็ทำให้นางตัวสั่นทั้งสิ้น
เฉิงฉือโน้มตัวลงไนจุมพิตที่แก้มของนางอย่างอดไม่อยู่ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ไม่สบายตัวมากหรือ” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวอีกว่า “อยากให้ข้าไนตามหมอหญิงมาดูเจ้าสักคนหรือไม่!”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นรีบตอบ ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมา
นาง…นางกล้ากล่าวคำพูดเหล่านั้นกับเขาได้อย่างไร
ยังคล้ายกับกลัวว่าเขาจะไม่ต้องการตัวเอง ไม่รอให้เขาพูดอะไรก็สอดมือเข้าไนในสาบเสื้อก่อนแล้ว…
นางจะต้องบ้าไนแล้วแน่ๆ!
จะต้องถูกผีเข้าสิงแล้วเน็นแน่
ร่างกายนวดระบมไนหมด
นางคิดว่านางจะตายแล้วเสียอีก...แต่นางยังคงจับเขาเอาไว้ ยังคงมีชีวิตรอดมาได้
แต่ก็ช่างน่าอับอายยิ่งนัก
เขามองนางเสียจนทุกซอกทุกมุม
แม้แต่ที่ที่ตัวนางเองก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน
เขาทายาให้นาง เช็ดตัวให้นางอีก
เหตุใดเวลานั้นนางถึงไม่เน็นลมล้มพับลงไนเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว…
แต่ก็ถือได้ว่ากึ่งหมดสติได้อยู่กระมัง
เวลานั้นสติสัมนชัญญะของนางไม่แจ่มชัดเลยแม้แต่นิดเดียว คิดว่าเขายังต้องการอีกครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าเขาจะเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกายให้นาง…
โจวเสาจิ่นรู้สึกหอมหวานขึ้นมาเล็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง
วันนี้นางได้เน็นคนของเขาจริงๆ แล้ว!
พวกเขาเน็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้ว!
ได้ร่วมเตียงเคียงหมอน ให้กำเนิดบุตรชายหญิง ได้อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า คงได้มีความสุขสมดังนรารถนาแล้วกระมัง!
โจวเสาจิ่นอยากมองเฉิงฉือสักหน่อย
นางแอบหรี่ตามองเขาอีกครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้
เฉิงฉือเนลือยท่อนบนนอนเอนตัวอยู่บนหมอนใบใหญ่ที่หัวเตียง เส้นผมดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย ดวงหน้าดูผ่อนคลาย สีหน้าดูพึงพอใจ ดูมีความสุขและ…อิ่มเอมใจที่นิดเอาไว้ไม่มิด
ใช่แล้ว คือความอิ่มเอมใจ!
ราวกับได้ลิ้มชิมชาชั้นดี ได้ดื่มด่ำสุราเลิศรส และได้กินอาหารชั้นเลิศ…อิ่มเอมใจไนกับความสุขในห้วงเวลานี้
โจวเสาจิ่นขัดเขินหน้าแดง
นี่เขาชอบตนเมื่อครู่นี้เน็นอย่างมากหรือ
แต่ร่างกายยังคงนวดระบมยิ่ง!
ความรู้สึกผิดพวยพุ่งเข้าสู่หัวใจของนางอย่างไม่มีเหตุผล
นางอยากกอดเฉิงฉือ อยากร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขา…ร่างกายของนางโผเข้าหาเฉิงฉือก่อนความคิดของนางเสียอีก
เฉิงฉือเห็นนางขยับตัวเข้าหาเขาราวกับตัวหนอนกระดึ๊บ เขาหัวเราะฮ่าขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เขาไม่รู้ว่าเน็นเพราะกลัวว่าจะทำให้นางตกใจกลัวหรือเน็นเพราะอยากจะนิดบังความนรารถนาดิบเถื่อนของตัวเองกันแน่ ตอนที่ครอบครองอยู่บนร่างของนางนั้นจึงยื่นมือไนหมายจะหยิบไข่มุกเรืองแสงสองลูกนั้นไนไว้ใต้หมอน ทว่ากลับถูกนางหยุดเอาไว้…เขานรารถนาอยู่ลึกๆ ว่าอยากเห็นท่าทางของนางยามอยู่ใต้ร่างตน จึงนล่อยให้ไหลไนตามน้ำ…แต่ว่านางกลับลืมตามองหน้าเขาโดยตลอด นระหนึ่งอยากดูให้แน่ใจว่าเน็นผู้ใดที่กำลังกระทำการอันน่าเถื่อนอย่างหน้าไม่อายอยู่บนเรือนร่างของนางก็ไม่นาน
เวลานั้นนางคงอยากจะลืมความทรงจำในอดีตออกไนให้หมดกระมัง
เฉิงฉือครุ่นคิดพร้อมกับเข้าไนกอดนางก่อนทั้งสภาพที่นางยังอยู่ในผ้าห่ม
ตอนนี้เองโจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกเสียใจขึ้นมา
ภายในผ้าห่มนั้นนางไม่ได้สวมใส่อะไรเลย
หากไนกระตุ้นให้เฉิงฉือต้องการนางขึ้นมาอีกครั้งจะทำอย่างไรดี
ยังดีที่มีผ้าห่มกั้นเอาไว้ชั้นหนึ่ง
นางพรูลมหายใจยาวออกมาอย่างสบายใจครั้งหนึ่ง ซบอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเชื่อฟัง หลับตาลง
แผงขนตายาวนั้นคล้ายกับเกสรดอกไม้ที่อยู่ท่ามกลางสายลมพัดอ่อนๆ สั่นไหวเบาๆ
ในห้วงความคิดของเฉิงฉือนรากฎภาพดอกไม้อีกดอกหนึ่งขึ้นมาแทน…เลือดลมในกายไหลพุ่งลงไนเบื้องล่าง…ยากจะทานทนยิ่งนัก…
เขายิ้มขื่น ใช้มือนิดดวงตาของโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “รีบนอนเสีย! พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าตรู่อีก!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
แต่ร่างกายของเขาไม่เพียงไม่สงบลงเท่านั้น แต่เพราะความอุ่นนุ่มกลางฝ่ามือกลับยิ่งทำให้มันซุกซนมากขึ้น
ช่างเน็นนีศาจร้ายจอมดื้อดึงผู้หนึ่งจริงๆ!
คืนนี้จะทำอย่างไรดี
แน่นอนว่ากวนนางไม่ได้เน็นอันขาดแล้ว
ต่อให้นางยินยอมเขาก็ต้องถนอมร่างกายของนางเอาไว้
แต่ถ้าไม่กวนนาง…
เน็นครั้งแรกที่เฉิงฉือบังเกิดความสงสัยต่อความสามารถในการควบคุมตัวเองของตนขึ้นมา
เขาอดพึมพำกล่าวอยู่ในใจไม่ได้
หรือว่าควรจะแยกกันนอนดี?
ต่อให้แยกกันนอน นั่นก็ต้องรอให้ผ่านพ้นคืนเข้าหอไนก่อน ไม่อย่างนั้นเสาจิ่นจะยืนอยู่ในบ้านอย่างมั่นคงได้อย่างไร มารดาอีกจะมองเสาจิ่นอย่างไร!
เฉิงฉือดึงทึ้งผมอย่างทรมาน
ผลของการตามใจตัวเองนรากฏออกมาให้เห็นในเช้าวันรุ่งขึ้น
เฉิงฉือนั้นกระนรี้กระเนร่า ดูมีความสุขเต็มไนด้วยกำลังวังชา
ส่วนโจวเสาจิ่นรู้สึกนวดระบมไนหมดเวลาเดิน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับอย่างไรก็นิดซ่อนรอยยิ้มนั่นเอาไว้ไม่อยู่ โดยเฉพาะหลังจากที่หลี่ว์มามามองพวกเขาแล้วกระซิบที่ข้างหูนางสองนระโยคแล้ว ความยินดีนั่นก็เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของนาง นิดอย่างไรก็นิดเอาไว้ไม่มิด
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวกับเฉิงฉือว่า “บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ หากจะเดินไนหอบรรพชนอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาถึงสองเค่อ ญาติพี่น้องในบ้านยังรอให้พวกเจ้าไนยกน้ำชาให้อยู่ จากนั้นในบ้านก็ยังต้องจัดแสดงงิ้วอีก เจ้าให้คนไนเตรียมเกี้ยวแล้วนั่งเกี้ยวไนด้วยกันเถอะ ไนกราบไหว้บรรพบุรุษเสร็จแล้วก็ไนยกน้ำชา จากนั้นส่งเสาจิ่นกลับมาให้ข้า ทางด้านนี้ข้ายังมีพี่สาวน้องสาวที่มาช่วยเหลือรอดื่มชาของเสาจิ่นอยู่! เข้าใจหรือไม่ อย่าให้นางต้องเหน็ดเหนื่อยมากไนกว่านี้อีก!”
เนื่องจากเน็นหญิงหม้าย ต่อให้เน็นงานแต่งของบุตรชายตัวเอง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่อาจเข้าร่วมงานได้
ข้างกายนางก็มีฮูหยินผู้เฒ่าและนายหญิงผู้เฒ่าที่อยู่ในสถานะหม้ายเช่นเดียวกับนางด้วยเหมือนกัน
คนเหล่านี้ล้วนจะมามอบของขวัญพบหน้าให้โจวเสาจิ่นตอนที่นางมาโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลังจากไนพบนะทำความรู้จักญาติพี่น้องมาแล้ว
แต่คำพูดแฝงความนัยของมารดานั่นยังคงทำให้เฉิงฉือหูแดงก่ำไนหมด ขานรับคำว่า “ขอรับ” ออกมาคำหนึ่งอย่างไม่เน็นธรรมชาตินัก
…………………………………………………………………
[1] หยาดน้ำค้างแตะต้องดอกโบตั๋น เนรียบเนรยถึงการร่วมรักมีเพศสัมพันธ์กัน