ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 466 ร่วมหอ
ได้ยินคำบอกเล่าของเฉิงเจียแล้ว โจวเสาจิ่นปากอ้าตาค้าง กว่าครู่ใหญ่ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “สมองของอู๋เป่าจางมีปัญหาเลอะเลือนไปแล้วกระมัง นี่เป็นงานแต่งของตระกูลเฉิง แม้นจะกล่าวว่าจวนหลักและซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันแล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็มีบรรพบุรุษคนเดียวกัน นางเอาข้าไปพูดเลื่อนเปื้อนไปทั่วเช่นนี้ ไม่กลัวจะทำให้ตระกูลเฉิงอับอายเสียชื่อเสียงหรือ เมื่อก่อนนางมิได้เป็นคนเช่นนี้นี่นา”
ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนนางจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ลอบกระทำอย่างลับๆ แอบขุดหลุมดักผู้อื่นลับหลังเงียบๆ หากเจ้าตกลงไป นางยังแสร้งทำเป็นยื่นมือไปดึงเจ้าหรือประคองเจ้าขึ้นมาด้วยซ้ำ
ทว่าครั้งนี้กลับเปลือยแขนไปออกรบ เปิดเผยเจตนาของตัวเองออกมาต่อหน้าสายตาของทุกคน
โจวเสาจิ่นตำหนิเฉิงเจียอย่างเคืองๆ ว่า “เจ้าเองก็เหมือนกัน ลดตัวลงไปถกเถียงกับนางทำไม เจ้าพูดว่านางเป็นอนุของพี่ชายนั่ว มิเท่ากับทำลายชื่อเสียงของพี่ชายนั่วหรอกหรือ ควรจะบอกฮูหยินหยวนออกหน้าให้ถึงจะถูก ปัญหาที่นางกวนให้ขุ่นขึ้นมา ก็ให้นางเป็นคนจัดการเอง ไม่อย่างนั้นก็ไปหาฮูหยินผู้เฒ่า นางไม่กล้าละเลยทำเป็นไม่เห็นอย่างแน่นอน นี่กลับเอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาด้วย”
เฉิงเจียโอดครวญไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่ได้มีนิสัยดีอย่างเจ้านี่นา ขอด่าคนให้สบายใจก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง อย่างไรเสียข้าก็เป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว แปดร้อยปีก็มิได้กลับตระกูลเดิมสักครั้ง ต่อให้ได้กลับตระกูลเดิม ก็ไปที่จินหลิง พวกนางอยากพูดถึงข้าอย่างไรก็ปล่อยพวกนางพูดไปเถอะ ข้าไม่ได้ยิน พวกนางอยากพูดก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวขอบคุณนาง “ข้ารู้ว่าเจ้าทำไปก็เพื่อเป็นการดีต่อข้า!”
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว!” แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเฉิงเจียที่ชายตามองนางด้วยท่าทางที่บอกว่า ‘เจ้าไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว ข้าไม่เถียงกับเจ้าแล้ว’ อย่างวางท่าเมื่อครู่นั้น ต่อมาจะมีอาการห่อไหล่ กล่าวอย่างหดหู่ขึ้นว่า “เพราะฉะนั้น ข้าก็เลยถูกฮูหยินใหญ่กัวไล่ออกมา…”
ฮูหยินใหญ่กัวคือพี่สะใภ้ใหญ่ฝั่งตระกูลกัวของเฉิงฉือ
โจวเสาจินประหลาดใจ ถามขึ้นว่า “ตอนนั้นฮูหยินใหญ่กัวก็อยู่ด้วยหรือ”
“ใช่น่ะสิ!” เฉิงเจียกล่าวอย่างสลดหดหู่ “ตอนที่ข้ากล่าวคำพูดเหล่านี้นั้นนางไม่ได้ว่าอะไร กระทั่งข้าพูดจบแล้ว นางกลับยืนขึ้นมา ก้าวออกมาอย่างยิ้มแย้มกล่าวอะไรทำนองว่า ข้าและเจ้าโตมาด้วยกัน ตอนที่อู๋เป่าจางแต่งเข้ามานั้นข้ากำลังวุ่นเรื่องเตรียมตัวออกเรือนอยู่ จึงได้เจออู๋เป่าจางไม่เกินสองครั้งเท่านั้น ก่อนออกเรือนเป็นบุตรสาวคนเดียวของจวนสาม เมื่อออกเรือนก็ได้แต่งกับตระกูลเก่าแก่ของลั่วหยาง ถูกตามใจจนเคยตัว คำพูดคำจาจึงไม่รู้จักหนักเบา ให้อู๋เป่าจางไม่ต้องลดตัวลงมาถกเถียงกับข้า ให้คนลากตัวข้าออกมาจากงานเลี้ยงที่ห้องโถง ส่วนตัวนางกลับคล้องแขนอู๋เป่าจางไว้บอกว่าอยากแนะนำนางให้รู้จักกับฮูหยินใหญ่ตระกูลเซินของจินหลิง บอกว่าฮูหยินใหญ่ตระกูลเซินเป็นญาติกับตระกูลเดิมของท่านอาสะใภ้เวิ่น เนื่องจากท่านอาสะใภ้เวิ่นไม่ได้มาด้วย อู๋เป่าจางที่เป็นสะใภ้อย่างไรก็ควรจะไปคารวะทักทายฮูหยินใหญ่ตระกูลเซินสักครั้งถึงจะถูก…พี่สาวเจิงช่วยฮูหยินผู้เฒ่ารับรองฮูหยินผู้เฒ่าสองสามท่านอยู่ที่ลานทิงเซียง พี่สาวเซียวช่วยฮูหยินหยวนรับรองบรรดาภรรยาของขุนนางเหล่านั้น ส่วนพี่สาวเซิงก็วุ่นอยู่กับการปรึกษาหารือเรื่องงานเลี้ยงของวันพรุ่งนี้และมะรืนนี้กับพวกภรรยาของพ่อบ้านในบ้านกันอยู่ ข้าไม่มีที่ไปก็เลยวิ่งมาหาเจ้าที่นี่”
ขณะที่นางกล่าว ก็หัวเราะเสียงเบาออกมา กล่าวต่อว่า “ข้าได้พบกับพี่เขยสามีของพี่สาวเซียวด้วย พี่เขยหยวนนั้นเป็นคนตลกขบขันยิ่ง เขาเองก็ช่วยรับรองแขกอยู่ด้านนอกด้วยเช่นกัน เขากล่าวหยอกล้อเล่นกับหลี่จิ้งว่า บุตรเขยและบุตรสาวของผู้อื่นเมื่อกลับบ้านเดิมล้วนนั่งอยู่ในงานเลี้ยง พวกเขาช่างดีเหลือเกิน ไม่ต้องพูดถึงที่แต่ละคนต่างช่วยงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อย ตอนงานเลี้ยงเริ่มก็ยังพุ้ยข้าวอย่างลวกๆ อยู่หน้าประตูครัวไปเพียงหนึ่งถ้วยเท่านั้น รอให้งานแต่งเสร็จสิ้นแล้ว จะต้องไปขอซองแดงจากฮูหยินผู้เฒ่าซองใหญ่ๆ สักซองถึงจะใช้การได้ ไม่อย่างนั้นคงขาดทุนแย่แล้ว”
ในบ้านมีงานมงคล พวกบุตรเขยลุงเขยควรจะได้นั่งอยู่ในงานเลี้ยง
หากจะกล่าวโทษ ก็ต้องกล่าวโทษที่เรื่องต่างๆ ภายในบ้านนั้นพึ่งพาแต่เฉิงฉือมากเกินไป พอถึงคราวที่เฉิงฉือแต่งงานเองบ้างจึงไม่มีคนมีความสามารถพอจะช่วยงานได้
โจวเสาจิ่นเห็นใจเฉิงฉือ อดไม่ได้กล่าวถากถางหยวนซื่ออยู่ในใจสองประโยคว่า เฉิงฉือก็เป็นจิ้นซื่อขั้นสองผู้หนึ่ง เขาดูแลกิจการงานของตระกูลเฉิงได้ ยามเฉิงฉือแต่งงาน นางจะไม่ลงทุนลงแรงช่วยเหลือเฉิงฉือสักหน่อยเลยหรือ
ต่อไปตอนเฉิงสวี่แต่งงาน นางก็จะไม่บอกให้เฉิงฉือไปช่วยงานเหมือนกัน
เหตุใดถึงชอบใช้งานเฉิงฉือเสมือนคนไม่มีงานทำด้วย!
ไม่ให้เกียรติเฉิงฉือมากเกินไปแล้ว!
นางถามขึ้นว่า “ในบ้านมีแขกมาร่วมงานเป็นจำนวนมากเลยหรือ”
“มาก!” เฉิงเจียพยักหน้า “แค่ลานชั้นนอกก็ตั้งโต๊ะไปแล้วหนึ่งร้อยกว่าโต๊ะ เห็นว่ามีขุนนางใหญ่หยวน ขุนนางใหญ่ซ่ง ขุนนางใหญ่ชวี…ยังมีใต้เท้าอู๋หัวหน้าราชบัณฑิตหลวงสำนักฮั่นหลิน ใต้เท้าเหอของสำนักสารบรรณกลาง และใต้เท้าโจวเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายของกรมการตรวจตราต่างก็มาร่วมงานกันหมด!” ขณะที่นางกล่าว ก็หัวเราะคิกออกมาอีกครั้ง “หลี่จิ้งบอกว่า ดูคล้ายกับเป็นการประชุมในราชสำนักก็ไม่ปาน นอกจากขุนนางใหญ่สองสามท่านแล้ว ขุนนางของหกกรมสามสำนักต่างคนต่างนั่งประจำที่นั่ง ต่างคนต่างไปพูดคุยกับหัวหน้าของตัวเอง…”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน ครุ่นคิดภาพเหตุการณ์นั้นแล้วก็หัวเราะออกมาตามไปด้วย
เฉิงเจียถามขึ้นว่า “เจ้าหิวหรือไม่ อยากให้ข้าช่วยไปแอบเอาของกินอะไรมาให้เจ้าสักหน่อยหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก!” โจวเสาจิ่นมองเจินจูครั้งหนึ่ง ถอดถุงขนาดเล็กที่ผูกไว้ที่เอวออกมาแล้วเปิดออก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพี่เตรียมขนมหวานเอาไว้ให้ข้าแล้ว บอกว่าหากหิวก็ให้กินขนมหวานสักสองสามชิ้น”
เฉิงเจียหัวเราะร่า
เจินจูและอีกหลายคนต่างก็หัวเราะด้วยเช่นกัน แต่ทั้งหมดล้วนก้มหน้าลงด้วยท่าทางที่บอกว่า ‘ข้าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น’
โจวเสาจิ่นถามว่า “พรุ่งนี้และมะรืนนี้ในบ้านยังต้องจัดแสดงงิ้วอีกหรือ”
จากในความทรงจำของนางนั้น หลังจากไปพบปะญาติพี่น้องในวันที่สองหลังงานแต่งก็จะเริ่มรื้อปะรำงานมงคลออกกันแล้ว
เฉิงเจียพยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าได้ยินภรรยาของพ่อบ้านกล่าวว่าจะจัดแสดงงิ้วอย่างยิ่งใหญ่ติดต่อกันสามวัน”
นี่ก็ออกจะเอิกเกริกมากเกินไปแล้วกระมัง!
เฉิงเจียพูดคุยเจื้อยแจ้วกับโจวเสาจิ่นไปกว่าครึ่งค่อนวัน
แม้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเฉิงเจียที่พูดและโจวเสาจิ่นที่ฟังเสียมาก แต่มีเฉิงเจียมาอยู่ด้วย เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วมากเป็นพิเศษ ราวกับว่าเวลาผ่านไปเพียงพริบตาเดียวก็ได้ยินชุ่ยหวนตะโกนเรียกเฉิงเจียอยู่นอกหน้าต่างเรือนหอว่า “ฮูหยินใหญ่ นายท่านใหญ่ตามหาท่านไปทั่วทุกที่ บอกว่าเวลาไม่เช้าแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่เจ้าค่ะ”
เฉิงเจียถึงได้หันมาขยิบตาให้โจวเสาจิ่น กล่าวสองแง่สองง่ามว่า “พรุ่งนี้ข้าค่อยมาหาเจ้าใหม่ พวกเราค่อยมาพูดคุยเรื่องส่วนตัวกันดีๆ อีกครั้ง”
จะพูดเรื่องส่วนตัวก็พูดเรื่องส่วนตัวไป จำเป็นต้องแสดงสีหน้าท่าทางเช่นนั้นด้วยหรือ
โจวเสาจิ่นให้เจินจูออกไปส่งเฉิงเจียที่ประตูด้วยความสงสัย นึกถึงที่เฉิงเจียกล่าวเมื่อครู่ว่าที่ลานชั้นนอกมีแขกมาร่วมงานเป็นจำนวนมากขึ้นมา คิดว่าเฉิงฉือคงไม่ได้กลับเข้ามาเร็วนัก จึงบอกให้เจินจูไปเก็บกวาดถั่วลิสง พุทราจีนและลำไยที่โปรยอยู่บนเตียงออกไปก่อน หลายวันนี้นางเอาแต่เป็นกังวลใจเรื่องคืนเข้าหอ อีกทั้งวันนี้ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ต้องตื่นขึ้นมาอาบน้ำ เกล้าผมและแต่งตัวแล้ว รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก ตัดสินใจว่าจะเอนกายพักอยู่บนเตียงสักครู่รอเฉิงฉือกลับมา
พวกเจินจูได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงฉือมาตั้งแต่เช้าแล้ว จึงกล่าวรับคำยิ้มๆ ช่วยปูเตียงให้นางใหม่ ยกของหวานเข้ามาให้ถ้วยหนึ่งแล้วก็ถอยออกไปจากห้องนอน ไปเฝ้าอยู่ในห้องรับแขกแทน
โจวเสาจิ่นเอนตัวนอนอยู่กับหัวเตียง สะลึมสะลือหลับไม่ลึกมากนัก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร นางได้ยินว่ามีเสียงดังอยู่ด้านนอก ยังมีเสียงของเฉิงฉือดังเข้ามาเบาๆ ด้วยว่า “ฮูหยินสี่หลับหรือยัง”
นางตื่นขึ้นมาในทันที ลุกขึ้นแล้วรีบสาวเท้าไปที่หน้าประตู เลิกผ้าม่านขึ้น
เฉิงฉือหน้าแดงด้วยฤทธิ์สุราเล็กน้อย กำลังยืนอยู่ตรงนั้นโดยมีเจินจูคอยกำกับให้หยวนหยวนและหมานหม่านช่วยเปลี่ยนอาภรณ์ให้เขาอยู่
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นพลันแดงเรื่อขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
ฉับพลันนั้นเฉิงฉือก็หันมองมา
โจวเสาจิ่นยังคงสวมชุดมงคลสีแดงสดอยู่ แม้นจะถอดเครื่องหัวออกแล้ว ทว่ายังเกล้าผมทรงเดียวกับตอนที่แต่งเข้ามาทรงนั้น ปักปิ่นดอกไม้หินโมราสีฟ้าและปิ่นทองฝังอัญมณีหลากสีเอาไว้ ภายใต้แสงตะเกียงนั้น ขับให้ใบหน้าของนางใบหน้านั้นดูงดงามดุจบัวแดงที่วิจิตรบอบบาง ดวงตาแวววาวดั่งน้ำมันเคลือบเงาสีดำ
เฉิงฉือหันมายิ้มให้นางอย่างห้ามไม่อยู่
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นยิ่งแดงเรื่อมากขึ้น
กำลังครุ่นคิดว่าควรจะก้าวออกไปปรนนิบัติเขาเปลี่ยนอาภรณ์หรือไม่ แต่ก็กลัวว่าจะไม่เหมาะสมขัดต่อระเบียบปฏิบัติ
ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น เฉิงฉือก็กล่าวยิ้มๆ ขึ้นก่อนว่า “รีบเข้าห้องไปเถิด ข้าล้างหน้าเสร็จแล้วจะรีบตามเข้าไป”
โจวเสาจิ่นถอยกลับเข้าห้องนอนไปด้วยความขัดเขิน
ทั้งห้องเงียบสงบไร้ซึ่งสรรพเสียงใดทั้งสี่ด้าน ได้ยินเพียงเสียงติ๊กต็อกของนาฬิกาจากแดนตะวันตกเท่านั้น ยิ่งทำให้ดูเงียบสงัดมากยิ่งขึ้น
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่บนเตียงหลังใหม่อย่างกระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุข ทว่าในใจก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปด้วย ความจริงแล้วในห้องหอก็ยังมีนาฬิกาจากแดนตะวันตกวางประดับอยู่ด้วยอีกเรือนหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเรือนที่วางกับพื้นเรือนนั้นหรือว่าเป็นเรือนที่วางอยู่บนโต๊ะตัวยาวเรือนนั้นกันแน่เท่านั้น นี่ก็เป็นสินค้าที่มาขายพร้อมกับเรือที่มาเทียบท่าหรือ ชาติก่อนนางเคยเห็นอยู่ไกลๆ ครั้งหนึ่งในพระราชวัง ก็ไม่รู้ว่านาฬิกาเรือนนั้นทำขึ้นมาอย่างไร จึงทดแทนนาฬิกาน้ำได้…
มือของนางประสานเข้าหากันแน่น
เฉิงฉือที่เปลี่ยนไปสวมชุดผ้าไหมหังโจวบุฝ้ายสีน้ำเงินไพลินธรรมดาตัวหนึ่งแล้วเดินเข้ามา
โจวเสาจิ่นลุกขึ้นมาในทันใด
ท่าทางระแวดระวังนั่นดูคล้ายกับว่าเขาจะทำอะไรนางอย่างไรอย่างนั้น
เฉิงฉืออดหัวเราะออกมาไม่ได้ ถามเสียงอบอุ่นว่า “เหนื่อยหรือไม่”
เฉิงฉือหัวเราะที่นางไม่สงวนท่าทีเกินไปใช่หรือไม่
แต่ก็เพราะนางรู้สึกดีใจมากจริงๆ ที่ได้เจอเฉิงฉือนี่นา…
โจวเสาจิ่นพยักหน้า จากนั้นก็คิดได้ว่าออกเรือนก็ยังจะบ่นว่าเหนื่อย เช่นนี้ไม่ดีนัก ก็เลยรีบส่ายศีรษะอีกครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือเดินเข้ามาหานาง
ได้ยินเสียงตีกลองบอกเวลายามสอง[1]ดังอยู่ข้างนอกรางๆ
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
นางคิดว่าถึงยามสาม[2]แล้วเสียอีก
เขากลับมาเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร
ด้านนอกมีแขกเหรื่อมากมายขนาดนั้น เขาไม่ไปทักทายได้หรือ
เฉิงฉือราวกับอ่านใจนางได้ก็ไม่ปาน กล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้ข้าเป็นเจ้าบ่าว ข้าจึงเป็นใหญ่ที่สุด ถ้าหากแม้แต่เรื่องที่ว่าจะกลับเข้าห้องหอเวลาใดก็ยังทำไม่ได้ เช่นนั้นยังจะเรียกว่าเจ้าบ่าวไปทำไมกัน!”
น้ำเสียงโอ้อวดทะนงนั่น ทำให้โจวเสาจิ่นหัวเราะออกมา
เฉิงฉือจึงกล่าวขึ้นว่า “รีบพักผ่อนเถิด! พรุ่งนี้ยังมีเรื่องให้ต้องยุ่งอีกมาก!” ขณะที่กล่าวก็เคลื่อนย้ายตะเกียงที่เดิมทีวางอยู่บนหัวเตียงไปวางบนโต๊ะน้ำชาข้างหน้าต่างแทน
บนฉากกั้นฝังอัญมณีล้ำค่าที่กั้นระหว่างเตียงและเตียงเตาตัวใหญ่นั้นเป็นลายผลทับทิมปริแตกขนาดใหญ่เผยให้เห็นเมล็ดทับทิมสีแดงที่อยู่ด้านใน ฉากกั้นดังกล่าวบดบังตะเกียงและแสงสว่างของตะเกียงเอาไว้
ภายในห้องนอนพลันมืดสลัวลงมา
โจวเสาจิ่นตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง
นางร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่ง แล้วหันหลังให้เฉิงฉือเริ่มถอดชุดมงคลออก
มือไม้สั่นระรัว กว่าครู่ใหญ่ถึงจะแกะกระดุมได้เม็ดหนึ่ง
ด้านหลังมีลมหายใจอุ่นเข้าใกล้นางมาเรื่อยๆ
เฉิงฉือกระซิบกล่าวที่ข้างหูของนางว่า “มาให้ข้าช่วยเจ้า!”
“ไม่เจ้าค่ะ!” เสียงของโจวเสาจิ่นแหลมและสูงเล็กน้อย
เมื่อนางได้ยินเสียงนั้นแล้ว ตัวนางเองก็ยังรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากเช่นกัน
เฉิงฉือเข้าใจเรื่องราวในทันที
นัยน์ตาของเขามีความรู้สึกผิดสายหนึ่งวาบผ่าน
จากนั้นแสร้งทำเป็นกล่าวยิ้มๆ อย่างสบายๆ ว่า “เช่นนั้นก็ดี เจ้ารีบสักหน่อย ข้าจะปล่อยม่านเตียงลงแล้ว”
ลมหายใจอบอุ่นนั้นออกห่างจากตัวนางไป
ทันใดนั้นกระบอกตาของโจวเสาจิ่นรื้นชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
นางถอดชุดมงคลออกอย่างลวกๆ ด้วยความรีบร้อนเล็กน้อย กัดริมฝีปากพร้อมกับเลิกผ่านม่านของเตียงสีดำวาดลายดอกไม้ทาน้ำมันเคลือบเงาขึ้นอย่างเบามือเบาเท้า
ภายในผ้าม่านยิ่งมืดสลัว
นางใช้เวลาครู่หนึ่งถึงจะปรับสายตาให้เข้ากับลำแสงภายในเตียงได้
เห็นเฉิงฉือเอนกายนอนอยู่ฝั่งด้านนอกของเตียงเรียบร้อยแล้ว
นางปีนขึ้นเตียงจากฝั่งปลายเท้าของเฉิงฉืออย่างระมัดระวัง นิ้วมือเย็นเฉียบค่อยๆ ยกมุมผ้าห่มเปิดออก ล้มตัวนอนลงฝั่งด้านในของเตียง
มีแขนยาวหนึ่งยื่นออกมา
โจวเสาจิ่นถูกเฉิงฉือดึงไปกอดไว้ในอ้อมแขน
แขนเสื้ออันเบาบางนั้น นางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของอ้อมอกและความแข็งแกร่งของลำแขนของเฉิงฉือได้เป็นอย่างดี
นางตัวสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เดิมทีเฉิงฉือยังอยากจะเอ่ยหยอกเย้านางอีกสักสองสามประโยค ทว่าเวลานี้รู้ว่าไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมแล้ว
นางหวาดกลัวจริงๆ!
มิใช่ความตื่นตระหนกหรืออาการทำอะไรไม่ถูก แต่เป็นความหวาดกลัว!
เฉิงฉือจึงกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนแน่นๆ จูบหน้าผากของนางพร้อมกับกล่าวเสียงเบาว่า “เสาจิ่น ข้ารับปากท่านพ่อตาเอาไว้ว่าจะรอให้ผ่านไปสักสองสามปีก่อนแล้วค่อยร่วมหอกับเจ้า ตอนนี้เจ้ายังเด็กเกินไป…”
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตากว้างด้วยความประหลาดใจ
ดวงตาภายใต้ลำแสงสลัวนั้นดูสุกใสแวววาวดุจอัญมณี
………………………………………………………………..
[1] ยามสอง เวลา 21-23 นาฬิกาโดยประมาณ
[2] ยามสาม เวลา 23 นาฬิกาจนถึงเวลา 1 นาฬิกาของวันถัดไปโดยประมาณ