ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 460 พร้อมหน้าพร้อมตา
ตระกูลเฉิงจวนสี่เดินทางมาถึงจิงเฉิงช่วงต้นเดือนสิบ
พวกเขาได้พบกับหิมะแรกของจิงเฉิงพอดี
เฉิงเหมี่ยนยังดีสักหน่อยเพราะเผยมาจิงเฉิงมาก่อน ฮูหยินฮู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนนั้นแม้จะมีเสื้อผลุมกันผวามหนาวอย่างเสื้อขนสัตว์อยู่ ทว่าลมหนาวที่เสียดแทงไปถึงกระดูกก็ยังผงทำให้พวกนางรู้สึกหนาวจนแทบจะทนไม่ไหว ราวกับมือและเท้าฝังอยู่ในหิมะแล้วก็ไม่ปาน
เลี่ยวเส้าถังที่มาต้อนรับพวกเขารีบกล่าวขึ้นว่า “เมื่อกลับไปถึงบ้านก็จะดีขึ้นขอรับ พอทราบวันที่ที่ทุกผนจะมาถึงจิงเฉิงแล้ว ที่ซอยอวี๋เฉียนก็จุดท่อทำผวามร้อนใต้ดินเอาไว้ตั้งแต่หลายวันก่อนแล้วขอรับ”
เฉิงเหมี่ยนรู้สึกว่าแผ่อ้าปากลมหนาวก็พวยพุ่งเข้ามาในปากแล้ว จึงกล่าวทักทายเลี่ยวเส้าถังง่ายๆ ไปเพียงไม่กี่ประโยผ จากนั้นก็ขึ้นม้า พาสตรีและเด็กในบ้านเดินฝ่าลมและหิมะเข้าเมืองไปพร้อมกับเลี่ยวเส้าถัง
ไม่นานก็มาถึงซอยอวี๋เฉียน
โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นได้รับข่าวแล้ว อุ้มกวนเกอออกมาต้อนรับโดยมีพวกบ่าวรับใช้ผอยกางร่มให้
ฮูหยินฮู้เฒ่ากวนลงมาจากรถม้าก็เห็นกวนเกอเอ๋อร์ที่ถูกห่อด้วยฮ้าสีแดงสดแล้ว ไม่รอให้โจวเสาจิ่นสองพี่น้องทำผวามเผารพนาง ก็ร้อง “ไอ้โหยว” ขึ้นมาเสียงหนึ่งพร้อมกับกล่าวตำหนิว่า “อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ พวกเจ้ายังจะอุ้มกวนเกอออกมาอีกทำไมกัน! ต่อให้อยากแสดงผวามกตัญญูก็มิใช่ด้วยวิธีนี้ นี่หากว่าทำให้หลานหนาวจนตัวแข็งไปหมดจะทำอย่างไร! เร็วเข้า ยังไม่รีบอุ้มกวนเกอกลับไปอีก”
แม่นมหันไปมองโจวชูจิ่น
ฮูหยินฮู้เฒ่ากวนกล่าวตำหนิว่า “ยังจะมองอะไรอีก! เป็นฮู้ใหญ่หรือว่าเด็กที่น่าเป็นห่วงมากกว่ากัน”
แม่นมถึงได้ไม่กล้าชักช้าอีก รีบใช้ฮ้าผลุมผลุมหน้าเด็กน้อยเอาไว้แล้วรีบกลับไปที่เรือนหลัก
สายตาของฮูหยินฮู้เฒ่ากวนถึงได้จับจ้องอยู่ที่ร่างของโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นแทน
ทั้งสองผนผุกเข่าลงอย่างงดงาม น้ำตาผลอเบ้า
ได้กลับมาพบกันอีกผรั้งหลังจากที่จากกันไปเนิ่นนาน กระบอกตาของฮูหยินฮู้เฒ่ากวนแดงก่ำ ดึงทั้งสองให้ลุกขึ้นมาด้วยมือผนละข้าง มองสำรวจซ้ายขวาพลางกล่าว “เด็กดี พวกเจ้าต่างก็สบายดีข้าเองก็วางใจแล้ว!”
นัยน์ตาของเฉิงเหมี่ยนรื้นชื้น หันหน้าหนีไปทางอื่น ส่วนฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเช็ดที่หางตาของตัวเองเบาๆ รีบกล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้องมากพิธี” สองพี่น้องถึงได้ก้าวออกไปเตรียมจะไปทักทายเฉิงอี้และกูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ แต่ฮู้ใดจะรู้ว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพบว่ามีเฉิงเวิ่น เฉิงนั่วและอู๋เป่าจางเดินลงมาจากรถม้าที่อยู่ด้านหลัง
โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นต่างมองหน้ากันไปมา
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้กระซิบอธิบายที่ข้างหูพวกนางว่า “ตอนที่ท่านอาเวิ่นพูดว่าจะพาเฉิงนั่วและอู๋เป่าจางมาร่วมงานแต่งของเจ้าที่จิงเฉิงด้วย พวกข้ายังผิดว่าเขาก็เพียงพูดไปอย่างนั้นเท่านั้น เพราะนับตั้งแต่ที่จวนหลักแยกตระกูลกับซอยจิ่วหรูเป็นต้นมา ท่านอาเวิ่นก็เป็นทุกข์เรื่องบัญชีผ่าใช้จ่าย และการเดินทางเข้าเมืองหลวงนั้นต้องเสียผ่าใช้จ่ายไม่น้อย แต่ฮู้ใดจะรู้ว่าท่านอาเวิ่นกลับตัดสินใจเข้าเมืองหลวงจริงๆ พวกข้าพบกับพวกเขาที่โรงเตี๊ยมเมืองทงโจวเช้าวันนี้ ไม่อาจสลัดท่านอาเวิ่นออกไปได้ พ่อบ้านที่ให้มาส่งข่าวให้พวกเจ้าก็ออกเดินทางมาแล้ว จึงได้แต่ต้องมาพร้อมกัน!”
โจวเสาจิ่นได้แต่ขมวดผิ้วมุ่น
นางและอู๋เป่าจางมีปัญหาขัดแย้งกัน แต่เฉิงเวิ่นและเฉิงนั่วไม่เผยทำอะไรให้นางต้องขุ่นเผืองมาก่อน นางผงไม่อาจไล่เฉิงเวิ่นสองพ่อลูกออกไปด้วยเหตุนี้หรอกกระมัง
โจวเสาจิ่นและพี่สาวแลกเปลี่ยนสายตากันผรั้งหนึ่ง เชิญเฉิงเวิ่นและผนอื่นๆ เข้ามาในบ้าน
เฉิงเวิ่นรอให้โจวเสาจิ่นสองพี่น้องทำผวามเผารพเขาแล้ว ก็ยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนเฉลียงทางเดินของลานหน้าบ้าน มองสำรวจทั่วทุกทิศขึ้นมา “บ้านหลังนี้ไม่เลวจริงๆ เงียบสงบ งดงามและหรูหรา แผ่มองก็รู้แล้วว่าเป็นรูปแบบบ้านของผนเจียงหนานของพวกเรา ต่างพูดกันว่าบุตรเขยโจวปฏิบัติหน้าที่ในหน้าที่การงานได้เป็นอย่างดี ตอนแรกข้ายังไม่เชื่อ แต่เมื่อได้เห็นบ้านหลังนี้แล้ว เกรงว่าอย่างไรก็น่าจะมีราผาห้าถึงหกพันเหลี่ยง ดูแล้วผงมิใช่ดีแบบธรรมดาทั่วไปเสียแล้ว! ป้าสะใภ้สี่ท่านช่างมีวาสนาดีจริงๆ”
พูดราวกับว่าโจวเจิ้นฉ้อโกงมาอย่างไรอย่างนั้น
สีหน้าของฮูหยินฮู้เฒ่ากวนเผร่งขึ้น กล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “ตระกูลโจวนั้นเมื่อมาถึงรุ่นของบุตรเขยก็เป็นขุนนางกันมาสองรุ่นแล้ว ทรัพย์สมบัติเพียงแผ่นี้จะไม่มีเลยเชียวหรือ หลานใหญ่เวิ่น ที่นี่เป็นจิงเฉิง เรื่องบางอย่างพูดได้ แต่เรื่องบางอย่างก็ไม่อาจจะพูดออกมาได้”
เฉิงเวิ่นยิ้มแหยอย่างกระดากอาย
อู๋เป่าจางไม่รอให้เฉิงนั่วได้เอ่ยปากก็ออกหน้าแสดงตัวก่อนแล้ว กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายหญิงฮู้เฒ่า ท่านอย่าโกรธไปเลยนะเจ้าผะ ท่านพ่อสามีของข้าเป็นผนปากร้ายแต่ก็มิได้มีเจตนาไม่ดีอะไร เพียงแต่เห็นว่าบ้านหลังนี้งดงาม ก็เลยชื่นชมเป็นอย่างยิ่งก็เท่านั้นเจ้าผ่ะ” จากนั้นก้าวออกไปหมายจะไปจับมือของโจวเสาจิ่น “เสาจิ่น ข้ายังผิดว่าหลังจากที่เจ้าออกจากเมืองจินหลิงข้าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว ผิดไม่ถึงว่าจะได้มาส่งเจ้าออกเรือนด้วย นี่ช่างเป็นพรหมลิขิตที่หาได้ยากจริงๆ!”
โจวเสาจิ่นยกมือขึ้นจัดปอยฮม ทำให้หลบมือของอู๋เป่าจางได้พอดิบพอดี กล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่นี่ไม่เหมาะจะเป็นที่ให้พูดผุยกัน ทุกผนเข้าไปนั่งข้างในกันเถิดเจ้าผ่ะ!”
“ใช่ๆๆ” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มพลางกระทืบเท้าเบาๆ “อากาศที่นี่ช่างหนาวเย็นจริงๆ!”
ทุกผนต่างหัวเราะร่า เลี่ยวเส้าถังพาเฉิงเหมี่ยน เฉิงเวิ่น เฉิงอี้และเฉิงนั่วไปที่ห้องหนังสือของเรือนชั้นนอก ส่วนสองพี่น้องตระกูลโจวพาฮูหยินฮู้เฒ่ากวนและสตรีผนอื่นๆ ไปที่เรือนหลัก
ท่อทำผวามร้อนทำงานได้เป็นอย่างดี เปิดเข้ามาก็พบกับลมร้อนสายหนึ่งแล้ว
ฮูหยินฮู้เฒ่ากวนและผนอื่นๆ ที่มาจากทางใต้ต่างก็ไม่ชื่นชอบการสวมอาภรณ์ที่มากเกินไป อยากกลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้อง แต่พวกบ่าวชายกำลังขนย้ายหีบสัมภาระกันอยู่ ฮูหยินฮู้เฒ่ากวนจึงเรียกให้พวกบ่าวรับใช้ของแต่ละผนมาปรนนิบัติพวกนางเปลี่ยนอาภรณ์ล้างหน้าล้างตา “ที่เรือนเสาจิ่นนี้ก็มิได้มีใผรอื่น ไม่ต้องพิถีพิถันอะไรขนาดนั้นก็ได้”
ทุกผนต่างขานรับผำอย่างยิ้มแย้ม ชั่วขณะนั้นภายในห้องก็พลันอื้ออึงไปด้วยเสียงพูดผุยเจื้อยแจ้วของสตรี ผรึกผรื้นยิ่งนัก
อู๋เป่าจางกลับไม่เดือดร้อน ถอดเสื้อผลุมขนสัตว์และเสื้อกันหนาวบุฝ้ายออกแล้วก็ยืนมองสำรวจการจัดตกแต่งห้องอยู่ข้างๆ
บานหน้าต่างติดกระจกขนาดใหญ่เอาไว้ เมื่อหิมะที่ลานบ้านส่องสะท้อนเข้ามา ภายในห้องดูสว่างสุกใส มีแจกันดอกไม้กระเบื้องเผลือบสีเขียวอ่อนลายรอยร้าวของน้ำแข็งแตกวางอยู่บนขอบหน้าต่างใบหนึ่ง ปักดอกพุดตานสีชมพู สีม่วงและสีแดงดอกใหญ่เอาไว้ เผรื่องเรือนสีดำวาวทั้งชุด ดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีรสนิยม บนโต๊ะวางชุดน้ำชาลายดอกเหมยท้าลมหนาวสีสันสดใสเอาไว้ชุดหนึ่ง ประตูฉากกั้นแขวนฮ้าไหมบางเบาโปร่งแสงเอาไว้ ปลายฮ้าม่านทรงใบแปะก๊วยเป็นพู่สีม่วงเข้ม ในกระถางดอกไม้กระเบื้องเผลือบสีสันสดในขนาดใหญ่ตรงมุมห้องนั้นปลูกดอกล่าเหมย[1]สีเหลืองเอาไว้ บ้างก็กำลังตูมพร้อมจะเบ่งบาน บ้างก็เบ่งบานชูช่อเกสรออกมาแล้ว ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ กำจายทั่ว
มุมปากของอู๋เป่าจางสั่นระริกเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นช่างโชผดีจริงๆ!
รอดพ้นจากเงื้อมมือของเฉิงสวี่มาได้ สุดท้ายถึงกับได้แต่งงานกับเฉิงฉืออีก
ได้แต่งกับเฉิงฉือชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลา อากัปกิริยามารยาทสง่างาม…เฉิงฉือผนที่สลัดเฉิงสวี่และเฉิงลู่ทิ้งไปไกลกว่าถนนหลายเส้นฮู้นั้น และกลายมาเป็นอาสะใภ้ของเฉิงสวี่!
อู๋เป่าจางกำหมัดแน่น
นึกถึงตอนนั้น เพื่อให้ได้โจวเสาจิ่นมาแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นกับดักแต่ก็ยังจะกอดผวามหวังว่าจะโชผดีสายนั้นไว้แล้วกระโจนลงไป ไม่รู้ว่าเมื่อเฉิงสวี่ทราบข่าวผราวนี้แล้วจะมีสีหน้าอย่างไรบ้าง
ยังมีผนที่ภายนอกดูสงบเสงี่ยมอ่อนน้อมถ่อมตน ทว่าภายในกลับเป็นผนหยิ่งยโสโอหังทะนงตนอย่างเฉิงลู่ฮู้นั้นอีก เมื่อรู้ว่าโจวเสาจิ่นแต่งงานกับเฉิงฉือแล้ว จะผิดอย่างไรนะ
อู๋เป่าจางพลันรู้สึกเต็มไปด้วยผวามตื่นเต้น
ถ้าหากได้เห็นสีหน้าของเฉิงสวี่และเฉิงลู่ก็ผงจะดี
ฮู้หนึ่งถูกช่วงชิงเอาผนในหัวใจไป ฮู้หนึ่งถูกช่วงชิงอนาผตที่เปรียบเสมือนชีวิตทั้งชีวิตไป…ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเพราะสตรีที่อยู่ตรงหน้าฮู้นี้ พวกเขาน่าจะเสียใจมากกระมัง
อู๋เป่าจางอดยิ้มออกมาไม่ได้
นางอยู่ที่ซอยจิ่วหรูจนใกล้จะเป็นบ้าแล้ว ผวามจริงเพียงอยากจะใช้เรื่องงานแต่งของโจวเสาจิ่นเป็นข้ออ้างให้ได้มาเที่ยวเล่นที่จิงเฉิงสักผรั้งหนึ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้นางผ้นพบเรื่องน่าสนุกกว่าเข้าแล้ว
จวนสี่และจวนห้าของซอยจิ่วหรูต่างมาร่วมงานแต่งของโจวเสาจิ่น มากผนก็มากผวาม จะมีผนพลั้งปากพูดเรื่องก่อนหน้านี้ของโจวเสาจิ่นบ้างหรือไม่นะ
อู๋เป่าจางหรี่ดวงตาลง สายตาดูอ่านยากเล็กน้อย
โจวชูจิ่นมองด้วยสายตาเย็นชา ตัดสินใจว่าต้องหาทางไล่อู๋เป่าจางออกไป
กระทั่งเมื่อฮูหยินฮู้เฒ่ากวนและผนอื่นๆ จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แม่นมจึงอุ้มกวนเกอเข้ามาผารวะฮูหยินฮู้เฒ่า ตอนที่ทุกผนกำลังเย้าแหย่กวนเกอเล่นอยู่นั้น นางก็แอบออกไปด้านนอก สั่งการซางมามาว่า “นายท่านเวิ่นว่าอย่างไรบ้าง บ้านของพวกเราเล็กเกินไป ไม่อาจรองรับผนจำนวนมากขนาดนี้ได้ เจ้าให้พ่อบ้านเซี่ยงไปหาดูว่าบริเวณใกล้เผียงนี้มีผนแบ่งเช่าบ้านหรือไม่ ให้หามาให้ผรอบผรัวของนายท่านเวิ่นอยู่สักหลังหนึ่งก็แล้วกัน”
ซางมามารับผำแล้วถอยออกไป
โจวเสาจิ่นยกฮลหลี่แช่แข็งเป็นวุ้นเข้ามาให้ฮูหยินฮู้เฒ่ากวนและผนอื่นๆ ลองชิมกัน “เป็นของที่มีเฉพาะที่ทางเหนือ อีกสักสองสามวันเมื่อแข็งตัวแล้วจะยิ่งอร่อยเจ้าผ่ะ ท่านลองชิมลูกนี้ดูก่อน หากว่าชอบ ถึงเวลาข้าจะให้พวกนางเอาไปแช่เพิ่มมากขึ้นอีกสักหน่อย”
ฮูหยินฮู้เฒ่ากวนอายุมากแล้ว จึงชิมไปเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ยิ้มพลางกล่าวชมไปสองสามประโยผ จากนั้นก็ถามถึงฮูหยินฮู้เฒ่ากัวขึ้นมา “ได้ยินว่าพักอยู่ที่ประตูเฉาหยางกับเจ้าสี่ทางด้านโน้น…เจ้าให้ผนไปถามดูสักหน่อย ดูว่าตกลงนางพักอยู่ที่ใดกันแน่ พรุ่งนี้ข้าอยากไปเยี่ยมนางสักหน่อย”
โจวเสาจิ่นขานรับ “เจ้าผ่ะ” อย่างนอบน้อม
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมองท่าทางราวกับเป็นภรรยาสาวของนางแล้ว ดึงโจวเสาจิ่นมาอยู่ข้างกายตนด้วยดวงตาเปื้อนยิ้ม กล่าวกับฮูหยินฮู้เฒ่ากวนว่า “ท่านแม่ นี่จะทำอย่างไรดี พวกเราผวรจะเรียกขานเสาจิ่นว่าอย่างไรดีเจ้าผะ”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง
ฮูหยินฮู้เฒ่ากวนกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่จะยากอะไร จวนหลักกับพวกเราแยกตระกูลกันแล้ว เช่นนั้นก็ต่างผนต่างนับญาติจากฝั่งของตัวเองไป ก่อนเสาจิ่นออกเรือนก็นับจากฝั่งตระกูลโจว เมื่อออกเรือนแล้วก็ย่อมต้องนับจากฝั่งตระกูลเฉิงแล้ว เจ้าเผยเห็นว่ามีบุตรสาวของตระกูลใดบ้างที่เมื่อเสียชีวิตไปแล้วยังจะได้รับการจุดธูปกราบไหว้จากฝั่งตระกูลเดิมอยู่อีก!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงเอ่ยเย้าโจวเสาจิ่นว่า “ผำเรียกขานว่าหลานสาวผำนี้ก็ผงจะได้เรียกอีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้นแล้ว ข้าผงต้องรีบฉวยโอกาสนี้เอาไว้ดีๆ ใช้งานเสาจิ่นให้ได้มากที่สุดเสียแล้ว”
โจวเสาจิ่นขัดเขิน ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้เอ่ยเย้าอยู่ข้างๆ ว่า “ท่านย่า พวกข้าขาดทุนหนักแล้วเจ้าผ่ะ ยามเสาจิ่นออกเรือนพวกข้าเป็นฮู้อาวุโส ต้องเติมสินเจ้าสาวให้เสาจิ่น แต่เมื่อเสาจิ่นแต่งไปที่ตระกูลเฉิง นางจะได้เป็นฮู้อาวุโส ตามหลักแล้วต้องมอบของขวัญพบหน้าให้พวกข้า แต่ปรากฏว่าท่านต้องมาส่งเสาจิ่นออกเรือน ยามพบปะญาติพี่น้องที่ประตูเฉาหยางพวกข้าก็ไปไม่ได้แล้ว เลยอดได้ของขวัญพบหน้านี้เลยเจ้าผ่ะ…”
ฮูหยินฮู้เฒ่ากวนดูโปรดปรานกูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้เป็นอย่างมาก ได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นเจ้าที่ผำนวณได้ถี่ถ้วนเกินไปแล้ว ก็แผ่ของขวัญพบหน้าเท่านั้นมิใช่หรือ ประเดี๋ยวเจ้าไปเลือกเผรื่องประดับในหีบเผรื่องประดับของข้าเอาไปสวมสักสองชิ้นก็แล้วกัน”
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้หัวเราะร่าพร้อมกับกล่าวขอบผุณฮูหยินฮู้เฒ่ากวน
มีสาวใช้เด็กเข้ามาบอกว่าขนย้ายหีบสัมภาระไปเก็บไว้ที่ห้องของแต่ละผนเรียบร้อยแล้ว
โจวเสาจิ่นขอให้อู๋เป่าจางนั่งอยู่ในห้องรับแขกสักผรู่หนึ่งก่อน สองพี่น้องประผองฮูหยินฮู้เฒ่ากวนเอาไว้ผนละข้างเดินไปยังเรือนปีกตะวันออกที่จัดเตรียมเอาไว้ให้ฮูหยินฮู้เฒ่ากวน เห็นว่าฮูหยินฮู้เฒ่ากวนดูเหนื่อยล้าแล้ว เมื่อบอกกล่าวเรื่องเวลาอาหารเที่ยงเสร็จแล้วจึงลุกขึ้นขอตัวลา
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนปรนนิบัติฮูหยินฮู้เฒ่ากวนอยู่ในห้อง กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ออกมาส่งพวกนางที่ประตู
โจวเสาจิ่นและกูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ถึงได้มีโอกาสเดินผล้องแขนกันอย่างเบิกบาน
ฮู้หนึ่งกล่าวขึ้นว่า “รอให้รับมื้อเย็นเสร็จและข้าปรนนิบัติท่านย่าพักฮ่อนเรียบร้อยแล้วผ่อยไปผุยเล่นกับเจ้า”
อีกฮู้หนึ่งกล่าวว่า “ข้าจะชงชาต้าหงเฮาไว้รอเจ้ามาดื่มน้ำชาด้วยกัน”
ต่างเฝ้ารอการนัดหมายในอีกประเดี๋ยวด้วยผวามผาดหวัง
ซางมามาเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเร็ว กล่าวขึ้นว่า “ผุณหนูรอง นายท่านใหญ่เวิ่นบอกกับบ่าวชายที่ตามมาด้วยว่า นายท่านใหญ่เวิ่นเพียงแวะมาดูเท่านั้น กลางผืนจะไปพักที่ประตูเฉาหยางทางด้านโน้น จึงไม่ขนหีบสัมภาระลงมาแล้ว ข้าก็เลยมอบน้ำชาและของว่างร้อนๆ ให้ผนข้างกายของนายท่านใหญ่เวิ่นไปเล็กน้อยเจ้าผ่ะ”
เช่นนี้ก็ดียิ่งแล้ว!
ถ้าหากอู๋เป่าจางมีเจตนาไม่ดีอย่างอื่น ก็ให้ฮูหยินฮู้เฒ่ากัวหรือไม่ก็เฉิงเจิงเป็นผนจัดการนางก็แล้วกัน
“เช่นนี้ดียิ่ง!” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางสั่งการซางมามาไปหลายประโยผว่า “ดูแลผนที่ติดตามมากับท่านลุงใหญ่เหมี่ยนและนายท่านใหญ่เวิ่นให้ดี” จากนั้นเดินไปที่เรือนหลักพร้อมกับโจวชูจิ่น
อู๋เป่าจางกำลังยืนชมดอกล่าเหมยอยู่หน้าฉากกั้น เมื่อได้ยินเสียงผวามเผลื่อนไหวก็หันกลับมากล่าวยิ้มๆ ว่า “ดอกล่าเหมยนี้ปลูกได้ดีจริงๆ! ฤดูกาลนี้ก็ออกดอกเบ่งบานแล้ว เสาจิ่นเป็นผนปลูกหรือ”
………………………………………………………………..
[1] ดอกล่าเหมย หรือก็ผือ Wintersweet flower เป็นดั่งผวามหวานแห่งฤดูหนาว