ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 46 ขอความช่วยเหลือ
“พวกเจ้าดูสภาพข้าในตอนนี้ ยังจะไปเรียนได้อยู่หรือ” เฉิงสวี่ชี้ไปที่ขาของตัวเอง และกล่าวกับต้าซูอย่างไม่พอใจ “เมื่อเจ้าพบกับท่านอาจารย์จางก็บอกไปตามความจริง บอกไปว่าข้าถูกท่านย่าลงโทษ ทำให้เดินได้ไม่สะดวก ช่วงบ่ายถึงจะสามารถไปเรียนได้ ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์จางจะเข้มงวดกับผู้อื่น แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล เจ้าไปขอลาหยุดให้ข้าก็พอ เขาย่อมจะอนุญาตอย่างแน่นอน”
ต้าซูยังคงลังเลอยู่เล็กน้อย
เฉิงสวี่จึงพูดขึ้นว่า “เจ้ายังไม่รีบไปอีก อีกเพียงสองเค่อก็จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว ถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าไปขอลาหยุดให้ข้า แต่ตามกฎระเบียบของสำนักศึกษาแล้ว ก็ถือว่าข้าขาดเรียนอยู่ดี อาจารย์จางเป็นผู้ที่ยึดถือในกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ถึงเวลานั้นคงจะไม่สนใจแล้วว่าเหตุใดข้าถึงต้องขอลาหยุด!”
กฎระเบียบของสำนักศึกษานั้น ต้าซูคุ้นเคยดียิ่งกว่าเฉิงสวี่เสียอีก
เขาจึงไม่กล้าชักช้าอีก จำต้องขานตอบ “ขอรับ” และรีบไปที่สำนักศึกษา
ฮวนสี่กลับตกใจกลัวจนตัวสั่น กล่าวขึ้นว่า “คุณชายใหญ่ เช้าวันนี้ท่านจะไม่ไปเรียนที่สำนักศึกษาจริงๆ หรือขอรับ หากว่าฮูหยินทราบเรื่องขึ้นมา จะต้องไล่ตะเพิดบ่าวออกจากจวนเป็นแน่ขอรับ”
เฉิงสวี่เหลือบตามองเขาอย่างดูแคลนทีหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “หากว่าเจ้าทำให้ข้าไม่พอใจ เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถไล่ตะเพิดเจ้าออกจากจวนไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ได้ โดยไม่ต้องรอให้ฮูหยินทราบเรื่อง!”
“เชื่อขอรับๆๆ!” ฮวนสี่กล่าวด้วยใบหน้าเหยเก “ข้าไม่กลัวว่าจะฮูหยินจะทราบเรื่องอีกแล้วขอรับ…เช่นนั้นตอนนี้พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกันหรือขอรับ หากกลับเรือนตัวจย้า เด็กปี้อวี้ผู้นั้นจะต้องนำข่าวไปแจ้งฮูหยินเป็นแน่ เมื่อฮูหยินทราบเรื่องแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็จะต้องทราบเรื่องไปด้วย หรือจะไปที่ศาลาชุนเจ๋อดีขอรับ ทว่าในจวนก็ยังมีแขกที่ยังไม่ได้กลับไป และท่านผู้นำตระกูลจวนรองก็ชื่นชอบที่นั่นเป็นที่สุด เกรงว่าท่านผู้นำจะต้อนรับแขกอยู่ที่นั่น…หรือจะไปที่ห้องหนังสือเล็กทิงซงเฟิงฉู่ ไม่ได้ๆ เพราะคุณชายใหญ่สือจวนรองมักจะเข้าออกที่นั่นอยู่บ่อยๆ หากท่านไปที่นั่น บ่าวที่รับใช้อยู่ที่นั่นจะต้องบอกเขาเป็นแน่ เมื่อสบโอกาสเขาจะต้องบอกฮูหยินผู้เฒ่าเป็นแน่…ยังมีที่ไหนที่สามารถไป…”
เฉิงสวี่ตบเขาไปฝ่ามือหนึ่งอย่างอารมณ์เสีย กล่าวขึ้นว่า “พูดจาไร้สาระอันใดกัน แน่นอนว่าพวกเราจะกลับไปที่เรือนตัวจย้า หากท่านแม่ได้ยินว่าข้าไม่ได้ไปเรียน คงได้แต่เป็นกังวลเกี่ยวกับขาของข้า ไหนเลยจะคิดถึงเรื่องที่ข้าไม่ได้ไปเรียน ต่อให้ท่านย่าทราบเรื่องก็ไม่ต้องกังวลไป เจ้าอาจจะเห็นว่าท่านย่าทำหน้าบึ้งตึง แต่จริงๆ แล้วจิตใจอ่อนโยนเป็นที่สุด หากรู้ว่าข้าไม่ได้ไปเรียนเพราะปวดขา จะต้องให้คนแอบมาดูข้าเป็นแน่…สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด เรื่องที่เจ้าต้องเรียนรู้ยังมีอีกมากนัก!”
“ถึงว่าทำไมทุกคนต่างชื่นชมว่าคุณชายใหญ่นั้นเฉลียวฉลาด!” ฮวนสี่กล่าวตามประสาของลูกไล่ว่า “แม่ของบ่าวบอกว่า หลังจากที่บ่าวติดตามคุณชายใหญ่แล้ว หัวสมองนี้ของบ่าวดีกว่าเมื่อก่อนมากเลยขอรับ”
“เจ้าระวังเถอะสอพลอจนเลียจากหลังม้าจนจะถึงกีบม้าแล้ว” เฉิงสวี่หัวเราะเสียงดังลั่น จากนั้นกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “นี่ ข้าถามเจ้าหน่อย หากเจ้าทำให้หญิงสาวผู้หนึ่งขุ่นเคืองใจเข้า จะมีวิธีทำให้นางหายโกรธอย่างไรหรือ”
ฮวนสี่ชะงักงัน
เขาอายุน้อยกว่าเฉิงสวี่ครึ่งปี และเพราะรับใช้อยู่ข้างกายเฉิงสวี่ ในยามปกติเมื่อสาวใช้เหล่านั้นพบเขา มีใครบ้างที่ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส…ทำให้คนขุ่นเคืองใจ…นั่นก็เป็นผู้อื่นมากกว่าที่ทำให้เขาขุ่นเคืองใจ
ฮวนสี่ครุ่นคิดอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ก็เหมือนกับว่าเขาไม่เคยทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองใจมาก่อน!
ต่อให้มี ใครจะกล้าชักสีหน้าให้เขาเห็นกัน
หรือว่าจะมีคนที่กล้าชักสีหน้าให้คุณชายใหญ่เห็นอย่างนั้นหรือ
ฮวนสี่นึกถึงคำพูดที่เขาแอบได้ยินอยู่นอกห้องของอวี้หรูเมื่อหลายวันก่อน
คุณชายใหญ่ ไม่แน่ว่าจะชอบคุณหนูรองตระกูลโจวเข้าให้แล้ว?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นไปได้
คุณหนูรองตระกูลโจวงดงามถึงเพียงนี้ ใครพบเห็นแล้วไม่ชอบบ้าง!
เขายังเคยเห็นเฉิงจวี่จากจวนห้าสายรองผู้นั้นซ่อนตัวอยู่ในป่าเพื่อแอบมองคุณหนูรองตระกูลโจวมาก่อนด้วย!
อย่างไรก็ตาม จะขอความโปรดปรานจากคุณหนูรองตระกูลโจวอย่างไรนั้น เขาก็ไม่รู้จริงๆ
คุณหนูรองตระกูลโจวนั้นเป็นคุณหนูจากตระกูลร่ำรวย ย่อมไม่เหมือนกับเสี่ยวหลิวบ่าวกวาดพื้นที่หน้าจวน ที่เมื่อตนทำให้นางขุ่นเคืองใจ ก็ใช้เงินห้าเหลี่ยงซื้อเมล็ดแตงโมงสองถุงให้นาง จากนั้นเสี่ยวหลิวก็จะกลับมาดีกับตนอีกครั้งแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาจึงเลียบเคียงถามไปว่า “หรือไม่ ท่านก็ซื้อของนิดๆ หน่อยๆ ให้คุณหนูรองตระกูลโจวดีหรือไม่ขอรับ”
ครั้งนี้ถึงคราวของเฉิงสวี่ที่ต้องประหลาดใจ
เขาเขกหัวของฮวนสี่ พลางกล่าว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนที่ข้าทำให้ขุ่นเคืองใจคือคุณหนูรองตระกูลโจว”
“เอ่อ เอ่อ” ฮวนสี่ไม่อาจบอกไปว่าเป็นเพราะได้ยินอวี้หรูกับปี้หรูคุยกันเป็นการส่วนตัว ภายใต้ความกระวนกระวายนั้น เขาก็มีความคิดดีๆ ขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ในบรรดาคุณหนูไม่กี่คนในจวนนี้ ข้าคิดๆ แล้ว นอกจากคุณหนูรองตระกูลโจว ท่านก็ไม่น่าจะทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจได้แล้ว”
เฉิงสวี่รู้ว่าเขาอาจจะไปได้ยินข่าวลืออะไรมา
ความคิดหนึ่งวาบเข้ามา เขาอ้าปากกว้าง
แม้แต่ฮวนสี่ก็ล้วนเดาได้แล้ว ท่านย่า…ก็ย่อมต้องเดาได้แล้วเช่นกัน
แต่ท่านย่ากลับให้เขายกเลิกการคารวะยามเย็นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ห้ามเขากับโจวเสาจิ่นพบหน้ากัน…ทีนี้จะทำอย่างไรดี
ทันใดนั้นเฉิงสวี่ก็อยู่ไม่สุขราวกับนั่งอยู่บนผ้าสักหลาดที่ซ่อนเข็มเอาไว้
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นตะโกนเรียก ‘ฮวนสี่’ และกล่าวว่า “พวกเราไปหาท่านอาสี่กัน!”
ฮวนสี่ได้ยินแล้วก็สะดุ้งโหยง กล่าวขึ้นว่า “ไป ไปหานายท่านสี่หรือขอรับ”
“ก็ใช่น่ะสิ!” เฉิงสวี่พึมพำกล่าว
โจวเสาจิ่นที่หลงเข้าไปที่ศาลาซานจือ ก็เป็นท่านอาสี่เฉิงฉือช่วยเหลือนางเอาไว้
ความรู้สึกนึกคิดของตน ท่านอาสี่ย่อมรู้แล้วเป็นแน่
ตั้งแต่เด็ก เขาก็ชื่นชมท่านอาสี่ของเขาผู้นี้ยิ่งนัก
ตอนที่ผู้อื่นต่างตรากตรำร่ำเรียนกันอย่างหนักในช่วงฤดูหนาว เขากลับไปท่องเที่ยวไปตามหุบเขาและแม่น้ำอยู่ข้างนอก ไปเยี่ยมเยียนนักพรตเต๋าเสาะหาความเป็นอมตะ ตอนที่ผู้อื่นคร่ำเคร่งเขียนหนังสืออยู่ในสนามสอบ เขากลับละทิ้งธรรมเนียม หมกมุ่นอยู่กับการหาความสำราญที่หอชิงโหลวเมิ่งก่วน…ว่ากันตามหลักการแล้ว ตระกูลเช่นพวกเขานี้ ต่อให้ท่านอาสี่จะไม่ถูกขับไล่ออกไปจากจวน ก็จะถูกลงโทษทางวินัยและถูกตักเตือนว่ากล่าว แต่ไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อหรือท่านย่า เหมือนกับว่าต่างก็ไม่สามารถควบคุมท่านอาสี่ได้ ทำได้เพียงหลอกล่อเขาด้วยคำพูดดีๆ เท่านั้น แม้แต่ท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่จากจวนรอง ก็ยังไม่สามารถจัดการท่านอาสี่ได้ เมื่อห้าปีก่อน ท่านอาสี่ตัดสินใจลงสนามสอบข้อสอบราชสำนัก ในเวลานั้นทุกคนต่างรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าขบขัน ท่านอาอี๋จากจวนสามถึงกับกล่าวเย้ยหยันว่า หากว่าคุณชายสี่สามารถสอบผ่านได้ เช่นนั้นพวกข้าที่ตรากตรำร่ำเรียนกันอย่างหนักในช่วงฤดูหนาวของหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่ต้องไปกระโดดทะเลสาบโม่โฉวกันหมดหรือ!
ไม่มีใครคาดคิดว่า เพียงแค่สามปี ท่านอาสี่ก็สามารถสอบได้จากซิ่วไฉ เป็นจวี่เหริน ตลอดจนเข้าไปสอบถึงการสอบระดับชุนเหว่ย และกลายมาเป็นจิ้นซื่อลำดับที่สองประจำปีการสอบในรัชศกจื้อเต๋อปีที่สิบห้าเหรินเฉิน
ตอนนั้นดวงตาของคนในจวนต่างตกลงไปอยู่ที่พื้น
แต่ที่ยิ่งทำให้ผู้คนประหลาดใจก็คือ หลังจากที่ท่านอาสี่สอบได้จิ้นซื่อแล้วกลับไม่ได้เข้าร่วมการคัดเลือกเป็นบัณฑิตซู่จี๋ซื่อของสำนักฮั่นหลิน หลังจากที่ออกมาจากงานเลี้ยงฉยงหลิน[1]แล้วก็ตรงกลับมาที่เมืองจินหลิงเลย ราวกับว่าที่เขาไปสอบจนได้เป็นถึงจิ้นซื่อนั้น ก็เพื่อจะปิดปากของท่านผู้นำตระกูลจวนรองและคนอื่นๆ ให้พวกเขาไม่ต้องมายุ่งกับเขาอีกก็เท่านั้น
หลังจากนั้น เขาอยากจะทำทำอะไรก็ทำอย่างนั้นเช่นเดิม…มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ถึงกับทำผมเป็นมวยของนักพรตเต๋าและสวมชุดนักพรตเต้าเผา ทำให้ท่านย่ากลัวว่าเขาจะออกจากจวนไปเป็นนักพรตเต๋าเสียแล้ว
คนเช่นนี้ ในสายตาของเฉิงสวี่แล้ว ก็เหมือนกับจอมยุทธ์ถือกระบี่และออกเดินทางไกลที่อยู่ในเรื่องเล่าเก่าแก่จางหุย ผู้ที่ยามมีบุญคุณก็ทดแทนยามมีแค้นก็ชำระ ผู้ที่ตรงไปตรงมาและไม่นิยมการถูกบีบบังคับ ซึ่งจะนำเขาไปข้างหน้าเรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุด
ถ้าหากเรื่องระหว่างเขากับโจวเสาจิ่นสามารถโน้มน้าวใจท่านอาสี่ได้ เช่นนั้นทางด้านของท่านพ่อกับท่านย่า…ก็ย่อมสามารถทุ่นแรงไปได้ครึ่งหนึ่ง!
ถึงแม้ว่าตั้งแต่ที่เขาเริ่มเข้าเรียนเป็นต้นมา เนื่องจากต้องตั้งใจเรียนอย่างหนักทำให้ไปมาหาสู่กับท่านอาสี่ได้ค่อนข้างน้อย แต่เขาก็ยังจำภาพที่ท่านอาสี่พาเขาไปเล่นสนุกด้วยทุกที่เมื่อตอนเป็นเด็กได้…ท่านอาสี่จะต้องช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน!
ชั่วขณะหนึ่งเฉิงสวี่ก็รู้สึกว่าอนาคตของตนเต็มไปด้วยความหวังอีกครั้ง
เขาจึงยกเท้ามุ่งไปทาง ‘เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย’ ของเฉิงฉือที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของซอยจิ่วหรู เขาเดินไปด้วยและยังกล่าวกับฮวนสี่ไปด้วยว่า “ทำไมท่านอาสี่ต้องอาศัยอยู่ในที่ที่ห่างไกลขนาดนี้ด้วย ยังจะชื่อเรียก ‘เสี่ยวซานฉงกุ้ย’ อะไรนั่นอีก มีภูเขาขนาดเล็กที่ตั้งซ้อนกันขึ้นมาจากก้อนหินทะเลสาบไท่หูอยู่ไม่น้อย ทว่ากลับไม่เห็นต้นกุ้ยฮวาเลยแม้แต่ต้นเดียว หรือว่าต้นกุ้ยฮวาที่เคยปลูกเอาไว้ก่อนหน้านี้นั้น ต่อมาได้ถูกโค่นทิ้งไปหมดแล้วอย่างนั้นหรือ แต่ทำไมต้องโค่นทิ้งด้วยล่ะ ฉินจื่ออันที่สำนักศึกษาของพวกข้า หรือก็คือคนที่มีรูปร่างสูงและผอมผู้นั้น กล่าวว่าที่จวนของเขาปลูกต้นกุ้ยฮวาเอาไว้ร้อยกว่าต้น ซึ่งก็กลายมาเป็นของล้ำค่าของจวน เห็นได้ชัดว่าต้นกุ้ยฮวานี้มีค่ายิ่งนัก…เนื่องจากต้นกุ้ยฮวาก็ถูกโค่นทิ้งหมดแล้ว ทำไมถึงไม่เปลี่ยนชื่อเรียกสักชื่อกัน ก็ไม่รู้ว่าชื่อนี้ตั้งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และใครเป็นคนตั้ง…”
เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยนี้ตั้งอยู่ที่บริเวณแนวเขตแดนระหว่างจวนหลักและจวนรอง อยู่ด้านทิศเหนือสุดของสวนดอกไม้ และห่างจากถนนด้านหลังซอยจิ่วหรูเพียงกำแพงกั้น
เขาพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด แต่กลับไม่มีคนตอบกลับ
เฉิงสวี่หันศีรษะกลับไป ก็เห็นฮวนสี่ติดตามอยู่ด้านหลังของเขาด้วยอาการสั่นกลัวเล็กน้อย
“นี่เจ้าเป็นอะไรหรือ” เฉิงสวี่กล่าวอย่างประหลาดใจ “ท่าทางยังกับคนที่แม่ตายแล้วอย่างนั้นแหละ”
ฮวนสี่พึมพำกล่าวด้วยใบหน้าเหยเก “หากแม่ข้าตายก็เพียงจัดงานศพก็เท่านั้น…ข้าจะกลัวอะไร!”
“นี่เจ้าหมายถึงอะไร?” เฉิงสวี่หยุดเท้าลง คิ้วผูกเป็นปมมองไปทางเขา
ฮวนสี่เพียงรู้สึกว่าลำคอเย็นยะเยือก กล่าวขึ้นว่า “ท่านไม่ใช่ว่าไม่รู้ คราวก่อนตัวฝูผู้เป็นบ่าวข้างกายของนายท่านเวิ่นจวนห้าช่วยนายท่านเวิ่นปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงโดยใช้ชื่อของตระกูลเฉิง ต่อมาเรื่องดังมาถึงนายท่านสี่ นายท่านสี่จับตัวฝูกดกับพื้นแล้วโบยจนเกือบตาย นายท่านเวิ่นไม่เพียงไม่กล้าพูดเพื่อตัวฝูแม้สักประโยค ยังต้องยืนทำหน้ายิ้มๆ อยู่ข้างๆ และเมื่อจบเรื่องแล้วยังต้องเชิญนายท่านสี่ทานข้าวอีกด้วยนะขอรับ”
“แล้วนี่เกี่ยวอะไรกับเจ้าหรือ แล้วก็ไม่ได้โบยเจ้าเสียหน่อย” เฉิงสวี่ฉุนเฉียวเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “นอกจากนี้ท่านอาสี่คือผู้ที่ดูแลกิจการภายในจวน คนเช่นนี้หากไม่โบยให้เกือบตายสักครั้ง เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูแล้ว จะให้รอจนกระทั่งมีคนอื่นไปแจ้งกับทางการแล้วค่อยมาช่วยท่านอาเวิ่นเก็บกวาดความยุ่งเหยิงทีหลังอย่างนั้นหรือ”
ปัญหาก็คือหลังจากจบเรื่องแล้วเขาถูกนายท่านสี่เรียกตัวไปถามประโยคหนึ่งว่า ได้ยินมาว่าฮวนชิ่งเป็นพี่ชายของเจ้า แล้วก็ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ในห้องหนังสือ…ยืนอยู่เกือบสองชั่วยามถึงได้ออกมา
ถ้าหากไม่ได้หนานผิงผู้เป็นสาวใช้ใหญ่ของนายท่านสี่กล่าวเตือนเขาประโยคหนึ่งว่า หากว่าเรื่องนี้ไม่ข้องเกี่ยวมาถึงคนข้างกายของคุณชายใหญ่ นายท่านสี่ของพวกข้าก็คงไม่ยุ่งด้วยหรอก เขาก็คงยังไม่รู้ว่านี่คือนายท่านสี่กำลังเตือนเขาอยู่!
ฮวนสี่ไม่กล้าเล่าให้เฉิงสวี่ฟังมาโดยตลอด
ในเวลานั้นตัวฝูส่งข่าวมาให้พวกเขาที่เป็นบ่าวข้างกายของจวนทั้งหลาย ให้พวกเขาระดมเงินก้อนหนึ่ง เมื่อร่ำรวยทุกคนก็ได้ร่ำรวยไปด้วยกัน ฮวนชิ่งพี่ชายของเขาผู้ซึ่งดูแลรถม้าอยู่นอกจวนเอาชื่อของเขาไปเข้าร่วมด้วยโดยไม่บอกเขาสักคำ
เรื่องที่เขาไม่รู้เลย ทว่านายท่านสี่กลับรู้
หลายปีมานี้ศีรษะของเขาราวกับแขวนเอาไว้ด้วยดาบเล่มหนึ่ง ทำให้เขากลัวจนอยู่อย่างสงบเสงี่ยมและเชื่อฟัง ไม่กล้าทำเรื่องที่ผิดกฎระเบียบเลยแม้แต่นิดเดียว
หากว่าอีกประเดี๋ยวได้พบกับนายท่านสี่แล้ว ไม่รู้ว่านายท่านสี่จะจำเรื่องในปีนั้นขึ้นมาได้หรือไม่
ฮวนสี่ตัวสั่นเทาราวกับลูกวัวน้อย ติดตามเฉิงสวี่ไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย
สถานที่ที่นายท่านสี่อยู่ไม่ใช่ที่ที่ใครๆ ก็สามารถเข้ามาได้
ครั้งก่อนตอนมาฮวนสี่ก็มาด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก ตอนกลับก็กลับไปด้วยความกังวลใจ จึงไม่ได้สังเกตว่าเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร ครั้งนี้มีเฉิงสวี่นำทัพ ในใจของเขาจึงสงบเล็กน้อย ถึงได้กล้าพอจะมองสำรวจทิวทัศน์โดยรอบทั้งสี่ด้าน
เป็นดังที่คุณชายใหญ่เฉิงสวี่กล่าวเอาไว้ เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยมีภูเขาขนาดเล็กที่ตั้งซ้อนกันขึ้นมาจากก้อนหินทะเลสาบไท่หูเป็นจำนวนมาก ทิศตะวันออกก็กลุ่มหนึ่ง ทางทิศตะวันตกก็อีกกองหนึ่ง รูปร่างแตกต่างกันไป บ้างก็ประณีตงดงาม บ้างก็หนาและหนัก บ้างก็บางและเบา บ้างก็เรียบง่าย รวมถึงต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่านขึ้นฟ้า รกชัดไปด้วยหญ้าป่า และยังมีน้ำพุใสไหลเอื่อยๆ อยู่ระหว่างนั้นอีกด้วย คนที่ไม่รู้อาจจะเข้าใจว่าเดินเข้าไปในหุบเขาหรือป่าลึกที่ไหนสักแห่ง ทว่ากลับไม่เห็นต้นกุ้ยฮวาเลยแม้แต่ต้นเดียว
พวกเขาเพิ่งจะก้าวเท้าลงบนทางเดินหินขนาดเล็กภายในสวน ชิงเฟิงผู้เป็นบ่าวข้างกายของนายท่านสี่สวมชุดนักพรตเต้าเผาสีฟ้าครามทั้งตัวก็ปรากฏกายออกมาอยู่บนทางเดินทางเดินเล็ก
“คุณชายใหญ่!” เขาคารวะคนทั้งสอง “ท่านมาได้อย่างไรขอรับ เชิญไปรับน้ำชาที่ห้องโถงรับแขกก่อน ข้าจะไปรายงานพี่สาวหนานผิงให้ขอรับ”
เฉิงสวี่หยุดเท้าลง เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านอาสี่ไม่อยู่หรือ”
ไม่เช่นนั้นทำไมต้องให้หนานผิงออกมาต้อนรับแขกด้วย
ชิงเฟิงยิ้มพลางกล่าว “นายท่านสี่กับคุณชายหกกู้ไปที่ภูเขาจีหมิง กล่าวเอาไว้ว่าวันมะรืนถึงจะกลับมาขอรับ”
เฉิงสวี่ผิดหวังยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “เอาล่ะ รอให้ท่านอาสี่กลับมาแล้ว เจ้าก็ให้คนไปบอกข้าสักหน่อย ข้ามีธุระต้องการมาหาท่านอาสี่ วันนี้ข้าไม่เข้าไปแล้วก็แล้วกัน”
ชิงเฟิงยิ้มพลางขานตอบ “ขอรับ” จากนั้นส่งเฉิงสวี่กับฮวนสี่ออกไปจากเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย
…………………………………………………………………………
[1] งานเลี้ยงฉยงหลิน งานเลี้ยงที่ราชสำนักจัดขึ้นสำหรับต้อนรับบัณฑิตที่สอบผ่าน