ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 321 สบประมาท
ตอนที่ 321 สบประมาท
ข้างหน้าของฉู่หลิวเยว่ที่เผชิญกับตาข่ายที่มีสีดำไปทั้งแถบ
ตาข่ายนั้นแปลกมากขณะที่นางติดอยู่ในนั้น แสงทุกอย่างได้ถูกกั้นอยู่ข้างนอก มองไม่เห็นอันใดเลยสักอย่างต่อมานางก็รู้สึกว่าตัวเองถูกลักพาตัวไป
นางเพิ่งจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงขู่ที่แหบแห้งดังขึ้นข้างหู
“ถ้าอยากจะตายเร็วขึ้นหน่อย ก็ตะโกนขอความช่วยเหลือได้เลย”
ฉู่หลิวเยว่ขยับริมฝีปาก แต่ไม่ได้เอ่ยปากแต่อย่างใด
ถึงแม่ว่าจะไม่เห็นหน้าของอีกฝ่าย แต่นางก็รู้สึกคุ้นกลิ่นอายของคนคนนี้มาก…
ใช่แล้ว คนคนนี้ก็คือคนที่อยู่ข้างหรงเจินคนนั้น
ก่อนหน้านี้หรงเจินมาหานางเป็นการส่วนตัว และคนที่ลงมือกับนางก็คือคนนี้!
หรงเจินเคยบอกว่า ถ้างานสมาคมเยาวชนจบลงแล้วจะพานางออกไปในป่านอกเมืองด้วยตัวเอง ไม่นึกว่านางจะมาอย่างกะทันหันแบบนี้ แม้แต่วันเดียวก็ไม่ยอมรอ
ฉู่หลิวเยว่หยิบมีดออกมา และลองกรีดตาข่ายนั้นดู
ในความมืดนั้น ได้ยินเพียงเสียงที่แสบแก้วหูดังขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ตกใจ เพราะข้างในตาข่ายนี้มีเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งมาก
“เหอะ ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว จากความสามารถของเจ้าในตอนนี้ ออกมาจากทางนี้ไม่ได้อยู่แล้วล่ะ”
เสียงแหบแห้งประหลาดก็ดังขึ้นอีกและน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็หลับตาและเลือกที่จะเงียบลง
หรงเจินจะมาสร้างความวุ่นวายให้นางพอดีเลย นางก็อยากให้เรื่องเหล่านี้จบสิ้นเหมือนกัน
…
ฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถเห็นสถานการณ์ข้างนอกได้ สัมผัสได้เพียงว่าตัวเป็นกำลังถูกลักพาตัวอย่างรวดเร็ว
นางแอบสมมติเส้นทางที่พวกเขาพาไปในใจ ก็พบว่ากำลังออกนอกเมืองไป
ไม่รู้ว่าคนคนนี้ใช้วิธีอันใด ถึงสามารถเดินทางอย่างราบรื่นโดยไม่มีใครสังเกตได้ตลอดทั้งทาง
ขณะที่กำลังออกนอกประตูเมืองไป ฉู่หลิวเยว่ก็ได้ยินเสียงผู้คุ้มกันประตู
แต่ก็ยังไม่มีคนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ และแล้วนางก็ถูกพาออกนอกเมืองไปอย่างง่ายดาย หลังออกนอกเมืองไปแล้ว คนคนนั้นก็ผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น
จู่ๆ ไหล่ของนางก็รู้สึกหนักขึ้นมา ถวนจื่อก็โผล่ออกมา
มันถูไถอยู่ที่คอของฉู่หลิวเยว่ ประหนึ่งว่ากำลังกระวนกระวายอยู่
ฉู่หลิวเยว่คว้ามันเข้าในอ้อมกอดและปลอบเบาๆ
นางมั่นใจได้ว่าถวนจื่อสามารถกัดให้ตาข่ายให้ขาดได้ แต่…ตอนนี้นางไม่ได้คิดจะทำอันใด เหมือนว่าถวนจื่อจะรู้ความคิดของนาง จึงอยู่ในอ้อมกอดของนางอย่างนิ่งๆ
…
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดคนคนนั้นก็หยุดเดิน
ฉู่หลิวเยว่ตบตูดของถวนจื่อ ทำให้มันหันกลับไปและกลั้นหายใจ
พรึบ!
ตาข่ายถูกเปิดออกทันที
แสงที่แยงตาสาดส่องเข้ามาทันที
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาด้วยสัญชาตญาณ เพื่อให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันของแสง
“ฉู่หลิวเยว่”
เสียงที่เย่อหยิ่งดังมาจข้างหลังของนาง
ฉู่หลิวเยว่หันไปมอง
คนคนนั้นก็คือหรงเจิน
“เจ้าคงจะคุ้นเคยกับที่นี่ดีสินะ?”
หรงเจินเอามือทั้งสองกอดอก ก่อนจะถามอย่างเย็นชา
ฉู่หลิวเยว่หันมองไปรอบๆ ก็เห็นเป็นสีเขียวชอุ่มทั่วทุกทิศทางนี่ก็คือป่าไม้นอกเมือง นางเงียบสักพัก เหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“รู้สึกคุ้นอยู่เหมือนกัน…ตอนนั้นข้าอยู่ที่นี่ และเกือบจะถูกคนที่ฉู่เซียนหมิ่นส่งมาฆ่าตายไปแล้ว”
“ที่นี่?”
สีหน้าของหรงเจินเปลี่ยนไปทันที
“ที่ที่เจ้าวาดลงในแผนที่ไม่ใช่ที่นี่สักหน่อย”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเจื่อน
“ใช่ แต่นั่นเป็นที่ที่ข้าหนีไปอยู่ภายหลัง ตอนนั้นพวกเขาได้ทำร้ายข้าจนสลบไป ก่อนจะพาข้ามาที่นี่ และคิดจะฆ่าข้า แค่ข้าตื่นพอดีจึงหนีออกมาได้”
หรงเจินมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสีหน้าที่กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
“อย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าเล่นลิ้นกับข้าก็แล้วกัน”
ในงานสมาคมเยาวชน ฉู่หลิวเยว่แสดงผลงานได้โดดเด่นมาก อีกอย่างยังแสดงให้คนเห็นถึงความสามารถที่เหนือกว่าทุกคนอีกด้วย
เรื่องนี้จะไม่ให้นางระวังไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่
“ที่นี่ไม่มีผู้คน ข้ารู้ว่าข้าไม่ใช่แม้แต่คู่ต่อสู้ของพวกเจ้า ฉะนั้นข้าจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ขอแค่พวกเจ้าสามารถปล่อยข้าไป เรื่องอื่นก็ไม่มีปัญหา”
หรงเจินหัวเราะเยาะ
“เจ้านี่มันฉลาดจริงๆ”
ฉู่หลิวเยว่ไม่พูดไม่จาต่อแล้วค่อยๆ ก้มหน้าลง
“พาข้าไปเดี๋ยวนี้”
หรงเจินส่งสายตาให้กับเมิ่งเหล่าที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง
“เมิ่งเหล่า ดูนางอย่าให้ละสายตาเด็ดขาด”
“องค์หญิงสี่วางใจเถิด”
หลังจากที่เสียงแหบแห้งดังขึ้นข้างหู จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกเหมือนมีลมเย็นพัดมาจากข้างหลัง
แววตาของนางหวาดกลัวและระวังขึ้นทันที
แต่เพียงแค่พริบตาเดียว นางก็สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเอง และแสร้งทำเป็นยืนอยู่ตรงนั้นไม่รู้เรื่องอันใด
พรึบ!
เชือกหนาเท่านิ้วหัวแม่มือพันรอบคอของนางเอาไว้แน่น
ปลายเชือกอีกข้างนั้น เมิ่งเหล่าเป็นคนจับไว้
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกโมโห
นางไม่เคยทรมานขนาดนี้มาก่อน
“พูดให้มันจริงหน่อย” หรงเจินตะโกน
“ไม่อย่างงั้น ระวังเชือกเส้นนี้มันจะเอาชีวิตของเจ้าไป”
ฉู่หลิวเยว่เก็บความโมโหในใจเอาไว้ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“เจ้าเดินนำไปข้างหน้าซะ”
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเดินขึ้นไปข้างหน้า
เพิ่งจะเดินไป เชือกที่อยู่บนคอก็ขยับตามด้วย
เมิ่งเหล่าและหรงเจินตามอยู่ข้างหลัง
ไม่ง่ายเลยกว่าฉู่หลิวเยว่จะขอร้องถวนจื่อไม่ให้ออกมาได้ และเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ
หรงเจินเฝ้ามองสถานการณและอดที่จะหัวเราะลั่นไม่ได้
“ถ้าทุกคนที่อยู่ในวังเห็นเหตุการณ์นนี้เขาต้องตะลึงจนอ้าปากค้างแน่นอน ฉู่หลิวเยว่ที่ชื่อเสียงโด่งดัง ก็มีด้านที่ทรหดแบบนี้เหมือนกัน ฮ่าๆ”
หรงเจินรู้สึกได้ใจ
ได้ที่หนึ่งในงานสมาคมเยาวชนแล้วอย่างใด?
มีชีพจรตี้จิงแล้วจะเป็นอย่างใด?
ต่อหน้านางก็เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง
“ได้ข่าวว่าวันนี้องค์ชายหลีหวันและองค์รัชทายาท ทะเลาะกันต่อนหน้าเสด็จพ่อเพื่อแย่งเจ้างั้นหรือ เหอะ ถ้าพวกเขามาเห็นสภาพของเจ้าในตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเสียดายทีหลังหรือไม่ ฉู่หลิวเยว่เจ้าช่างมีปัญหาจริง ไม่พูดไม่จา ไม่ได้ทำอันใด ก็เกือบจะทำให้เสด็จพ่อโค่นบัลลังก์รัชทายาทได้…”
บนหน้าของฉู่หลิวเยว่ไม่มีความรู้สึกใดๆ
“ระหว่างข้ากับองค์รัชทายาทนั้นตัดขาดกันตั้งนานแล้ว เรื่องในวันนี้นั้นข้าก็นึกไม่ถึงเช่นกัน ถ้าองค์หญิงสี่โมโหเพราะเรื่องนั้น…”
“โมโห…ข้าโมโหอันใด องค์รัชทายาทไร้ความสามารถแล้วจะโทษคนอื่นได้อย่างใด”
หรงเจินพูดประชดประชัน
ฉู่หลิวเยว่นิ่งไป
น่าแปลกจริงๆ…
หรงเจินและหรงจิ้นเป็นลูกแท้ๆ ของจักรพรรดินีเหมือนกัน อีกอย่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด เหตุใดจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนี้ไปได้
ฟังจากน้ำเสียงของนางแล้วก็ดูเหมือนว่าอยากจะให้หรงจิ้นออกจากบัลลังก์ให้ได้…
“รอให้พลังจิตของข้าหายดีเสียก่อน สักวัน…”
สักวันนางจะทำให้เสด็จแม่รู้ว่า หรงจิ้นนั้นไม่มีประโยชน์อันใดเลยสักอย่าง
นางเก่งกว่าเขาตั้งเยอะ
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินคำพูดนี้ของนางแล้ว ในใจก็รู้สึกมั่นใจแล้วว่าหรงเจินทะเลาะกันกับหรงจิ้นแน่นอน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องอันใด
ขณะที่นางกำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเชือกที่คอถูกรัดแน่นขึ้นอย่างกะทันหัน
นางหายใจหอบจนเกือบจะเป็นลมไป
เมื่อรีบหันไปแล้ว กลับเห็นหรงเจินที่หัวเราะอย่างมีความสุขอยู่
“ฮ่าๆ! ช่างมีความหมายจริงๆ เมิ่งเหล่าเจ้าว่าเหตุใดองค์หญิงอย่างข้าถึงไม่มีความคิดที่จะทำแบบนี้นะ? เอาแบบนี้ดีกว่าฉู่หลิวเยว่ ถ้าเจ้าเลียนเสียงสุนัข ข้าจะให้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นโมฆะทั้งหมดเลยดีหรือไม่”