ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1649 ฆ่าพวกเขาซะ
ตอนที่ 1649 ฆ่าพวกเขาซะ
……….
ตอนที่คนคนหนึ่งตั้งใจทำอันใดสักอย่าง เวลามันก็ผ่านไปเร็วเสมอ
ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวเล่นหมากด้วยกัน สองชั่วยามผ่านไป พวกเขาเพิ่งลงไปได้ครึ่งกระดานเท่านั้น
ลำแสงบนกระดานหมากรุกกะพริบขึ้น แต่ละฝ่ายครอบครองพื้นที่อย่างละครึ่ง ตัวหมากสีทองและสีแดงกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
แต่อย่างใดก็ตามอารมณ์ของฉู่หลิวเยว่ก็สงบมากขึ้น
อีกทั้งเมื่อได้ประมือกับหรงซิวด้วยเวลานานขนาดนี้ ก็ทำให้ฉู่หลิวเยว่มีความคิดหลายอย่างเพิ่มมากขึ้น
ตอนที่ท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง ในที่สุดกระดานหมากนี้ก็ได้ถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว
พรึ่บ!
ในแววตาของฉู่หลิวเยว่มีความเปล่งประกายสดใสพาดผ่าน
การที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน นางไม่เพียงไม่รู้สึกอ่อนล้า แต่กลับมีสมาธิจดจ่อมากขึ้นอีกด้วย
ดวงตาของนางจับจ้องไปที่กระดานหมากรุก สมองกำลังคิดทบทวนอย่างบ้าคลั่ง ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ได้มีความเป็นไปได้จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในสมอง!
หรงซิวเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของนาง
เมื่อเห็นแววตาคู่นั้นของนางเปล่งประกาย เขาก็หัวเราะเสียงต่ำออกมาอย่างอดไม่ได้
เวลาผ่านมานานขนาดนี้ แต่นางกลับไม่เปลี่ยนไปเลย
พรึ่บ!
หรงซิวสะบัดข้อมือ พลังปราณดั้งเดิมกลุ่มหนึ่งได้ควบแน่นเป็นตัวหมากสีทอง จากนั้นก็ลอยออกมาจากนิ้วเรียวขาวของเขา และตกลงบนกระดานหมากรุก!
เพียงชั่วพริบตาเดียว สถานการณ์ก็พลิกผันไปอย่างมาก!
ราวกับมีมังกรสองตัวที่มีพลังกำลังสูสีกันและกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด เดิมทีพวกมันสู้กันอย่างพอฟัดพอเหวี่ยง แต่ในตอนนี้กลับมีกระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างกะทันหัน! ก่อนจะตัดหัวมังกรของฉู่หลิวเยว่ทันที!
หนึ่งกระบวนท่า… ตัดสินแพ้ชนะ!
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ชะงักไป และเบิกตากว้าง
การวางหมากครั้งนี้ของหรงซิวอยู่นอกเหนือจากการคาดเดาของนางทั้งหมด!
สามารถสังหารนางได้โดยตรงโดยไม่ต้องออกเสียง!
นางจ้องกระดานหมากรุกตาเขม็ง
เมื่อถึงตอนนี้ นางถึงได้รู้ว่าเดิมทีหรงซิวได้วางแผนไว้ก่อนอยู่แล้ว เพียงแค่รอเชิญนางลงโอ่งทีละก้าวไปเท่านั้น
นางคิดผิดไปว่าพลังการต่อสู้ของพวกเขานั้นเท่ากัน แต่ความจริงแล้วนางอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาตั้งนานแล้ว
ตู้ม!
กระดานหมากรุกแตกออกเป็นเสี่ยงอย่างกะทันหัน ก่อนจะกลายเป็นประกายแสงจำนวนนับไม่ถ้วน และจางหายไปอย่างรวดเร็ว!
ฉู่หลิวเยว่กลับยังคงยืนชะงักค้างอยู่ที่เดิม เหมือนว่ายังไม่สามารถดึงสติกลับมาได้
หรงซิวกำลังจะสาวเท้าก้าวขึ้นไปด้านหน้า ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็พูดว่า
“หรงซิว ช่วยคุ้มครองข้าก่อน ข้าคิดอันใดบางอย่างขึ้นมาได้”
หรงซิวเลิกคิ้วกระบี่ขึ้นเล็กน้อย
คำสั่งของภรรยาตนเอง ไหนเลยจะกล้าฝ่าฝืน
“ได้”
เขาไม่ได้เดินสาวเท้าขึ้นไปด้านหน้าอีก ได้แต่ยกมือขึ้นไพล่หลัง และยืนรอด้วยความอดทน
ฉู่หลิวเยว่นั่งสมาธิลงในทันที สองมือวางลงที่หน้าตัก แล้วหลับตาลง พร้อมรวบรวมสมาธิ
ภายในสมองมีค่ายกลอันสลับซับซ้อนแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ
จากนั้นก็เป็น ค่ายกลที่สอง ที่สาม…
ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไรค่ายกลก็ปรากฏมากขึ้นเท่านั้น
ภายในช่วงเวลาหนึ่ง ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มทดลองนำค่ายกลทั้งหมดนั้นมาเชื่อมโยงกัน!
ค่ายกลเหล่านี้เป็นสิ่งที่นางเคยเรียนรู้กับพี่เป่ามาก่อนหน้านี้แล้ว หากพูดให้ถูกต้องก็คือ ค่ายกลทั้งหมดนี้มีความใกล้เคียงกับค่ายกลกระสวยสวรรค์อยู่เล็กน้อย
ก่อนหน้านี้นางต้องการค้นหาความลึกลับของค่ายกลกระสวยสวรรค์ผ่านโครงสร้างค่ายกลเหล่านี้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ
หลังจากเล่นหมากรุกกับหรงซิวหนึ่งคืน ทำให้นางตระหนักถึงอันใดบางอย่างขึ้นมาได้
เหมือนว่านางจะสามารถสัมผัสอุปสรรคที่มองไม่เห็นได้อย่างคลุมเครือ
คิ้วของฉู่หลิวเยว่ขยับเล็กน้อย
นั่นมัน… ธรณีประตูของปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชา!
ต่อให้เป็นคนที่กำเริบเสิบสานอย่างฉู่หลิวเยว่ เมื่อรับรู้ถึงสิ่งนี้ก็ต้องชะงักค้างไป
นางเองก็คิดไม่ถึงเลยว่า ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นางจะมีโอกาสสัมผัสการทะลวงด่านของปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชา!
แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะสามารถทะลวงด่านปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชามาได้นานแล้ว
แต่ในระดับราชามาจนถึงระดับมหาราชา ระหว่างนั้นมีระยะห่างค่อนข้างมาก
แม้กระทั่งผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็ต้องหยุดที่ปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชาถึงสิบกว่าปี จนในที่สุดก็สามารถข้ามธรณีประตูนั้นขึ้นสู่ปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชา!
แต่ว่านางใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น…
แบบนี้มันจะมากเกินไปแล้ว!
บางทีอาจจะเป็นเพราะนางสามารถจดจำค่ายกลระดับสูงจำนวนมากมาได้ตั้งนานแล้ว
หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะนางมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์
หรืออาจจะเป็นเพราะนางได้ประมือกับหรงซิว แล้วทำให้เข้าใจขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน…
แต่ไม่ว่าอย่างใดมันก็รวดเร็วจนน่าตกใจ
ในเมื่อเป็นโอกาสจากสวรรค์ เช่นนั้นก็จะต้องรีบคว้าเอาไว้!
ตอนนี้ขอบฟ้ามีลวดลายสีขาวปรากฏขึ้นมาจางๆ
หรงซิวเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย ในแววตาของเขามีระลอกคลื่นพวยพุ่ง แต่จากนั้นก็หายไปทันที
…
ในขณะเดียวกันนั้นเอง สถานที่แห่งหนึ่งภายในสุสานสังหารเทพ มีคนไม่กี่คนที่กำลังเดินทางมุ่งหน้ามาอย่างเชื่องช้า
“ผู้อาวุโสอูเผิง พวกเราพักสักหน่อยดีหรือไม่?”
หนานอีอีหันไปมองหนานอวี่สิงที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่าเขามีใบหน้าซีดขาว ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ผู้อาวุโสอูเผิงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอันใด หนานอวี่สิงกลับเป็นฝ่ายที่ส่ายหน้า
“เดี๋ยวก็จะถึงแล้ว พวกเราเดินทางตรงไปให้ถึงเลยดีกว่า”
หนานอีอีร้องไห้มาตลอดทาง ตอนนี้ดวงตาของนางบวมแดงเหมือนกับลูกเห่อเถา (ลูกวอลนัท) ภายในรูม่านตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดง
“แต่ว่า แต่ว่าร่างกายของพี่…”
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ป่าวิญญาณสีชาด หนานอวี่สิงถูกใบไม้สีชาดเหล่านั้นล้อมโจมตี พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะสามารถหนีออกมาได้
แต่ผู้อาวุโสทั้งสองและหนานอีอีก็ได้รับบาดเจ็บ ส่วนหนานอวี่สิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง แทบจะทิ้งครึ่งชีวิตเอาไว้ในนั้น
ทั่วทั้งร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ไม่มีจุดใดสมประกอบเลย
ใบไม้สีชาดเหล่านั้นก็ยังมีพิษด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสทั้งสองนำตัวเขาออกมาได้ทันเวลา และมอบโอสถกับเขาทันที เกรงว่าตอนนี้หนานอวี่สิงคงจะต้องสลบไสลไม่ฟื้นคืน
ระหว่างทางนั้นได้ให้ผู้อาวุโสไป๋ถงและผู้อาวุโสอูเผิงพยุงหนานอวี่สิงมาตลอดทาง
ผู้อาวุโสไป๋ถงพูดขึ้นอย่างลังเลว่า
“คุณชายใหญ่ ไม่ว่าอย่างใดของชิ้นนั้นก็ยังอยู่ในสุสานสังหารเทพ ในเมื่อพวกเราก็เข้ามาแล้ว ตอนนี้ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อน สุขภาพของท่านสำคัญที่สุด”
หนานอวี่สิงกัดฟันกรอด
เขารู้ว่าอีกฝ่ายหวังดีกับเขา
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็จะยิ่งทำให้เขาคิดได้ว่าสภาพของเขาในตอนนี้จนตรอกมากเพียงใด!
เขามีความภาคภูมิใจในตนเองมาโดยตลอด และไม่เคยมีสภาพเช่นนี้มาก่อนเลย!
“ไม่ ไม่ต้อง…”
เขาดิ้นรนจะก้าวเดินไปด้านหน้า แต่ทันใดนั้นเองขาของเขาก็อ่อนยวบ และล้มลงไปที่พื้น!
“คุณชายใหญ่!”
“พี่ใหญ่!”
ใบหน้าของผู้อาวุโสไป๋ถงและหนานอีอีเต็มไปด้วยความกังวล และรีบพยุงอีกฝ่ายขึ้นมา
มือที่อยู่ในแขนเสื้อของผู้อาวุโสอูเผิงกำแน่นขึ้น ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นมาว่า
“คุณชายใหญ่ ท่านหยุดพักสักประเดี๋ยวเถอะ ภายในร่างกายของท่านยังมีพิษตกค้าง หากยังคงเดินหน้าต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ดีแน่”
ผู้อาวุโสไป๋ถงได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วยในทันที
หนานอวี่สิงจึงพยักหน้าอย่างจนปัญญา
ในตอนที่ทุกคนกำลังจะหยุดฝีเท้าเพื่อพักผ่อน หางตาของผู้อาวุโสไป๋ถงเหล่ไปมอง ทันใดนั้นก็เห็นเงาร่างสูงที่ดูคุ้นเคยจากในระยะไกล
ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างแล้ว เขาที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ก็ดูเจิดจ้าดั่งเทพเซียน
“เขา… เขานั่นเอง?”
บริเวณไม่ไกลจากเขา ยังมีแม่นางที่สวมชุดแดงผู้หนึ่งกำลังนั่งสมาธิ ราวกับกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่
นั่นมันสองคนที่เขาเจอก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ!
เสียงของผู้อาวุโสไป๋ถงดึงดูดความสนใจอีกสามคนในทันที
หนานอวี่สิงเงยหน้าขึ้นมอง หลังจากเห็นเงาร่างของคนทั้งสองอย่างชัดเจนแล้ว ความขุ่นเคืองและโมโหที่อยู่ภายในใจก็ปะทุขึ้นมาในทันที!
ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา เขาจะมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างใด?
“ฆ่าพวกเขา… ฆ่าพวกเขาซะ!”
……….