ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1587 หน้าถอดสี
ตอนที่ 1587 หน้าถอดสี
……….
อี้เจาและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้ามากกว่าเดิม
มีเพียงผู้อาวุโสอี้อวี่คนเดียวเท่านั้นที่เลิกคิ้วขึ้นอย่างรวดเร็ว
อี้ซินทะลวงด่านได้แล้วหรือ?
เหตุใดเขาถึงไม่รู้เรื่องเลย?
ต่อให้จะถ่อมตัวขนาดไหน เรื่องเช่นนี้ก็ไม่มีทางปิดบังได้หรอกมั้ง?
หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เช่นนั้น… การแย่งชิงตำแหน่งนายน้อย เกรงว่าจะต้องดุเดือดไม่น้อยเลยทีเดียว…
พรึ่บ!
ประกายไฟเล็กๆ นั้นระเบิดขึ้น จากนั้นก็ดับมอดลงในทันที
ท้ายที่สุดแล้วตำแหน่งสัญลักษณ์ของเส้นที่สี่ก็ไม่สามารถจุดประกายไฟติด
รอบข้างเงียบไปอย่างกะทันหัน ทุกคนต่างมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป
อี้เจาและคนอื่นๆ มีสีหน้าผิดหวัง ผู้อาวุโสอี้กงลอบถอนหายใจออกมา
แต่ทว่าอี้ซินกลับมีสีหน้าเป็นปกติ ความเสียดายปรากฏบนใบหน้าของเด็กหนุ่มอยู่จางๆ แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ดูจากท่าทางแล้ว เหมือนว่าเขาก็สามารถคาดเดาเอาไว้ได้
เขาเงยหน้าขึ้นมา
“อี้ซินไร้ความสามารถ ทำให้ท่านประมุขและผู้อาวุโสผิดหวังแล้ว”
อี้เจามีใบหน้าเคร่งเครียดมาโดยตลอด แต่ในครั้งนี้กลับปรากฏรอยยิ้มที่หาดูได้ยาก
“ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง แม้ว่าเจ้าจะยังเปิดเส้นชีพจรที่สี่ไม่สำเร็จ แต่ก็น่าจะเร็วๆ นี้แหละใช่หรือไม่?”
อี้ซินพยักหน้า ท่าทางรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ความจริงแล้วผู้เยาว์ก็อยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน ช่วงนี้สามารถสัมผัสบานประตูได้อย่างยากลำบาก แต่พรสวรรค์มีจำกัด ดังนั้นจึงไม่สามารถทะลวงด่านได้อย่างถ่องแท้”
“เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งแล้ว”
ขณะที่อี้เจากำลังพูดอยู่นั้น เขาก็เหลือบสายตามองผู้อาวุโสอี้ซัง
“อี้ซัง อี้ซินเป็นศิษย์ของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่ชี้แนะให้ดี?”
ผู้อาวุโสอี้ซังพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าสามารถช่วยเขาได้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่สามารถช่วยได้ตลอดชีวิต ตอนนี้เพิ่งจะเปิดเส้นชีพจรที่สี่ แม้กระทั่งไม่สามารถทำความเข้าใจด้วยตนเองได้ ต่อไปหลังจากนี้จะต้องลำบากมากกว่านี้แน่นอนไม่ใช่หรือ? เรื่องของการบำเพ็ญเพียร ท้ายที่สุดแล้วก็จำเป็นจะต้องพึ่งตนเอง”
ทันทีที่คำพูดนี้จบลง คนจำนวนไม่น้อยก็หันไปมองทางผู้อาวุโสอี้กง
และใบหน้าของเขาก็ดำคล้ำขึ้นหลายส่วนจริงๆ
ไม่มีใครไม่รู้ว่าช่วงนี้อี้หรานติดตามคอยบำเพ็ญเพียรกับผู้อาวุโสอี้กงอยู่ตลอด อีกทั้งเขายังให้คำชี้แนะเป็นจำนวนมาก
เมื่อผู้อาวุโสอี้ซังพูดขึ้นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเป็นการตบหน้าเขาไม่ใช่หรือ?
“อีกทั้งอี้ซินยังมีนิสัยอดทน หนักแน่น ข้าเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน”
อี้เจาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เขาสามารถมองออก อี้ซินอยู่ห่างจากเส้นชีพจรที่สี่เพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น
หากเลื่อนเวลาจัดพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษออกไป… ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเพิ่มปัญหาให้กับอี้หรานไม่น้อย
“เจ้ากลับไปฝึกฝนให้ดีเถอะ”
อี้เจาพูดกำชับอีกครั้ง จากนั้นก็ปล่อยให้อี้ซินออกมา
“คนต่อไป!”
เมื่อเห็นว่าอี้ซินสามารถเปิดเส้นชีพจรได้เพียงสามเส้นเท่านั้น คนที่อยู่ด้านหลังก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับอัจฉริยะชั้นยอดได้ แต่พวกเขาก็ไม่อยากถูกดึงให้ห่างกันออกไป
ยังดีที่ระดับคะแนนของอี้ซินไม่ได้ทิ้งห่างมากจนทำให้เขารู้สึกเสียใจ
เมื่อผู้อาวุโสอี้กงเห็นว่ายังไม่มีใครสามารถเปิดเส้นชีพจรที่สี่ได้เขาก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
เปิดเส้นชีพจรสามเส้น แน่นอนว่าระดับพรสวรรค์จะต้องมีสูงมีต่ำ
แต่ไม่ว่าอย่างใดก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่สามารถเปิดเส้นชีพจรที่สี่ได้แล้วก็นับว่ายังห่างกันอีกไกล
ตอนนี้เขาจึงเพียงหวังว่าอี้หรานจะสามารถทะลวงด่านได้อย่างราบรื่น…
…
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ทุกคนทยอยทำการทดสอบในจัตุรัสอย่างเป็นระเบียบ
ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น
ผู้ที่สามารถมาอยู่ที่บริเวณนี้ได้ ล้วนแล้วแต่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่า อย่างน้อยพวกเขาสามารถเปิดชีพจรเส้นที่สามได้แล้ว
แต่เนื่องจากผู้ที่มาทดสอบล้วนเป็นหงส์ทองคำรุ่นเยาว์ ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วจึงยังไม่สามารถเปิดเส้นชีพจรที่สี่ได้
การทดสอบผ่านไปแล้วยี่สิบกว่าคน และยังไม่มีใครสามารถเปิดเส้นชีพจรที่สี่ได้เลยสักคน
อี้เจาเงยหน้าหันไปมองทางหุบเขาเฟิ่งหวงอย่างอดไม่ได้ แววตาของเขาก็ดำมืดมากขึ้น
…
ผู้อาวุโสอี้กงเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมาแล้ว
เพราะได้ทำการทดสอบไปได้มากกว่าครึ่งแล้ว แต่อี้หรานก็ยังไม่มา
เขาไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้เขาได้กำชับเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าห้ามพลาดงานพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษในครั้งนี้เด็ดขาด
ถ้ามาไม่ทัน ต่อให้สามารถเปิดเส้นชีพจรที่สี่ได้ มันก็ไม่มีความหมาย
และในเวลานี้อี้หรานก็ควรจะมาถึงได้แล้ว…
ผู้อาวุโสอี้กงขมวดคิ้วมุ่น
หรือว่าตอนที่เขาทะลวงด่านจะประสบปัญหากับอันใดบางอย่าง?
“ผู้อาวุโสสูงสุด เด็กเหล่านี้กำลังจะทดสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว อี้หรานจะมาหรือไม่มากันแน่?”
ผู้อาวุโสอี้อวี่ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“หากช้ากว่านี้ เกรงว่าจะไม่ทันการเอา!”
เดิมทีผู้อาวุโสอี้กงก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รู้สึกวุ่นวายใจมากกว่าเดิม
“เขาจะต้องมาอย่างแน่นอน”
ผู้อาวุโสอี้อวี่กลอกตาขึ้นแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เช่นนั้น… ท่านจะไปดูด้วยตัวเองดีหรือไม่? ไม่ว่าอย่างใดไปดูเขาสักหน่อยจะได้สบายใจไม่ใช่หรือ? อี้หรานลำบากมาโดยตลอด พวกเราจึงไม่อยากเห็นเขามาสายจนเสียงานเสียการ ท่านคิดว่าอย่างใด?”
แม้ว่าผู้อาวุโสอี้กงจะไม่ชอบเขา แต่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ หัวใจของเขาก็รู้สึกกระตุกไป
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ควรจะระมัดระวังเอาไว้ก่อน
เขาหันไปมองทางอี้เจาอย่างลังเล
อี้เจาพยักหน้า
ผู้อาวุโสอี้กงจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ขอบคุณท่านประมุขมาก ข้าจะรีบไปรีบมา”
ขณะที่เขาพูดเขาก็เคลื่อนฝีเท้ามุ่งหน้าไปทางหุบเขาเฟิ่งหวง
อย่างใดก็ตามในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังกึกก้องมาจากระยะไกลอย่างกะทันหัน!
ผู้อาวุโสอี้กงตกใจอย่างมากแล้วรีบหันกลับไปมอง
ผู้คนที่อยู่ในจัตุรัสก็หันกลับไปมองเช่นกัน
ทันใดนั้นเองก็เห็นว่ามีร่างหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากเงามืดของภูเขาในระยะไกล!
เปลวเพลิงสีทองชาดลุกท่วมบนร่างกายเขาอย่างรุนแรง กระแสลมปราณน่าตกใจ!
พลังแห่งสวรรค์และโลกรอบข้างก็เริ่มพุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว!
ผู้อาวุโสอี้กงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เพราะนั่นคืออี้หราน!
ดูจากท่าทางแล้วเหมือนว่าเขาสามารถทะลวงด่านได้แล้ว!
เหมือนกับต้องการยืนยันความคิดของเขา เปลวเพลิงบนร่างของอี้หรานรวมตัวขึ้นมาในทันที ก่อนจะก่อร่างเป็นขนนกขนาดยาว
ขนนกค่อยๆ เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า
ระหว่างคิ้วของอี้หรานมีลวดลายสีทองชาดสามสายปรากฏขึ้น ลำแสงสว่างสดใส
จากนั้นลวดลายของขนนกเส้นที่สี่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า!
ผู้อาวุโสอี้กงดีใจจนบ้าคลั่ง
อย่างใดก็ตามในตอนที่ขนนกนั้นกำลังจะก่อร่างสร้างตัวได้สำเร็จ ในส่วนลึกของหุบเขาเฟิ่งหวง ก็มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน!
ในตอนนั้นเองเปลวเพลิงสีทองชาดก็กระจายออกไป ฟ้าดินก็สั่นสะเทือน!
……….