ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1586 งานพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ
ตอนที่ 1586 งานพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ
……….
อี้เจาพยักหน้า จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปด้านนอก
ประตูสีทองรมดำขนาดใหญ่เปิดออกเอง
แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ส่องเข้ามาที่ด้านใน
อี้เจาเชิดคางขึ้นมาเล็กน้อย แล้วมองออกไปด้านนอก
จากตำแหน่งนี้ไปจนถึงจัตุรัสด้านหน้า ต้องเดินลงบันไดเก้าขั้น
ดังนั้นเมื่อยืนอยู่ตรงนี้ก็จะสามารถมองเห็นทั้งจัตุรัสได้อย่างง่ายดาย
เมื่อประตูบานใหญ่เปิดออก เงาร่างหลายร่างปรากฏกายขึ้น เดิมทีจัตุรัสที่มีเสียงดังจอแจ กลับเงียบลงในทันที
ทุกสายตามองมาทางนี้
จากนั้นทุกคนก็ทำความเคารพโดยพร้อมเพรียง
“คารวะท่านประมุข!”
ผู้คนทั้งสองฟากฝั่งก้มหน้าทำความเคารพ
แม้ว่าจะมีจำนวนคนไม่มาก แต่คนที่สามารถมาหยุดอยู่ตรงนี้ได้ ล้วนเป็นผู้คนที่โดดเด่นที่สุดในเผ่าหงส์ทองคำ
ขณะที่ยืนอยู่บริเวณนั้นก็มีแรงกดดันอันไร้รูปร่างปรากฏขึ้น
อี้เจาเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าราบเรียบ สายตาของเขามองไปทางหุบเขาเฟิ่งหวง
เมฆดำรวมตัว ทัณฑ์สวรรค์ส่งเสียงดังครืนคราน
เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวที่บริเวณนั้นยังไม่หยุดนิ่ง
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไม่รู้ว่าจะสงบลงเมื่อใด…
ลมปราณอันทรงพลังแผ่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว
“ลุกขึ้นเถอะ”
ทุกคนถึงได้ลุกขึ้นยืน
อี้เจากวาดสายตามองโดยรอบ ตอนที่เขาเห็นกลุ่มคนผู้เยาว์ยืนรวมตัวอยู่ด้านหนึ่ง สายตาของเขาก็หยุดชะงักไป
เมื่อพวกเขาสัมผัสได้ว่าท่านประมุขมองมา กลุ่มคนผู้เยาว์เหล่านี้ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาในทันที
ในกลุ่มของพวกเขานั้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่เพิ่งเข้าร่วมงานพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่ได้มายืนบริเวณจัตุรัสหน้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง
จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะประหม่าและตื่นเต้น
ยังดีที่อี้เจาถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว แรงกดดันอันไร้รูปร่างบนร่างกายเขาถึงค่อยจางหายไป
อี้เจาพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มและจากระยะไกล ข้อความที่กระจายออกมาดังกังวานในโสตประสาทของทุกคน
“วันนี้คืองานพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ และซึ่งเผ่าหงส์ทองคำของพวกเราครบรอบร้อยปี”
“ครั้งนี้นอกจากจะมีการสักการะบรรพบุรุษ การทดสอบพรสวรรค์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่แล้ว ยังมีเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง…นั่นคือการคัดเลือกนายน้อยของเผ่าเรา!”
“ข้าได้รับการสืบทอดตำแหน่งประมุขเผ่ามาหลายพันปีแล้ว และตอนนี้ก็ถึงเวลาคัดเลือกผู้สืบทอดคนต่อไป!”
ทันทีที่สิ้นเสียงสีหน้าของคนจำนวนไม่น้อยก็มีความตื่นเต้นขึ้น
ความจริงแล้วพวกเขาก็รู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินด้วยตนเอง ก็รู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างอดไม่ได้
สำหรับเผ่าหงส์ทองคำแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีความหมายอย่างยิ่ง
ต่อให้คนทั่วไปจะรู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ในการคัดเลือกนั้น แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกสงสัยและตื่นเต้น
พวกเขาสามารถดูการคัดเลือกนายน้อยด้วยตาตนเองได้นั้นก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมาก!
อี้เจายกมือขึ้น จากนั้นก็ชี้ไปทางอี้หราน แต่หลังจากมองหาอยู่สักพัก เขากลับมองไม่เห็นเงาร่างที่คุ้นเคย จึงอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้
เมื่อครู่นี้เขากวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว จึงคิดว่าอี้หรานอยู่ด้านหลัง แต่ตอนนี้เขาเพิ่งพบว่าอี้หรานไม่ได้อยู่ที่นี่
การที่เขาหยุดชะงักไปชั่วครู่ เป็นการดึงดูดความสนใจของทุกผู้คนในทันที
คนจำนวนไม่น้อยต่างมองหน้ากัน
ซึ่งนั่นก็ถือเป็นเจตนาที่ดี
ในรุ่นของพวกเขา คนที่ควรจะได้ขึ้นไปคนแรกน่าจะเป็นอี้หราน
แต่ในตอนนี้เขายังไม่มา
ผู้อาวุโสอี้กงเห็นดังนั้นจึงรีบสาวเท้าเดินหน้าครึ่งก้าว แล้วอธิบายเสียงต่ำว่า
“ท่านประมุข ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้อี้หรานบอกกับข้าว่า เขาเข้าใจแก่นหลักไปไม่น้อย และเห็นสัญญาณในการทะลวงด่าน ช่วงนี้เขาจึงปิดด่านฝึกอยู่ตลอดเวลา อาจจะยังไม่ได้ออกมา”
การที่มาเข้าร่วมงานพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษสายนั้นไม่ใช่ความผิดเล็กน้อย
แต่ถ้าเป็นเพราะบำเพ็ญเพียร… นั่นก็เป็นเรื่องที่สามารถให้อภัยได้
สีหน้าของอี้เจาอ่อนลงหลายส่วน
“ที่ผ่านมานั้นอี้หรานล้วนรู้จักหนักเบา ถ้าไม่ใช่เพราะมีสถานการณ์ฉุกเฉิน ข้าเชื่อว่าเขาไม่มีทางทำเช่นนี้แน่นอน ดูจากในครั้งนี้แล้ว เขามีความเป็นไปได้ที่จะสามารถทะลวงด่าน”
ผู้อาวุโสอี้กงรีบพูดขึ้นว่า
“ขอบพระคุณท่านประมุขสำหรับคำอวยพร เพียงแต่ในตอนนี้ข้าเห็นว่าเขายังไม่ทะลวงด่าน ในฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์ของเขา จึงไม่กล้าพูดอันใดมาก”
อี้เจาหัวเราะขึ้นมา
“เขามีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ทุกอย่างจะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน ความจริงแล้วฝีมือของเขาก็โดดเด่นเช่นนั้น หากครั้งนี้สามารถทะลวงด่านได้ ก็ถือว่ายอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก”
ผู้อาวุโสอี้กงก้มหน้าลงต่ำอย่างถ่อมตัว
“เขาอายุยังน้อย ยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก”
ท่าทางของเขาเหมือนดูถ่อมตน แต่บริเวณระหว่างคิ้วมีประกายความภาคภูมิใจปรากฏขึ้น หากผู้ใดมีสายตาที่เฉียบแหลมก็จะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
แต่อี้เจาก็ไม่ได้สนใจ
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ อี้หรานมีความประพฤติที่ไม่เลว ไม่ต้องแปลกใจเลยที่ผู้อาวุโสอี้กงจะรู้สึกภาคภูมิใจ
ยิ่งไปกว่านั้นอี้หรานก็เปิดชีพจรเส้นที่สามได้ตั้งนานแล้ว หากครั้งนี้มันสามารถทะลวงด่านได้โดยตรง ก็เป็นการเปิดเส้นชีพจรที่สี่
ในบรรดากลุ่มเด็กรุ่นใหม่ยังไม่มีใครมาถึงระดับนี้เลย
อี้เจายกมือขึ้นจากนั้นก็ชี้ไปทางเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
“อี้ซิน เริ่มที่เจ้าก็แล้วกัน!”
เด็กหนุ่มที่โดนเรียกชื่อก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
“ขอรับ!”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกมาด้านหน้า เมื่อเดินมาถึงตรงกลางจัตุรัสก็หยุดฝีเท้าลง
สถานที่แห่งนี้ได้สลักสัญลักษณ์ของเผ่าหงส์ทองคำเอาไว้
การที่พวกมันเข้ารับการทดสอบต้องอาศัยจากสัญลักษณ์นี้
อี้ซินยืนอยู่บนสัญลักษณ์ แล้วหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทำจิตใจให้สงบ
เขานับว่าเป็นคนที่โดดเด่นคนหนึ่งภายในเผ่า
นอกจากอี้หรานแล้ว ภายในกลุ่มคนเหล่านี้เขาเป็นคนที่โดดเด่นอย่างมาก
อี้ซินกับอี้หรานมีอายุไล่เลี่ยกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว นิสัยของเขานั้นจะสุขุมมากกว่า และยังคงทำตัวติดดินมากกว่าอีกฝ่าย
นอกจากเรื่องบำเพ็ญเพียรน้อยมากที่เขาจะมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในเผ่าพันธุ์
ซึ่งในจุดนี้แตกต่างจากอี้หรานอย่างสิ้นเชิง
สายตาของสองคนรอบข้างมองมาที่เขา
แม้ว่าจะไม่ได้เปิดสนามด้วยอี้หราน แต่พรสวรรค์และฝีมือของอี้ซินก็นับว่าไม่เลว
“เริ่มเลยเถอะ!”
อี้เจาออกคำสั่ง
อี้ซินพยักหน้าแล้วหลับตาลง
วินาทีถัดมา เปลวเพลิงสีทองชาดก็พวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขาอย่างรุนแรง!
เปลวเพลิงเหล่านั้นห้อมล้อมร่างกายของเขาเอาไว้ภายในเสี้ยววินาที เปลวเพลิงอุณหภูมิสูง ทำให้บรรยากาศโดยรอบร้อนขึ้นมาในทันที!
พรึ่บ!
ทันใดนั้นเองใต้ฝ่าเท้าของเขาก็มีเสียงดังขึ้นมา!
หลังจากนั้นเหมือนว่าสัญลักษณ์นั้นจะติดไฟขึ้นมา และค่อยๆ สว่างขึ้น!
ลำแสงที่อ่อนโยนค่อยๆ ปรากฏออกมาจากสัญลักษณ์!
ทุกคนหันมามองด้วยความตั้งใจ ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา เพราะกลัวว่าจะพลาดอันใดไป
สัญลักษณ์ของเผ่าหงส์ทองคำมีลักษณะค่อนข้างที่จะพิเศษ
มันเหมือนกับลูกไฟกลุ่มหนึ่ง และก็เหมือนกับนกเฟิ่งที่กำลังจะสยายปีกบิน ส่วนปลายหางมีเส้นสายเก้าเส้น เหมือนเปลวเพลิงที่แตกกิ่งก้านสาขา และก็ยังเหมือนกับหางของนกเฟิ่ง
ในขณะเดียวกันนั้นเองเปลวเพลิงบนร่างกายของอี้ซินที่กำลังลุกท่วม ทำให้ปลายหางเก้าเส้นนั้นส่องสว่างขึ้นมา
เส้นที่หนึ่ง
เส้นที่สอง
เส้นที่สาม!
ในตอนที่เส้นที่สามสว่างขึ้น ทุกคนก็ต่างกลั้นลมหายใจ
หากสามารถจุดประกายไฟได้สามเส้น นั่นก็หมายความว่าเขาเปิดเส้นชีพจรได้สามเส้นแล้ว
การเปิดเส้นชีพจรสามเส้นไม่ใช่เรื่องประหลาด แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาจะสามารถจุดประกายไฟได้ต่อไปหรือไม่!
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจคือ เปลวเพลิงบนร่างกายของอี้ซินยังไม่ได้ดับมอดลงในทันที!
บริเวณเส้นที่สี่ ในที่สุดก็มีประกายไฟจุดติดขึ้นมาเล็กน้อย!
“โอ้… นี่เขาจุดประกายไฟได้สี่เส้นหรือ?”
“เรื่องจริงหรือนี่? ต้องเป็นผู้ที่สามารถเปิดเส้นชีพจรได้สี่เส้นไม่ใช่หรือ? ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นได้ยินว่าอี้ซินทะลวงด่านได้แล้ว…”
“เขาใช้ชีวิตอย่างสันโดษมาโดยตลอด ตั้งใจบำเพ็ญเพียร อ่อนน้อมถ่อมตนทำตัวติดดินอย่างมาก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถจุดประกายไฟเส้นที่สี่ได้จริงๆ…”
……….