ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1577 ไต่สวน
ตอนที่ 1577 ไต่สวน
……….
เสียงซุบซิบภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์เซ็งแซ่ขึ้น ทุกคนตกใจแล้วหันไปมองขวับ
จากนั้นก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องประกาย
เขาสวมชุดยาวสีดำ ใบหน้าครึ่งหนึ่งดำมืดอีกครึ่งหนึ่งมีแสงสว่างสาดส่อง ขณะที่เขาเดินเข้ามา ลมพัดชายเสื้อของเขาจนปลิวว่อน เผยให้เห็นความงดงามที่ไม่สามารถเอื้อมถึง
ดวงตาหงส์ลึกล้ำเปรียบเสมือนน้ำเย็นยะเยือก ใบหน้าราบเรียบไร้ระลอกคลื่น แต่ความเป็นจริงแล้วมีกระแสคลื่นใต้น้ำกำลังพวยพุ่ง แต่ผู้คนสัมผัสไม่ได้
ในตอนที่เขากำลังก้าวเข้ามาในท้องพระโรง กลิ่นคาวเลือดจางๆ ก็แผ่กระจายออกมาอย่างไร้เสียง!
ลมปราณเช่นนี้ของผู้ชายคนนี้จะเกิดขึ้นตอนเพิ่งจะฆ่าใครบางคนมาหรือไม่ก็ก่อนจะเริ่มสังหารหมู่!
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะลุกขึ้นยืนไปต้อนรับเขา
“ยินดีต้อนรับการกลับมาของฝ่าบาท!”
ภายในท้องพระโรงแห่งนี้เขามีสถานะสูงส่งที่สุด
เมื่อเห็นเขาโค้งคำนับทำความเคารพ ในที่สุดทุกคนก็สามารถดึงสติกลับคืนมาได้ และทยอยทำความเคารพตาม
หรงซิวเดินตรงไปด้านหน้า
ภายในท้องพระโรงอันเงียบสงบมีเพียงเสียงฝีเท้าของเขาเท่านั้นที่ดังก้องกังวาน
เสียงฝีเท้าแต่ละก้าว เหมือนกำลังเหยียบย่ำหัวใจของทุกผู้คน
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้พูดอันใด เพียงแต่เดินผ่านไปเท่านั้น แต่พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงจนไม่สามารถอธิบายได้
หรงซิวเดินตรงไปที่ตำแหน่งที่นั่งสูงสุด แล้วสะบัดชายเสื้อก่อนจะนั่งลง
เขากวาดสายตามองไปโดยรอบ
รอบข้างเกิดความเงียบยิ่งขึ้นกว่าเดิม
หากไม่ได้รับการอนุญาตจากเขา ทุกคนก็ไม่กล้าลุกขึ้นยืนเองตามอำเภอใจ เพียงแต่ต้องรักษาท่าทางโค้งคำนับทำความเคารพนี้ไว้
หลังจากผ่านไปสักพัก หรงซิวก็พูดขึ้นมาว่า
“ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี”
ทุกคนจึงนั่งลงอีกครั้ง
เพียงแต่บรรยากาศในท้องพระโรงนั้นแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย เขาเปิดเปลือกตาขึ้น ในใจก็หัวเราะเยาะ
แต่ละคนมีท่าทีกำเริบเสิบสานเป็นอย่างยิ่ง กล้าแม้กระทั่งจะประชดประชันฝ่าบาทและพระชายา ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังจะก่อกบฏ
แต่เมื่อหรงซิวมาถึง เขายังไม่ทันได้พูดอันใด คนเหล่านี้ก็ล่าถอยออกไปก่อนแล้ว แม้กระทั่งผายลมยังไม่กล้า
เขาประเมินอีกฝ่ายสูงเกินไปจริงๆ
สายตาของหรงซิว มองไปทางผู้อาวุโสถงชวนและผู้อาวุโสอวี๋จิ้ง ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ผู้อาวุโสทุกท่านมีสายตาเฉียบแหลมมาโดยตลอด แล้ววันนี้ก็ยังให้การชื่นชมเยว่เออร์ด้วย นางจะต้องพอใจอย่างมากแน่นอน”
สีหน้าของผู้อาวุโสถงชวนและคนอื่นๆ กลับดูย่ำแย่ขึ้นอย่างมาก
พวกเขาชื่นชมนางที่ไหนกันเล่า?
เห็นได้ชัดว่ากำลังประชดประชัน! เยาะเย้ยเสียดสีน่ะ!
แต่เขาก็ไม่กล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าหรงซิว
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสถงชวนถึงได้เบนหน้าไปทางอื่นแล้วพูดขึ้นเสียงเรียบว่า
“ฝ่าบาทได้ทุ่มเทคัดเลือกพระชายาด้วยตนเอง แน่นอนว่านางจะต้องเหนือกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว”
หรงซิวพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม
“หาได้ยากที่ผู้อาวุโสถงชวนจะมีความคิดเห็นเดียวกับข้า”
ผู้อาวุโสถงชวนสะอึกไป และไม่อยากพูดเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกหันออกไปมองทางด้านนอกประตูครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นอย่างสงสัย
“ฝ่าบาท พระชายาไม่ได้เดินทางกลับมาพร้อมท่านหรือ?”
หรงซิวพยักหน้าแล้วพูดขึ้นเสียงเรียบ
“เผ่าหงส์ทองคำเขียนจดหมายมาด้วยตนเอง เชิญให้นางไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง ดังนั้นจึงไม่ได้กลับมาพร้อมกับข้า”
ทันทีที่สิ้นเสียง ผู้คนก็อ้าปากค้างไม่สามารถควบคุมตนเองได้
เผ่าหงส์ทองคำเป็นเขาที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ประมุขของเผ่ามันนั้นก็ขึ้นชื่อเรื่องความเย่อหยิ่งยโส แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อยู่ในสายตาของพวกมัน
คาดไม่ถึงว่าตอนนี้มันจะเขียนจดหมายถึงซั่งกวนเยว่ด้วยตนเอง?
จริงสิ!
เหมือนว่าสัตว์อสูรในพันธนาการของนางตัวหนึ่งคือหงส์ทองคำ…
ผู้อาวุโสถงชวนหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เผ่าหงส์ทองคำไม่เคยติดต่อกับโลกภายนอก อีกทั้งการทำพันธสัญญากับมนุษย์ถือว่าเป็นรอยด่างพร้อยที่ใหญ่ที่สุดของพวกมัน เมื่อพระชายาไปเช่นนี้แล้ว หรือว่าฝ่าบาทจะไม่เป็นห่วงเลย?”
เหมือนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร
คิ้วดั่งสันดาบของหรงซิวเลิกขึ้นเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสถงชวนหมายถึงอันใดนั้นข้าล้วนทราบดี แต่ว่าท่านกังวลมากเกินไปแล้ว หากเผ่าหงส์ทองคำต้องการจะหาเรื่องซั่งกวนเยว่จริงๆ ก็คงต้องทำเหมือนกับโหมวเหยาที่เดินทางมาบุกทันที จะเขียนจดหมายให้มากความด้วยเหตุใด?”
ผู้อาวุโสถงชวนชะงักไปเล็กน้อย และรู้สึกว่ามีอันใดบางอย่างผิดปกติไป แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะโต้เถียงอย่างใด
คนจำนวนไม่น้อยลอบส่งสายตากัน
ความจริงแล้วสิ่งที่ฝ่าบาทพูดนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
จากนิสัยของเผ่าหงส์มังกร ถ้ามันต้องการจะมาหาเรื่องซั่งกวนเยว่จริงๆ แล้วล่ะก็ ไม่มีทางทำเรื่องยุ่งยากเช่นนี้แน่นอน
หรือว่า… ซั่งกวนเยว่จะไปเป็นแขกของพวกมันจริงๆ?
“เผ่าหงส์ทองคำไม่เคยยุ่งเรื่องราวของมนุษย์ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ แต่ครั้งนี้กลับเป็นผู้เชิญพระชายาไป ไม่แน่ว่าจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีก็ได้”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกลูบเคราตนเองแล้วกล่าวสรรเสริญ
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามมากความ
หากเป็นก่อนหน้านี้พวกเขาจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเท็จอย่างแน่นอน
แต่ว่าในตอนนี้ไม่เหมือนกัน
ในช่วงเวลานี้เรื่องราวของสำนักหลิงเซียวได้แพร่กระจายออกไปราวกับไฟลามทุ่ง
ชื่อของ “ซั่งกวนเยว่” นี้ แทบจะจากแพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่
ไม่เพียงแต่จะมีความสัมพันธ์รอบด้าน อีกทั้งนางอายุน้อยขนาดกลับสามารถทะลุด่านผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงได้แล้ว!
นอกจากเรื่องนี้ เมื่อฐานะที่แท้จริงของนางเปิดเผย ในตอนนี้เมื่อนางปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน… นางไม่ได้เป็นเพียงแค่ทายาทของปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธ ซั่งกวนจิ้ง แต่ยังเป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนักหลิงเซียว หนานซู่ไหวอีกด้วย!
หลายเดือนก่อนหน้านี้ทุกคนยังคงดูถูกนางอยู่เลย
แต่ทว่าในตอนนี้พวกเขากลับรู้สึกเจ็บใบหน้าอย่างมาก
ใครจะรู้แล้วว่าซั่งกวนเยว่ผู้นั้นจะยังซ่อนไพ่ไม้ตายอันใดเอาไว้อยู่อีกหรือไม่ และมีฝีมือถึงขั้นใดแล้ว?
ไม่แน่ว่าเผ่าหงส์ทองคำนั้นอาจจะกำลังไว้หน้านางอยู่จริงๆ
แย่แล้ว แย่จริงๆ แล้ว!
…
สายตาของหรงซิวกวาดไปยังผู้นำเผ่าหลายสิบคนที่นั่งอยู่ด้านล่าง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า
“เรื่องของเยว่เออร์นั้น นางสามารถจัดการด้วยตนเองได้ แต่ทุกท่าน… หลังจากข้าได้ยินข่าวนี้ ข้าก็รีบเร่งเดินทางกลับมาโดยทันที คิดไม่ถึงว่าทุกคนจะมาถึงก่อนเสียได้”
คนเหล่านี้เริ่มมีเหงื่อผุดพรายแล้ว
ดวงตาของผู้อาวุโสอวี๋จิ้งส่องประกายวาบ จากนั้นก็อธิบายขึ้นว่า
“พวกเขาก็เป็นห่วงท่านประมุขเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงได้รีบเร่งเดินทางมา”
“หื้อ?”
หรงซิวเอนกายไปด้านหลัง นิ้วเคาะตรงที่พักแขนเป็นจังหวะ จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเรียบพร้อมรอยยิ้ม
“เดิมทีข้าคิดว่า ทุกคนกำลังรอข้ากลับมาเพื่อฟังคำอธิบายจากข้าเสียอีก”
ทุกคนสะอึกไป
ความจริงแล้วพวกเขาก็มีความคิดนี้อยู่ในตอนแรก!
แต่หรงซิวเลือกที่จะโจมตีพวกเขาก่อน พวกเขาจึงไม่สามารถพูดอย่างตรงไปตรงมาได้
เมื่อผ่านไปสักพัก ผู้อาวุโสถงชวนก็พูดขึ้น
“ข้าจะกล้าสอบสวนฝ่าบาทได้อย่างใด? เพียงแต่หลังจากท่านประมุขกลับจากสำนักหลิงเซียว ท่านก็สลบไสลไปไม่ฟื้น อีกทั้งในตอนนั้นคนที่รู้เรื่องดีที่สุดก็น่าจะเป็นฝ่าบาท ดังนั้นพวกเราจึงหวังว่าฝ่าบาทจะรีบกลับมาตรวจสอบสถานการณ์อย่างชัดเจนว่ามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่”
คำพูดนี้เป็นเพียงคำพูดสละสลวย แต่ความจริงแล้วก็ผลักความรับผิดชอบไปยังหรงซิวอย่างไร้เสียง
แต่น่าเสียดายที่หรงซิวไม่ใช่คนที่ยอมให้ผู้อื่นมาชักใยอยู่เบื้องหลัง
เหมือนว่าเขาจะพยักหน้าเห็นด้วย
“ที่ผู้อาวุโสถงชวนพูดมาก็มีเหตุผล ที่ข้ารีบเร่งกลับมาเช่นนี้เพราะคิดเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่ความจริงแล้วเมื่อครู่นี้ข้าไปที่ตำหนักสักการะเทพเพื่อเยี่ยมท่านประมุขแล้ว แค่มองก็เห็นถึงปัญหาแล้ว”
หรงซิวเงียบไปครู่หนึ่ง และหยุดสายตาที่ผู้อาวุโสอวี๋จิ้ง
“ผู้อาวุโสอวี๋จิ้ง ภายในร่างกายของท่านประมุขเหตุใดถึงมีลมปราณของเจ้าได้?”
ใบหน้าของผู้อาวุโสอวี๋จิ้งซีดขาวมากขึ้นเรื่อยๆ
……….