ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1575 วางแผนอยู่แต่ในค่าย
ตอนที่ 1575 วางแผนอยู่แต่ในค่าย
……….
ภายในลูกบอลแสงมันมีพื้นที่เล็กๆ เป็นของตนเอง
ขุนเขามากมาย ลำแสงสีทองชาดส่องประกายสะท้อนสายน้ำที่พาดผ่านป่าเขา
พื้นที่เขียวชอุ่ม ทิวทัศน์มีชีวิตชีวา
พลังแห่งสวรรค์และโลกเข้มข้น ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
“สมแล้วที่เป็นเผ่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาล เบื้องหลังลึกล้ำ เพียงแค่สภาพแวดล้อมในการบำเพ็ญเพียร ก็ดีกว่าด้านนอกตั้งไม่รู้กี่เท่า”
ต่อให้เปรียบเทียบกับสำนักหลิงเซียวและพระราชวังเมฆาสวรรค์ ที่นี่ก็ยังเหนือกว่าหนึ่งชั้น
ถวนจื่อกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะมองไปรอบข้างอย่างสงสัย
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเสียงเบา
“หลังจากนี้ที่นี่คือถิ่นของเจ้าแล้ว เจ้าอยากจะมองเท่าไรก็มองไปเถอะ”
ถวนจื่อหันหน้ามาพร้อมถูไถร่างกับใบหน้าของนางอย่างสนิทสนม
“ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือช่วยเจ้าให้กลายร่างเป็นมนุษย์โดยไวที่สุด”
เมื่อถวนจื่อได้ยินดังนั้นร่างกายก็แข็งทื่อไป
ฉู่หลิวเยว่อุ้มตัวมันขึ้นมา
“จริงสิ ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ถามเจ้าเลย หากเผ่าหงส์ทองคำต้องการจะกลายร่างเป็นมนุษย์ โดยปกติทั่วไปแล้ว จะต้องมีอายุถึงเท่าใด?”
ถวนจื่อมีสีหน้าลังเล
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“หื้อ?”
หลังจากเงียบไปอยู่นาน น้ำเสียงของถวนจื่อก็ยังคงเต็มไปด้วยความลังเล
“…หนึ่งร้อยปี”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉู่หลิวเยว่แข็งค้าง
ความเงียบเข้าปกคลุมโดยรอบอย่างกะทันหัน
หลังจากผ่านไปสักพัก ฉู่หลิวเยว่ก็พูดขึ้นมาอย่างยากลำบาก
“… เท่าไรนะ?”
ถวนจื่อครวญครางแล้วก้มหน้าลงอย่างหมดแรง
เฮ้อ!
ก่อนหน้านี้มันจะไม่เห็นด้วย แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่เปิดโอกาสให้มันพูดแทรก และตอบรับเงื่อนไขของอี้เจาไปในทันที
หากมันต้องการจะแก้ไขปัญหา เกรงว่า… จะเป็นเรื่องยากแล้ว!
หางตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกอย่างรุนแรง
มิน่าล่ะอี้เจาจึงยอมปล่อยผ่านอย่างง่ายดาย ที่แท้…
นางรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่า นี่จะเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ไม่มีก้นบึ้ง!
หลังจากหยุดชะงักไปนาน ฉู่หลิวเยว่ถึงได้ถามออกมาอีกว่า
“ก่อนหน้านี้เจ้าถึงไม่พูดล่ะ?”
ถวนจื่อจึงกางปีกเล็กๆ ของมันออก
“… ก็เจ้าไม่ได้ถามนี่นา…”
ตอนนั้นมันเห็นว่านางมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก จึงคิดว่านางจะต้องรู้อย่างแน่นอน อีกทั้งนางยังมั่นใจว่าตนเองจะต้องทำได้
แต่ใครจะเชื่อเล่าว่า…
ฉู่หลิวเยว่กุมขมับของตนเอง ตอนนี้นางรู้สึกปวดหัวอย่างยิ่ง
ถวนจื่อเงยหน้ามองนางอย่างระมัดระวัง
หนึ่งคนหนึ่งสัตว์อสูร สายตาทั้งสี่ประสานกัน
“นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบ นอกจากอายุเป็นตัวกำหนดแล้ว ที่สำคัญไปมากกว่านั้นน่าจะเป็นระดับพลัง
“ขอเพียงแค่สามารถเปิดเส้นชีพจรสามเส้นได้ ก็สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสับสนเล็กน้อย
“เปิดเส้นชีพจรสามเส้น?”
ถวนจื่ออธิบาย
“แม้ว่าทุกคนจะเป็นเผ่าหงส์ทองคำเหมือนกัน แต่ระดับฝีมือก็ไม่เทียบเท่ากัน โดยปกติแล้ว การทะลวงด่านแต่ละครั้งจะสามารถเปิดเส้นชีพจรได้หนึ่งเส้น”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นก็ใช้สายตาสำรวจถวนจื่อ
“แล้วตอนนี้เจ้า…”
“หนึ่งเส้น”
ถวนจื่อตอบอย่างตรงไปตรงมา
สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าใด
ท้ายที่สุดแล้วถวนจื่อก็เพิ่งเป็นหงส์ทองคำได้แค่ไม่กี่เดือน ตอนนี้สามารถเปิดเส้นชีพจรได้หนึ่งเส้น ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติแล้ว
ตั้งแต่การเปิดเส้นชีพจรหนึ่งเส้น ไปจนถึงสามเส้น
น่าจะไม่ได้ยากเท่าไรหรอก…มั้ง?
ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้นอย่างสงสัย
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านประมุขนั้นเปิดเส้นชีพจรได้กี่เส้นแล้ว?”
ถวนจื่อครุ่นคิดแล้วตอบว่า
“ประมุขน่าจะเปิดได้เจ็ดเส้นแล้วละมั้ง”
“แข็งแกร่งจริงๆ …”
ฉู่หลิวเยว่ลอบถอนหายใจออกมา
ถวนจื่อพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“จริงสิ นอกจากท่านประมุขที่สามารถเปิดเส้นชีพจรได้เจ็ดเส้นแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเปิดเส้นชีพจรได้หกเส้น”
“คนอื่นๆ?” ฉู่หลิวเยว่นิ่งเงียบไป “เจ้าหมายถึง… ผู้อาวุโสทั้งห้าท่านนั้นใช่หรือไม่?”
ถวนจื่อกระพือปีกขึ้น แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ถูกต้อง! นอกจากพวกเขาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีระดับที่ต่ำต้อย แม้กระทั่งการเปิดเส้นชีพจรห้าเส้นก็ยังพบเห็นได้น้อยมาก!”
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่ามันกำลังพูดถึงผู้คนที่รายล้อมอยู่บริเวณด้านนอกตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง
ทันใดนั้นแสงสว่างสีขาวก็สว่างวาบขึ้นมาในสมองของฉู่หลิวเยว่
จากนั้นนางก็ขยับร่างกายเข้าไปใกล้ถวนจื่อ แล้วจ้องมองมันอย่างจริงจัง
ถวนจื่อไม่รู้ว่านางกำลังทำอันใด
ฉู่หลิวเยว่กลั้นลมหายใจของตนเอง ก่อนจะกระซิบถามเสียงเบา
“ถวนจื่อเจ้ารู้ได้อย่างใดว่าพวกเขาอยู่ในระดับไหนกัน?”
ถวนจื่อผงะไปเล็กน้อย แล้วตอบอย่างแข็งทื่อว่า
“ก็… แค่ดูก็รู้แล้วนี่นา!”
มันคงไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอกมั้ง?
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นกระหน่ำด้วยความตื่นเต้น
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ คนที่อยู่ในระดับต่ำจะไม่สามารถมองเห็นระดับที่สูงกว่าตนเองได้
ตอนนี้ถวนจื่อเพิ่งจะเปิดเส้นชีพจรได้หนึ่งเส้น ตามหลักการแล้วมันน่าจะอยู่ในระดับต่ำที่สุดของเผ่าหงส์ทองคำ
แล้วมันจะมองเห็นได้อย่างใด?
หรือว่า… เผ่าหงส์ทองคำกับมนุษย์ไม่เหมือนกัน เพราะว่าพวกมันมีสายเลือดเดียวกัน ดังนั้นจึงสามารถสัมผัสเรื่องเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย?
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
หากเป็นคนอื่นก็ช่างเถอะ แต่อี้เจาเป็นประมุขแห่งเผ่าหงส์ทองคำเชียวนะ
ด้วยสถานะที่สูงส่งเช่นนี้ แทบจะไม่สนใจความเป็นไปของโลกเลย เขาจะเปิดเผยความแข็งแกร่งของตนเองให้คนอื่นรู้ได้อย่างใด!
ไม่ว่าจะคิดอย่างใดมันก็ผิดปกติ
นางจ้องถวนจื่อตาเขม็ง
มันกะพริบตามองนางปริบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา
ฉู่หลิวเยว่เปลี่ยนความคิดในทันที หลังจากนั่งพิจารณาอยู่นานนางก็พูดขึ้นว่า
“ถวนจื่อ ในช่วงเวลานี้ เดิมทีพวกเราก็จะต้องอยู่กันที่นี่ แต่หลังจากออกไปแล้ว คำพูดเหล่านี้เจ้าห้ามพูดให้คนอื่นฟังอีกเด็ดขาด”
ถวนจื่อไม่รู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ แต่ก็ตอบรับอย่างเชื่อฟัง
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองรอบข้าง
“ข้ากำลังคิดว่า ภายในหนึ่งเดือนนี้ ข้าจะเปิดเส้นชีพจรของเจ้าอีกสองเส้นอย่างใดดี…”
…
ความมืดยามราตรีเข้ากล้ำกราย ค่ำคืนขนาดใหญ่ปกคลุมรอบด้าน
ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงกลับจุดโคมไฟสว่างไสว
แสงสว่างจางๆ ลอดมาจากบานหน้าต่าง มันทั้งสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ จนไม่สามารถเอื้อมถึงได้
ภายในท้องพระโรงปกคลุมด้วยความเงียบงัน
เงาร่างหนึ่งยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ซึ่งคนผู้นั้นก็คืออี้เจาตั้งแต่ช่วงพลบค่ำจนถึงตอนนี้ เขาก็ค้างอยู่ท่านี้มาโดยตลอด ยืนอยู่เป็นเวลานานมาก
เขากำลังมองดูกำแพงที่อยู่ตรงหน้า
ด้านบนนั้นมีภาพวาดขนาดใหญ่ ภาพฝาผนังสีสันงดงาม
ฟ้าดินปั่นป่วน เงาร่างสีทองชาดสายหนึ่ง สยายปีกออกทั้งสองข้าง บินแหลกเมฆาและผืนทะเล
ขนที่อยู่บนร่างของมันนั้นสีสันสดใสเสมือนจริงทุกประการ
เพียงแค่การมองเช่นนี้ก็สามารถสัมผัสได้ถึงลมปราณอันแข็งแกร่งที่แทบจะทะลุออกมาจากผนัง
รูปนี้คือบรรพบุรุษของเผ่าหงส์ทองคำ
แต่น่าเสียดายที่ดวงตาทั้งสองข้างของมันเป็นสีดำสนิทเหมือนกับถูกควักออกมา
เมื่อไม่มีดวงตาแล้ว ก็ไม่มีจิตวิญญาณ ตอนนี้มันจึงทำได้เพียงถูกตรึงอยู่ภายในกำแพงอันเย็นยะเยือกนี้
“…บรรพบุรุษ ในที่สุดสายเลือดบริสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งแล้ว แต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะสามารถ…”
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน
“ท่านประมุข อี้อวี่ขอเข้าพบขอรับ”
อี้เจาดึงสติกลับคืนมา
“เข้ามา”
ขณะที่พูด เขาก็หมุนตัวกลับไปมองผู้ที่มาใหม่
ในตอนนั้นเองใบหน้าของเขาก็กลับมาราบเรียบเย็นชาเช่นเดิม
ผู้อาวุโสอี้อวี่เดินเข้ามาในห้อง
เขาเหลือบสายตาไปเห็นภาพขนาดใหญ่บนฝาผนังอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ท่านประมุข ท่านกำลังดูรูปบรรพบุรุษอีกแล้วหรือ? หากท่านทำเช่นนี้ มันจะเปลืองสมอง…”
อี้เจามีสีหน้าราบเรียบ
“พิธีกราบไหว้บรรพบุรุษกำลังใกล้เข้ามาแล้ว และยังมีสายเลือดกลับคืนถิ่น เขาควรจะต้องมาที่นี่แน่นอน”
ผู้อาวุโสอี้อวี่รู้ว่าคำปลอบโยนของตนเองนั้นไม่มีประโยชน์ จึงไม่ได้พูดเรื่องนี้ยืดยาว
“ท่านวางใจเถอะ ทางด้านซั่งกวนเยว่กับถวนจื่อ ข้าจะจัดเตรียมการให้เรียบร้อย”
……….