ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1561 หรงซิวอยู่ในอันตราย
ตอนที่ 1561 หรงซิวอยู่ในอันตราย
…………….
“ไม่รู้ว่าเศษหน้ากระดาษที่เหลือจะอยู่ที่ใด…”
ฉู่หลิวเยว่บ่นพึมพำด้วยเสียงต่ำ
ในตอนแรกเพื่อที่จะซ่อนมันเอาไว้ นางจึงใช้อาณาเขตเซียนเทพมาผนึกเอาไว้โดยไม่ลังเล จากนั้นก็กลับไปที่เทียนลิ่ง และยินยอมที่จะเสียชีวิตเพื่อมันอีกด้วย
และตอนนี้ก็จำเป็นจะต้องค้นหาส่วนที่เหลือต่อไป
หากสามารถค้นหาของสิ่งนี้ได้ครบสมบูรณ์ ปัญหาหลายอย่างอาจจะแก้ไขได้ในคราวเดียว
แต่ในตอนนั้นเองด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ฉู่หลิวเยว่ดึงความคิดกลับมา แล้วลุกขึ้นยืนไปเปิดประตู
“หรงซิว?”
คนที่อยู่ด้านนอกประตูคือหรงซิวนั่นเอง
ดูจากท่าทางของเขาแล้ว ก็เหมือนว่าเขาเพิ่งกลับมา
เพียงแต่สีหน้าของเขาดูผิดปกติไปเท่านั้นเอง
ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“เจ้า… เป็นอันใดไปหรือ?”
หรงซิวจับมือของนางแล้วดึงเข้าไปในห้อง
หลังจากอยู่ภายในห้องแล้ว เขาก็ยืนจ้องฉู่หลิวเยว่แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ประมุขสลบไปแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อย หลังจากผ่านไปสักพักนางค่อยตระหนักขึ้นได้ว่าเขากำลังพูดถึงใคร
“… ประมุขไป๋หลี”
หรงซิวพยักหน้าเบาๆ
“เมื่อครู่นี้อวี๋มั่วมาส่งข่าวด้วยตนเอง”
มิน่าล่ะเมื่อครู่เขาถึงไม่ได้อยู่ที่นี่…
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม
“เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? เขายังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงสลบไปได้ล่ะ?”
เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ที่เมืองฝางโจวเขายังดูสุขภาพแข็งแรงดีอยู่เลย
แต่นี่เพิ่งผ่านไปไม่นานเองไม่ใช่หรือ?
หรงซิวส่ายหน้า
“อวี๋มั่วกล่าวว่า หลังจากที่เขากลับไปที่พระราชวังเมฆาสวรรค์ เขาก็อยู่ในที่พักของตนเองมาโดยตลอด ไม่ได้ออกมาเลย ในตอนแรกบ่าวรับใช้ก็ไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติ แต่หลังจากนั้นผู้อาวุโสอวี๋จิ้งมีเรื่องด่วนที่จะต้องรายงาน เมื่อเคาะประตูเป็นเวลานานแล้ว ก็ยังไม่มีใครมาเปิด เขาจึงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก จึงบุกเข้าไปด้านใน และถึงได้พบว่าเขาหมดสติไปแล้ว”
“หลังจากนั้นผู้อาวุโสอวี๋จิ้งก็รีบไปแจ้งกับอวี๋มั่ว และให้เขามาที่นี่ด้วยตนเอง”
เรื่องนี้มีความสำคัญมาก แน่นอนว่าจะต้องมีคนมารายงานหรงซิว
หัวใจของฉู่หลิวเยว่ดำดิ่ง
“และนั่นก็หมายความว่าไม่รู้ว่าประมุขไป๋หลีหมดสติไปตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีใครรู้เลยสักคน อีกทั้งสาเหตุ… ก็ยังไม่มีใครทราบหรือ?”
หรงซิวชะงักไปเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นขึ้นหลายส่วน
“เรื่องนี้ไม่ได้ถูกปิดข่าวเอาไว้ ตอนนี้คนระดับสูงของพระราชวังเมฆาสวรรค์ต่างรู้เรื่องนี้กันทั้งหมดแล้ว รวมถึงประมุขทั้งยี่สิบแปดตระกูล”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจได้ในทันทีว่ามันหมายถึงอันใด
“มีคนสงสัยในตัวเจ้าหรือ?”
ริมฝีปากบางของหรงซิวยกขึ้นเล็กน้อย
“นอกจากข้าแล้ว เหมือนว่าจะไม่มีใครมีแรงจูงใจที่จะทำเช่นนี้ล่ะมั้ง”
แม้ว่าเขากำลังยิ้มอยู่ แต่หางตาและหัวคิ้วกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
“ตอนนี้ผู้อาวุโสทุกท่านกำลังรอข้ากลับไปพระราชวังเมฆาสวรรค์ และจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบ”
ที่พูดว่าตรวจสอบนั้นเป็นความจริง แต่ก็พุ่งเป้ามาที่เขา
ไม่ว่าใครก็รู้ว่าไป๋หลีฉุนและหรงซิวขัดแย้งกันมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้พวกเขาพยายามปกปิดมันเอาไว้ แต่ครั้งที่แล้วที่เมืองฝางโจว นับว่าทั้งสองฝ่ายได้ฉีกหน้ากันและกันโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้ไป๋หลีฉุนเพิ่งกลับไปได้ไม่นานก็เกิดเรื่องขึ้น ดังนั้นทุกสายตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความสงสัย และพุ่งเป้ามาทางหรงซิวในทันที
ต่อให้ไป๋หลีฉุนจะอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นประมุขพระราชวังเมฆาสวรรค์
หากเกิดเรื่องกับเขาขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่สามารถปล่อยไปได้โดยง่าย
และยิ่งไม่ต้องพูดถึง อาจจะมีใครบางคนที่อยู่ภายในต้องการฉวยโอกาสก่อความวุ่นวาย
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วแน่นเป็นปม
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้า…”
“ข้าจะต้องกลับไปเสียหน่อย”
หรงซิวดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด และวางคางบนหน้าผากของนาง
“วางใจเถอะ เมื่อข้าจัดการเรื่องทางนั้นเสร็จแล้วข้าจะรีบกลับมา”
เดิมทีเขาวางแผนว่า เขาจะไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงกับนางด้วย
ฉู่หลิวเยว่หายใจเข้าลึกๆ กลิ่นหอมเย็นฟุ้งกระจายไปทั่วหน้าอกของนางอย่างเชื่องช้า
หัวใจของนางรู้สึกสงบขึ้นมาในทันที
“ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องของข้า ข้าสามารถจัดการเองได้ แต่ทางฝั่งพระราชวังเมฆาสวรรค์นั้น…ท้ายที่สุดแล้วประมุขไป๋หลีก็มีฐานะสูงส่งและสำคัญยิ่ง หากเขาไม่ได้วางกับดักทำร้ายตนเอง ก็หมายความว่ามีคนอื่นฉวยโอกาสวางแผนใส่ร้ายเจ้า”
เรื่องนี้แตกต่างจากการวางแผนยึดอำนาจและครอบครองบัลลังก์ในตอนก่อนหน้านี้มากนัก
หากพิสูจน์ไม่ได้ว่าหรงซิวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำร้ายประมุข เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นรอยด่างในชีวิตของเขาอย่างไม่มีวันชะล้างออก
เขาสามารถไม่ไว้หน้าประมุขได้ และสามารถเพิกเฉยต่อคำของผู้อาวุโสได้ แต่กลับไม่สามารถหลุดพ้นจากข้อครหาผู้สังหารประมุขได้!
หรงซิวพยักหน้า
ในพระราชวังเมฆาสวรรค์เขามีอำนาจสูงสุดอยู่ในกำมือ แต่ก็ยังมีคนปองร้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“มีของบางสิ่งไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องชำระให้สะอาด”
หรงซิวก้มหน้าแล้วจุมพิตที่หน้าผากของนางเบาๆ
ฉู่หลิวเยว่กอดเอวของเขาเอาไว้
“ถ้าเช่นนั้นใครแก้ปัญหาของตนเองได้ก่อน ก็ให้เดินทางไปหาอีกคนหนึ่งเป็นอย่างใด?”
หรงซิวเชิดคางของนางขึ้นแล้วจุมพิตที่ริมฝีปาก
“ตกลง”
…
หรงซิวไม่สามารถล่าช้าได้นาน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พาอวี๋มั่วจากไป
หลังจากฉู่หลิวเยว่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว วันรุ่งขึ้นนางก็เดินทางไปภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงพร้อมกับซั่งกวนจิ้งในทันที
เดิมทีหนานซู่ไหวก็อยากจะติดตามไปด้วย แต่หลังจากพิจารณาแล้วว่าช่วงนี้สำนักหลิงเซียวประสบปัญหามามากมาย ถึงเวลาแล้วที่หนานซู่ไหวจะต้องรับผิดชอบดูแลทั้งหมด อีกทั้งฉู่หลิวเยว่ก็ไม่อยากดึงให้สำนักหลิงเซียวเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นนางจึงปฏิเสธอย่างอ้อมๆ
หลังจากการพักรักษาตัวมาหนึ่งเดือน บาดแผลบนร่างกายของถวนจื่อก็หายดีไปพอประมาณแล้ว
ภายใต้การนำทางของมัน ฉู่หลิวเยว่จึงเดินทางออกจากสำนักเรียนแล้วมุ่งหน้าตรงไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง
…
สำหรับคนในอาณาจักรเสิ่นซวี่ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงถือว่าเป็นสถานที่ที่ลึกลับเป็นอย่างมาก
หลายปีที่ผ่านมานี้ พวกมันได้ทำตัวติดดินมากยิ่งขึ้น แต่กลับทำให้มนุษย์ทุกคนรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ในตำนานเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ความวุ่นวายของฟ้าดินปรากฏขึ้น ไท่ซวีเฟิ่งหลงและหงส์ทองคำก็กำเนิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
หนึ่งน้ำแข็งหนึ่งไฟ เป็นความขัดแย้งกัน
เมื่อหลายปีผ่านมา สองพลังสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้กำเนิดอสูรศักดิ์สิทธิ์รองลงมาหลายชนิด
แต่สายเลือดทั้งสองนี้ก็ยังอยู่ในระดับสูงสุดเช่นเดิม
และด้วยเหตุประการฉะนี้ ทั้งสองเผ่าที่ยิ่งใหญ่จึงมีนิสัยสูงส่งเย่อหยิ่งอย่างมาก
หากไม่ได้รับอนุญาต เผ่ามนุษย์จะไม่สามารถเดินทางไปยังถิ่นของมันได้เลย
ฉู่หลิวเยว่เองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่า วันหนึ่งนางจะได้เข้าไปขอขมาที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงด้วยตนเอง
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่คำที่สละสลวยเท่านั้น
นางรู้ดีกว่าใครว่า การเดินทางในครั้งนี้มีอันใดกำลังรอนางอยู่
…………….